เปลวไฟในม่านหมอก - ตอนที่ 10 ใครจูบใครเหรอครับ
ลีมูซีน Mercedes Benz s600 Pullman สีดำมันปลาบแล่นเข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์ บอดี้การ์ดที่นั่งด้านหน้าคู่กับคนขับรีบลงมาเปิดประตูรถ ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทอามาร์นี่สีขาว ส่งให้ความงดงามพร้อมสรรพทั้งใบหน้าและเรือนกายของ อัคคี เจมส์ เฟดเดอร์ริก ยิ่งส่องสว่างราวเปล่งรัศมีออกมาได้
ทว่ารัศมีนั้นมันดูแฝงอันตรายอย่างไรพิกล…
อย่างไรก็ไม่ใช่ แม้จะคล้ายกันเหลือเกิน แต่นายไฟของเธอไม่ใช่แบบนี้ หนุ่มลูกครึ่งร่างใหญ่ผมยาวแสนอบอุ่น เขามีรอยยิ้มสดใส เขาไม่ได้มีรังสีอันตรายและท่าทีเย่อหยิ่งอย่างนายอัคคีคนนี้
เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่ามีคนแอบมองอยู่หลังพุ่มข่อยที่ตกแต่งเป็นรูปช้างสามเศียร สายตาคมกริบตวัดมาที่นั่น อวัศยารีบหันหลังแล้วสาวเท้าออกจากตรงนั้นทันที
ทำไมเธอจะต้องมายืนแอบมองผู้ชายคนหนึ่งราวกับโรคจิตด้วยนะ ยัยหมอกบ้าเอ๊ย !
แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา เธอแค่สงสัยว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่ฝันหรือมันเรื่องจริง เธอจำได้ว่าเดินออกไปนั่งเล่นที่ชิงช้า แต่แล้วเธอกลับลืมตามาพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้อง ตื่นจากความฝัน ฝันเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเธอกับนายไฟเมื่อสิบปีที่แล้ว
คิดได้ตรงนี้ใบหน้าก็ร้อนวูบวาบ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นที่ชิงช้านั่นมันฝันหรือเรื่องจริง เรื่องที่ว่านายไฟเดินมากอดแล้วจูบเธอ สัมผัสเธอ อย่างที่เขาเคยทำมาแล้ว
มันอะไรกันนะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่…
“ บ้า ยัยหมอกบ้า หยุดบ้าเดี๋ยวนี้นะ เธอก็แค่ฝัน ไม่ได้จูบกับใครจริง ๆ สักหน่อย อีกอย่างนายไฟก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ จะมีก็แต่… คุณอัคคี ”
“ ใครจูบใครเหรอครับ ” เสียงทุ้มคล้ายกระซิบแผ่วที่ข้างหู อวัศยาสะดุ้งเฮือกสุดตัวก่อนจะหันหลังไปมองตามสัญชาตญาณ ความที่ไม่ทันระวังทำให้ปะทะกับแผงอกแกร่งสุดแรงจนเสียหลักเซถลาจะล้ม แต่แขนแกร่งเอื้อมคว้าแล้วกอดไว้ได้ทัน
หัวใจอวัศยาเต้นระรัว กลิ่นน้ำหอมสปอร์ตอ่อน ๆ ลอยมาเตะจมูก คละเคล้ากับลมหายใจรุ่มร้อนที่อยู่ห่างแค่เพียงคืบ เพราะเธอกำลังโดนล้อมรัดด้วยแขนของเขาเบียดบดแนบชิดกับแผงอกแกร่งชนิดแนบแน่นทุกอณู
ทำไมกลิ่นนั้นมันคุ้น ๆ คล้ายกลิ่นของนายไฟที่เธอยังแยกไม่ออกว่าฝันหรือเรื่องจริงเมื่อคืนนี้ไม่มีผิด !
“ คุณอัคคี ! ”
“ ใช่ ผมเอง ทำไมต้องทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผี ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ ”
“ เอ่อ… ไม่ใช่นะคะ ฉันแค่ตกใจ ”
“ เมื่อกี้คุณพูดอะไรอยู่ ผมได้ยินชื่อตัวเองด้วย ”
บ้า เขาได้ยินด้วยเหรอเนี่ย น่าอายชะมัด !
ใบหน้าหวานแดงระเรื่อ ก่อนจะรีบดันตัวออกจาก แผงอกแกร่งนั้น
“ ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้พูดถึงคุณ ฉันแค่กำลัง… เอ่อ พูดถึงเจ้าของห้องที่โทรไปถามเช่าเอาไว้น่ะค่ะ ” เธอโกหกไปส่ง ๆ ทว่านั่นทำให้คิ้วเข้มถูกเลิกสูง
“ ห้องเช่าอะไร ”
“ ห้องเช่าที่ฉันจะย้ายออกไปอยู่กับคุณพ่อ ฉันพอมีฝีมือในการทำขนมอยู่บ้างเลยคิดจะทำขาย ฉันคงออกไปทำงานข้างนอกไม่ได้เพราะไม่มีคนดูแลคุณพ่อ ต้องหาอะไรที่ทำได้จากที่บ้าน ”
“ อย่างนี้นี่เอง ” เขาตอบกลับมาแล้วยืนจ้องเธออยู่อย่างนั้นดื้อ ๆ โดยไม่พูดไม่จา สายตาคมกริบมันแผ่รังสีอันตรายทำให้เธอวูบไหวแปลก ๆ จึงรีบเอ่ยตัดบท
“ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ ต้องไปป้อนยาให้คุณพ่อก่อน ” เธอว่าพลางหมุนตัวหันหลังให้ เสียงทุ้มเอ่ยตามหลัง
“ ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะสามารถช่วยได้ก็บอกนะ ผมยินดีเสมอ ขอแค่สิ่งแลกเปลี่ยนมันคุ้มค่า ” เธอหันกลับมามองและกล่าวขอบคุณ แม้จะกังขาในคำพูดนั้นก็เถอะ
“ ขอบคุณมากค่ะ แต่ไอ้สิ่งแลกเปลี่ยนของคุณนั่นมันคืออะไรกันคะ ” ชายหนุ่มยักไหล่
“ ผมเป็นนักธุรกิจ ก็ต้องคิดอะไรแบบนักธุรกิจ ผมคงไม่เสียอะไรไปโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา คุณก็เติบโตมาในครอบครัวนักธุรกิจใหญ่ น่าจะรู้ดี ” เสียงห้าวทุ้มนุ่มกับสายตาคมหวานที่ส่งมาทำให้เดาได้ไม่ยากนักหรอกว่าไอ้สิ่งแลกเปลี่ยนของเขาน่ะมันหมายความว่าอะไร และสิ่งนั้นมันทำให้เธอเลือดขึ้นหน้า
เขากำลังดูถูกเธอ กำลังคิดว่าเธอเป็นเหมือนวีด้า หรือผู้หญิงคนอื่นที่เขาใช้เงินซื้อมาบำรุงบำเรอสินะ