เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 9 ง่ำ ง่ำ
[GS] บทที่ 9 ง่ำ ง่ำ
“นายท่าน ข้าน้อยคือตัวจริง นางนั่นคือตัวปลอม!” ว่านเฟิงที่อยู่ข้างลู่หยุนน้ำตาไหลพรากด้วยความตื่นตระหนก
“คุณชายเพิ่งจะบอกให้ข้าน้อยเรียกว่า คุณชาย มิใช่ นายท่าน อยู่เลย” ผู้หญิงอีกคนยิ้มแบบแปลก ๆ “แน่นอนว่าคนที่เรียกว่า คุณชาย ย่อมเป็นตัวจริง”
แม้ว่ามุมปากของหญิงสาวจะยิ้ม หากแต่ใบหน้าของนางนั้นกลับนิ่งสนิท ปากของหญิงสาวมันไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันถูกแกะสลักขึ้นจากหิน ราวกับว่าเสียงมันไม่ได้ออกมาจากปากขอนาง หากแต่สะท้อนออกมาจากภายในร่างกายยังไงยังงั้น
ลู่หยุนจับมือของว่านเฟิงและถอยหลังอย่างช้า ๆ ว่านเฟิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหม้อยาดูเหมือนว่าอยากจะก้าวไปข้างหน้า แต่ร่างกายที่แข็งทื่อกลับไม่อนุญาตให้นางทำเช่นนั้น
“คุณชาย ท่านจะไม่มาช่วยข้าน้อยจริงหรือ?” เสียงร่ำไห้ของหญิงสาวที่อยู่กลางห้องดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน!” ลู่หยุนเริ่มระลึกได้ถึงบันทึกโบราณในห้องสมุดของอาจารย์เขา “รูปปั้นหินในสุสานนั้นจะสะสมพลังหยินเอาไว้รวมกับจิตวิญญาณปีศาจ เมื่อมันพบกับสิ่งมีชีวิต มันจะแปลงร่างเป็นศิลาวิญญาณ และนี่หล่ะคือจุดเริ่มต้นของความน่ากลัวที่ยากจะหยั่งถึง”
ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่าศิลาวิญญาณคืออะไร หากแต่สี่คำสุดท้ายก็มีความชัดเจนเพียงพอแล้ว
รูปปั้นหินที่อยู่ถัดจากหม้อยาได้หายไป และในตำแหน่งที่ว่ากลับมีว่านเฟิงที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อยู่ นี่คือศิลาวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ตั้งแต่โบราณ เนื่องจากหลุมฝังศพตั้งอยู่ในใจกลางของเต่าดำหมอบ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะกลายเป็นแหล่งรวมพลังหยินสุดขั้วให้กับตัวมันเอง ใครจะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนมากขนาดไหนที่ต้องตายตรงทิศใต้ของภูเขา? ความคับข้องใจและความไม่พอใจที่สะสมไว้จะต้องมากเสียจนสามารถทะลุผ่านท้องฟ้าได้เป็นแน่!
นั่นเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สัตว์ประหลาดเช่นนี้ได้รับการเลี้ยงดูอยู่ที่นี่ รูปปั้นหินจะต้องดูดซับพลังของว่านเฟิงเมื่ออตนที่หญิงสาวสัมผัสมัน ดังนั้นมันจึงกลายเป็นศิลาวิญญาณ
“นั่นมันศิลาวิญญาณอยู่ให้ห่างจากมันไว้! พวกเราต้องหนีแล้ว!” ลู่หยุนหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะดึงมือของหญิงสาวให้ตามไป ว่านเฟิงที่กำลังเขินอายนางรู้สึกทำตัวไม่ถูกจึงได้แต่ตามแรงลากจูงนั้นไป
โชคดีที่ศิลาวิญญาณดูดพลังงานจากเธอมาไม่มากพอ ด้วยเหตุนี้มันจึงกลับมากลายเป็นหินอีกครั้ง
“กลับมานี่นะ กลับมานี่!” ศิลาวิญญาณร้องโหยหวนเมื่อเห็นว่ามนุษย์กำลังจะจากไป “ เจ้าหนู แกจะหนีไปก็ได้ แต่ปล่อยนางนั่นไว้ซะ! ข้าอยากจะกินนาง!!”
ว่านเฟิงสั่นอย่างรุนแรงด้วยใบหน้าของนางที่ถูกปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัว
“อย่าใส่ใจมัน และก็ห้ามหันกลับไปมองเด็ดขาด” ลู่หยุนโอบแขนรอบเอวของว่านเฟิงและออกคำแนะนำอย่างเข้มงวด
“เจ้าหัวขโมย เจ้าทำให้แผนของข้าป่นปี้! ข้าจะกินเจ้า อ๊าาาาาาาาา!” ศิลาวิญญาณหินแผดเสียงกรีดร้องเหมือนวิญญาณร้าย
แกร่ก!
ทันใดนั้นรอยแตกก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของมัน ดูเหมือนว่ามันใกล้จะพังแล้ว
“ปิดตาเดี๋ยวนี้!” ลู่หยุนปิดตาของว่านเฟิงเมื่อเขาเห็นความอยากรู้อยากเห็นในแววตาของสาวใช้ตัวน้อย หญิงสาวไม่สามารถมองกลับไปได้ในขณะนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่ายังไงนางจะหันกลับมองที่ศิลาวิญญาณไม่ได้เด็ดขาด!
วิญญาณตื่นขึ้นเพราะมันดูดซับพลังของว่านเฟิง หากหญิงสาวมองดูมันอีกครั้ง มันจะสามารถสิ่งสู่นางและเข้าควบคุมจิตใจเพื่อใช้ร่างนางเป็นหุ่นเชิด
และเมื่อวิญญาณของนางถูกดูดจนหมด ร่างของหญิงสาวก็จะแห้งตาย ส่วนวิญญาณของมันก็จะเป็นอิสระ แม้ลู่หยุนจะไม่รู้ว่ามันมีพลังความสามารถแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อยากจะลองมันในตอนนี้หรอกนะ
ศิลาวิญญาณยังคงโหยหวน ลู่หยุนไม่ใส่ใจกับมันได้อีกต่อไป แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นแหล่งรวมเอาความสยองขวัญอันยิ่งใหญ่ แต่ของน่ากลัวที่ไม่สามารถขยับได้นั้น มันก็ไม่ใช่ภัยคุกคามเลยแม้แต่น้อยสำหรับเขา
มนุษย์สองคนมาถึงประตูหินที่ปิดอยู่ ลู่หยุนพยามพลัก แต่เขาก็ไม่สามารถขยับมันได้ไม่ว่าเขาจะผลักมันแรงแค่ไหนก็ตาม
“ท่านลู่ ให้ข้าช่วยเถอะ!” ว่านเฟิงพยามควบคุมสติของนาง และทำการอุดหูของตัวเองไว้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณนั่นอีก จากนั้นนางจึงวางมือทั้งสองบนประตูหิน ก่อนที่แสงสีเขียวอ่อนจะพุ่งออกมาจากร่างของว่านเฟิง
ครืน
ประตูที่หนักเทียบเท่าภูเขาไท่ซานสำหรับลู่หยุนกลับเปิดออกได้อย่างง่ายดายด้วยสาวงามคนนี้
นี่เป็นพลังของพวกผู้ฝึกตนงั้นเหรอ? ความชื่นชมที่เกิดขึ้นทั่วใบหน้าของเจ้าเมืองหนุ่มมากขึ้นกว่าเดิม เขาปรารถนาที่จะเป็นผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง หากเขาสามารถเป็นผู้ฝึกตนและมีความสามารถอันน่าทึ่งเทียบเท่าของหญิงสาวคนนี้แล้วละก็ ชีวิตก็จะง่ายขึ้นหลายสิบเท่าในสุสาน
“ฮิฮิฮิ ข้าพบพวกเจ้าทั้งสองคนแล้ว” เสียงที่น่ากลัวดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของประตูเมื่อมันเปิดออก
“อ๊า!!!” ว่านเฟิงกรีดร้องด้วยความตกใจ ความกลัวทำให้เธอเผลอเดินถอยหลังออกไปสามก้าว ใบหน้าของนางซีดขาวด้วยความไม่เชื่อแบบสุด ๆ คนที่ไม่ควรอยู่ที่นั่นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา!
เป็นไปได้ไงกัน! ลู่หยุนเบิกตากว้างด้วยความตกใจรู้สึกว่าขนทั้งหมดของเขาลุกชูชัน มันไม่จริงใช่ไหม!
เก้อหลง !!
เก้อหลงที่ควรจะตายไปแล้ว ในตอนนี้มันได้อยู่ต่อหน้าพวกเขา!
ลู่หยุนเดินเข้าไปหาว่านเฟิงด้วยความตะลึง
“หลีกไปซะ!” หญิงสาวเร่งเร้าความกล้าหาญของนาง ก่อนที่จะเรียกพายุออกมาบนมือ และเขวี้ยงมันเข้าใส่หัวของราชเลขา
ตู้ม!
กลุก กลุก กลุก
หัวของเก้อหลงหล่นลงมาจากคอของเขา ก่อนจะกลิ้งลงบันไดเข้าไปในห้องหิน
“ข้าว่าหัวข้าหลุดอีกแล้วสิเนี่ย” ศีรษะดูเหมือนจะถอนหายใจในขณะที่ร่างกายของเก้อหลงคุกเข่าลง ร่างกายที่ไร้หัวพยามคลานไปมาในห้องอย่างช้า ๆ เพื่อหาศีรษะของมัน
ถึงหญิงสาวจะเห็นความผิดปกติในสุสานมามาก แต่ว่านเฟิงก็ยังตะลึงกับฉากที่เกิดขึ้นอยู่ดี อันที่จริงลู่หยุนเองก็งุนงงไม่ต่างกัน เขาไม่ได้กลัวผีดิบนะ ถึงแม้ว่าพวกแมลงวันกับศิลาวิญญาณจะน่ากลัวก็เถอะ แต่ภาพพวกนั้นเขาก็ยังพอรับได้
แต่ไอ้ร่างไร้หัวนี่มันบ้าอะไรกัน?
คนที่ถูกพวกเขาตัดหัวขาดไปแล้วทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่ได้!
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือชายไร้หัวนี่กำลังคลานไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาหัวของตัวเองอยู่ ที่ศีรษะยังคงมันมีรูใหญ่ตรงกลางที่เกิดจากดาบของว่านเฟิงอยู่เลย สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นไปอีก
“ นายท่าน ขะ เขา…” เสียงของว่านเฟิงสั่นจนควบคุมไม่ได้ ลู่หยุนเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน ในบันทึกโบราณเองก็ไม่ได้มีบอกกล่าวถึงบางสิ่งที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อน
เก้อหลงพบหัวของเขา ก่อนที่จะนำมันกลับมาวางลงบนคอ และเดินโยกเยกเข้ามา
“ ก กะ กะ แกเป็นตัวอะไรเนี่ย!” ทันใดนั้นศิลาวิญญาณก็ส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัว “ อย่าเข้ามาใกล้! ไปให้พ้น!”
“หา? ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ว่านเฟิงเหรอ?” เก้อหลงจับหัวของเขาไว้ด้วยมือเดียวและมองศิลาวิญญาณอีกครั้ง “ ไม่ เจ้าไม่ใช่นาง แต่ก็น่าอร่อยดีนะ!” เขารำพึงด้วยความสับสน
ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยความตื่นเต้นจากนั้นก็อ้าปากกว้าง ก่อนที่จะพุงลงไปที่คอของศิลาวิญญาณ
กระแสลมสีดำสนิทไหลออกมาจากคอของวิญญาณเข้าสู่ปากของเก้อหลง เจ้าวิญญาณดิ้นรน มันพยามส่งเสียงร้อง แต่เนื่องจากมันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มันจึงไม่สามารถสลัดผู้โจมตีออกไปได้
เสียงร้องของวิญญาณค่อย ๆ เงียบลง จากนั้นก็หยุด และได้กลับไปเป็นหินอีกครั้งแล้ว
“เอิ๊ก!” เก้อหลงเรอ หัวของเขากระดอนหนึ่งครั้งที่คอของเขา “ รสชาติดีจริงๆ”
ดวงตาของว่านเฟิงกลอกไปด้านหลัง ก่อนที่นางจะล้มคว่ำลงไปด้วยความกลัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเกินไปสำหรับนางจริง ๆ ถึงว่านเฟิงจะเป็นผู้ฝึกตน แต่หญิงสาวก็ยังเป็นแค่เด็กอายุ 15 อยู่ดี เรื่องพวกนี้มันเกินกว่าที่นางจะรับไหว
“ข้ารับใช้แก่หงำเหงือกคนนี้ ขอต้อนรับนายท่าน” เก้อหลงหันหลังกลับและคำนับให้ลู่หยุน
กลุก กลุก หัวของเขาตกลงมาอีกครั้ง
“อย่าเข้ามาใกล้นะโว้ย!” ลู่หยุนหยิบว่านเฟิงขึ้นมาและหนุนนางไว้ในอ้อมแขนของเขา “ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ว่าตายหรือไง?”
ราชเลขาตั้งหัวของเขาอีกครั้งและวางลงบนคอของเขา ความไม่แน่นอนส่องประกายผ่านดวงตาของเขา
“ข้าก็ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วกันแน่” เขาต้องการสั่นศีรษะ แต่เนื่องจากไม่ได้เชื่อมต่อศีรษะเข้ากับลำคอ เขาจึงไม่สามารถทำมันได้
“แกมาที่นี่เพื่อล้างแค้นสินะ?” ลู่หยุนลองทำอย่างระมัดระวัง
“ไม่ ไม่ ไม่! ข้าคือผู้รับใช้นายท่าน ทำไมข้าถึงต้องล้างแค้นกัน? ถึงท่านกับนางจะสังหารข้าไป แต่ข้ารับใช้ผู้นี้ก็คือคนผิดอยู่ดี” เก้อหลงตอบอย่างชอบธรรม
“งั้นหลานของเจ้าล่ะ?”
“จะเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่นางจะตายด้วยน้ำมือของนายท่าน! แต่ท่านไม่ใช่คนที่ฆ่านาง!”
“เจ้ารู้อะไร?” ลู่หยุนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาเหลียวมองไปที่ว่านเฟิงและเห็นว่าเธอยังหมดสติอยู่ ในจิตใต้สำนึกของเขารู้สึกว่าเก้อหลงรู้ตัวแล้วว่าเขาไม่ใช่เจ้าเมืองสนธยาคนก่อน
“มันเป็นไอ้หมอนั่น เซียหลาง คนที่ฆ่าหนิงเอ้อ!”
เซียหลางเป็นชื่อของ ราชเลขาเซีย ที่รับใช้ในตำหนักของเจ้าเมือง
ลู่หยุนถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนว่าเก้อหลงจะไม่รู้ความลับของเขา “ แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“เพื่อติดตามนายท่านไง!” สายตาของเก้อหลงเบิกบาน เวลาที่เขามองไปยังท่านเจ้าเมืองหนุ่มเบื้องหน้า ลู่หยุนเกือบจะเห็นว่าสมองของเก้อหลงเดือดด้วยความตื่นเต้นผ่านรูในกะโหลกศีรษะของคนรับใช้เสียแล้ว
“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง?” ลู่หยุนใช้เวลาถอยห่างออกไปไม่กี่ก้าว มีบางอย่างผิดปกติมากกับเก้อหลงคนนี้ เขาได้รับพลังอันชั่วร้ายบนภูเขาจนกลายเป็นผีดิบไปแล้วงั้นเหรอ?
แม้แต่ผีดิบอายุพันปีก็เป็นยังไม่ค่อยจะชาญฉลาดหรือมีสติปัญญาเท่านี้เลย นอกจากหัวของเก้อหลงที่ตกลงไปบนพื้นอย่างสม่ำเสมอแล้ว ตัวของเขานั้นก็ดูไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย
“ข้ารับใช้คนนี้เดินเข้าไปข้างใน เมื่อข้าเดินไปจนเห็นประตูใหญ่ พอเปิดมันออกข้าน้อยก็เห็นนายท่านและว่านเฟิง นายท่าน สุสานนี่ มันอันตรายมาก มันทั้งแปลกและเต็มไปด้วยกลไก ขอให้ข้ารับใช้ผู้นี้ได้ปกป้องนายท่านเถอะ!” เก้อหลงพูดด้วยความจริงจัง แต่ถึงอย่างงั้น รูที่อยู่ตรงกลางหน้าผากของเขามันก็ช่าง… เตะตายิ่ง
“นั่นมันสิ่งที่แกพูดตอนออกจากเมืองไม่ใช่เรอะ” ลู่หยุนบ่น “ ถ้างั้นก็มากับข้า ถ้าเจ้าต้องการ”
ดูเหมือนว่าลู่หยุนจะไม่สามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตตรงหน้าออกไปได้ ถึงมันจะไม่ได้ทำอันตราย แต่นี่ก็ไม่ใช่มิตรแท้เช่นกัน ถ้าเผลอละก็มันอาจจะทำอะไรก็ได้ ไอ้แก่นี่มันใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววิเพื่อดูดวิญญาณรูปปั้นให้กลับไปเป็นหินดังเดิม ยังไงเสียถ้าเก้อหลงต้องการจะกำจัดเขาจริง ป่านี้ลู่หยุนก็น่าจะตายไปนานแล้ว
“น้อมรับบัญชา!” เก้อหลงให้กำลังใจและเดินไปด้านข้างของลู่หยุนอย่างรวดเร็ว
ปัง
ปัง
ปัง
ในขณะที่พวกเขากำลังเดินจากไป กำแพงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของห้องหินก็แตกสลายในทันที แมลงวันศพนับไม่ถ้วนบินมาพร้อมกับผีดิบเก่าแก่อายุนับพันปีที่มีเปลวไฟสีเขียวลอยอยู่ข้าง ๆ มันพุ่งผ่านช่องที่เปิดออก
“ ของน่าอร่อยอีกชิ้นแล้ว!” เก้อหลงเกือบจะพุ่งเข้าไปเมื่อเห็นผีดิบ “ แต่เจ้านี่มันไม่ง่ายเลยที่จะจัดการ นายท่านออกไปกับแม่นางก่อน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ!” ว่าแล้วเขาก็เข้ามาขวางเส้นทางของผีดิบ
ลู่หยุนเองก็ไม่คิดที่จะช่วยเก้อหลงอยู่แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงพาว่านเฟิงวิ่งออกไปจากห้องโถงหินทันที
แกร่ก
“ง่ำ ง่ำ เจอวิชาหัวบินของข้าซะ!” เก้อหลงถอดหัวออก ก่อนจะเหวี่ยงมันออกมาอย่างไร้ความปรานีไปที่ผีดิบตรงหน้าเขา