เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 7 ศพแมลงวัน
บทที่ 7 ศพแมลงวัน
ถ้ำด้านใน มีกำแพงยาวออกไป ไกลเสียจนไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน มีเพียงแค่สายลมพัดผ่านเข้ามาเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก
“แปลกจัง มีกลิ่นเหม็นด้านนอก แต่พอเข้ามาข้างในแล้วมันกลับหายไป?” ไข่มุกในมือของว่านเฟิงเปล่งแสงนุ่มนวลส่องทาง
“นั่นคือกลิ่นสุสาน เพราะว่าสุสานถูกเปิดออก กลิ่นมันก็เลยจางหายไปด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง” ว่านเฟิงบ่นด้วยความเข้าใจเพียงครึ่งเดียว
“ชั่วร้ายมาก! พวกเขาสร้างทางหลอกเอาไว้ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะไปเจอกับกับดักอย่างเดียวเลย“ ลู่หยุนพูดต่อ
โชคดีที่เขาคำนวณการออกแบบสุสานด้วยรูปทรงของอิฐที่พวกเขาเพิ่งทุบเข้าไป มิฉะนั้นแล้วเขาอาจตกหลุมพรางจริง ๆ เข้าให้!
“มีลมข้างใน งั้นก็แสดงว่าทางเดินนี้ต้องเชื่อมออกไปยังที่ไหนสักแห่ง” ว่านเฟิงกล่าวอย่างสงสัยเมื่อเธอได้ยินเสียงพึมพำของเขา
“นั่นแหละทำให้พวกคนสร้างสุสานดูเลวขึ้นมาไง ลมนั่นน่ะไม่ใช่ของจริงหรอก แต่มันแค่ถูกสร้างขึ้นมาให้วนเวียนอยู่ในนี้เท่านั้น มันเป็นกับดักให้เราตายใจไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ตาม” ลู่หยุนเข้ามาใกล้กำแพงหินที่สุดทางเดินและลองเคาะทดสอบมันดู
แม้ว่ามันจะไม่ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยที่พวกเขาเข้ามา แต่เขาก็เดาแบบแปลนของทั้งสุสานได้จากวัสดุที่ใช้ก่อสร้าง มันก็เหมือนกับที่เรามองเสือดาวแล้วรู้ได้ทันทีจากลายบนตัวมันนั่นแหละ
“ว่านเฟิงกะเทาะกำแพงนี่หน่อย สุสานอยู่ด้านหลังนี่แหละ!” ลู่หยุนกระพริบตาอย่างมีความสุข “รูปแบบนี้อาจจะดูพิเศษไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้พิเศษเกินไปขนาดนั้น”
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด ว่านเฟิงก็ขุดรูบนหินนั่นด้วยดาบเล่มยาว
“นายท่านกำแพงนี้แข็งมาก ข้าไม่สามารถทำลายมันได้หากไม่ใช้อาวุธวิญญาณชิ้นอื่น” เธอหอบความเปล่งประกายแวววาวบนหน้าผากของเธอ
อาวุธวิญญาณ? ลู่หยุนกระพริบตา เขาไม่รู้ว่าอาวุธวิญญาณคืออะไร แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป หากถามมากเกินไป เขากลัวว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวเอง เพราะงั้นเขาเลยกะกลับไปอ่านหนังสือสักสองสามเล่มเพื่อทำความเข้าใจด้วยตัวเอง “สุสานที่แท้จริงควรอยู่จะข้างใน เธอพอจะจุดไฟได้ไหม?”
“จุดไฟ?” ว่านเฟิงดีดนิ้วของเธอเพื่ออัญเชิญเปลวไฟที่ปลายนิ้ว
“นี่มันอะไรกัน?” ภาพที่เห็นทำให้ลู่หยุนตะลึงหนักกว่าเดิม
“นายท่าน นี่เป็นเพียงวิชาจากพลังธาตุพื้นฐานทั้ง 5 เอง ใคร ๆ ก็ใช้ได้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะจำได้ว่าเจ้านายของเธอไม่สามารถฝึกฝนได้
ลู่หยุนพยักหน้าก่อนหยิบกระดาษสีเหลืองออกมาหนึ่งแผ่น จุดไฟด้วยเปลวไฟเล็ก ๆ เขาเหวี่ยงมันลงในหลุมที่ว่านเฟิงกะเทาะมัน
เขาจับตามองลูกบอลแสงอย่างตั้งใจ
“มันกำลังไหม้แบบนี้ ไม่มีปัญหา พวกเราเข้าไปข้างในได้แน่ ๆ” ลู่หยุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากลูกบอลเพลิงดับมอดก่อนที่ไฟจะหมด เขาก็จะเลือกทางอื่นแทน
“นายท่านรอบรู้จริ งๆ ทำไมว่านเฟิงถึงไม่รู้เรื่องนี้กันนะ?” เธอถามด้วยความสงสัยพร้อมกับจ้องมองไปที่ลู่หยุน
“ฉันจะเป็นเจ้าเมืองได้ยังไงถ้าฉันไม่รู้จักเรื่องพวกนี้น่ะ?” หัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะ แต่เขาก็รักษาความมั่นหน้าเอาไว้ได้
“จริงด้วยเจ้าค่ะ” ว่านเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “นายท่านได้ให้ข้าน้อยอยู่ห่างตัวตั้งแต่ตอนนั้น และข้าน้อยคนนี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย”
ลู่หยุนกระพริบตา “ตอนนั้น?”
หญิงสาวหน้าแดงและปฏิเสธที่จะตอบกลับ
พนันได้เลยว่าไอเด็กเปรตนี่จ้องจะงาบว่านเฟิงแน่ ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เธอทิ้งระยะห่างมากขึ้นซะงั้น สังเกตจากท่าทางของเธอแล้ว เธอก็คงไม่ขัดขืนหรอกมั้งถ้าฉันจะทำอะไรแบบนั้นกับเธอ
ลู่หยุนผลักความคิดนั้นออกไปก่อน เขาค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าสู่สุสาน
“นายท่าน!” สาวใช้ส่งเสียงท้วงทันทีขณะที่ทั้งคู่เดินเข้าไปในอุโมงค์
“อะไร?” ลู่หยุนหันหลังกลับและเห็นแต่เพียงความมืดสนิท เขาไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือที่ยื่นออกมา หมอกควันที่กระจัดกระจายของลูกบอลสีเขียวอ่อนที่ลอยอยู่ในอากาศนั่นคือ ไข่มุกของว่านเฟิง
“ฉันสัมผัสอะไรไม่ได้เลย” เสียงของหญิงสาวเริ่มจริงจังขึ้นมาแล้ว
ต้องขอบคุณวิชาความรู้เรื่องผู้ฝึกตน 101 จากว่านเฟิงที่พึ่งสอนเมื่อคืน ลู่หยุนจึงรู้ว่าการรับรู้คือหนึ่งในสิ่งสำคัญของร่างกายผู้ฝึกตน หากมันหายไปก็เท่ากับว่าพวกเขาตาบอดไปครึ่งตัวแล้ว
“ไม่ต้องกังวล” เขาเอื้อมมือไปจับมืออันอ่อนนุ่มของเธอ “มีฮวงจุ้ยที่นี่ ไม่สิ ฉันหมายถึงค่ายกล มันคอยลบสติของเธออยู่ ดูนี่สิ แม้แต่แสงจากไข่มุกก็ยังโดนบดบังเลย”
ว่านเฟิงพยักหน้าในความมืดและร่างกายของเธอก็อยู่ในการระมัดระวังเต็มที่
สำหรับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ ความมืดคือสิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวที่สุด แต่เมื่อเขาทะลวงสุสานมานับไม่ถ้วนแล้ว ลู่หยุนก็เริ่มที่จะชินกับความมืดไปโดยปริยาย
พูดอีกนัยนึงก็คือที่นี่มันก็เหมือนกับสวนหลังบ้านของเขาล่ะนะ
ลู่หยุนวางมือของว่านเฟิงไว้บนบ่าของเขา “ โอบไหล่ของฉันไว้แล้วตามฉันมา”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวยอมรับ
ลู่หยุนเดินเข้าไปใกล้กำแพงแล้วยื่นหน้าเข้าไปสำรวจ “นี่ควรเป็นห้องฝังศพ” เขาขมวดคิ้ว “หืม?”
ทันใดนั้นมือที่กำลังค้นหาของเขาก็แตะเข้ากับสิ่งที่ยื่นออกมาจากกำแพง ลู่หยุนกดมันลงไปเบา ๆ
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
เปลวไฟที่น่าขนลุกทำให้ทั้งห้องสว่างขึ้น โคมไฟน้ำมันแปดดวงฝังอยู่บนผนัง ไม่ว่าเขาจะสัมผัสอะไรในตอนนี้ มันก็คงจะไปจุดประกายไฟพวกนั้น เปลวไฟที่ส่องผ่านกระจกเป็นสีเขียว
“ไฟสีเขียว?” ลู่หยุนสั่น
แสงสีเขียววาดเงา ทำให้ทุกสิ่งในห้องรวมถึงโลงศพหินขนาดมหึมาที่อยู่ตรงกลางดูลึกลับ และน่ากลัว การรวมกันของเปลวไฟสีเขียวและโลงศพยิ่งทำให้น่าขนลุกเป็นพิเศษ
“นี่คือสุสานของเซียนจริง ๆ !” ว่านเฟิงอุทานตัวสั่นหลังจากมองโลงศพหินอย่างใกล้ชิด
“อย่าแตะโลงศพนั่นนะ!” ลู่หยุนกลืนน้ำลายหลังจ้องมองที่โลงศพอย่างมั่นคง “มันเป็นแผนแห่งความจริงและความเท็จ! ควันและกระจกทำให้สถานที่นี่อยู่ในโครงสร้างของเต่าดำหมอบแห่งเขาแดงสนธยา ภาพลวงตาปิดบังความเป็นจริงในทางเดินด้านนอกและตอนนี้จินตนาการก็ครอบคลุมทุกความจริงในห้องฝังศพ! ไอ้สารเลวคนไหนมันเป็นคนสร้างสุสานนี้วะ?!”
แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่โลก และลู่หยุนก็อยู่ในร่างใหม่พร้อมด้วยเอกลักษณ์ใหม่ ๆ แต่ประสบการณ์อันน่าสะพรึงกลัวก็ได้สอนเขามาทั้งชีวิต เขาสามารถสังเกตและเข้าใจใจกลางของสุสานได้เป็นอย่างดี
“นี่เป็นอีกหนึ่งจุดรวมตัวของหยิน ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีอะไรถูกเลี้ยงขึ้นมาในห้องนี้? ไป รีบหนีเร็วเข้า!” เขากลับมาได้สติทันทีและดึงว่านเฟิงให้วิ่งออกมาที่ประตูหินพร้อม ๆ กัน
นอกเหนือจากหลุมมหึมาที่ว่านเฟิงเพิ่งขุดไปแล้ว ยังมีทางออกอีกสี่ทางในห้องเก็บศพนี้ อย่างไรก็ตามมีเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้นที่เป็นของจริง อีกสามจะนำไปสู่ความตาย
ครืน
ในขณะนั้นเอง ฝาโลงศพหินก็ค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ ทั้วทั่งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า แขนดำคล้ำสองข้างยื่นออกมาจากด้านใน
“นั่นอะไรน่ะ?” เสียงของว่านเฟิงสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวเธอไม่เคยเห็นสิ่งแปลกประหลาดในชีวิตของเธอมาก่อน!
“ข้าวก้อนใหญ่!” ลู่หยุนตะลึง “ หรือจะเรียกแม่งว่าผีดิบก็ได้! สิ่งมีชีวิตที่ถูกสวรรค์และโลกทอดทิ้ง พวกมันเร่ร่อนไปทั่วทั้งสามโลกและเส้นทางชีวิตทั้ง 6 มันไม่ใช่ทั้งคนเป็นหรือคนตาย วิ่งเร็วเข้า!”
ข้าวก้อนใหญ่อยู่ในท่านั่งแล้ว รูปร่างสีดำทำให้ไม่สามารถแยกแยะรูปร่างที่แท้จริงได้
ฮื้ม ฮื้ม ฮื้ม
ทันใดนั้นสิ่งที่ฟังเหมือนแมลงวันก็บินออกมาจากโลง เจ้าแมลงวันโลหิตบินตรงไปยังพวกเขาทั้งสองคนในทันที
“นายท่านรีบหนีไป!” ว่านเฟิงตื่นตระหนกเมื่อเห็นภาพนี้ เธอเหวี่ยงมือของลู่หยุนเพื่อจะผลักเขาเข้าประตูหินไป แสงสีฟ้าครามที่ระเบิดออกมาจากดาบยาวของเธอหมุนไปในอากาศเพื่อก่อให้เกิดตาข่ายแสงปริมาณมหาศาล
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
แมลงวันแต่ละตัวที่สัมผัสกับตาข่ายกระจัดกระจายเป็นเศษชิ้นส่วนบนพื้น
“อย่าเข้ามาใกล้เชียวนายท่าน พวกนี้คือสัตว์อสูรมีความสามารถเทียบเท่าระดับปราณประยุกต์!” ลำแสงและพายุสีเขียวถูกยิงออกมาจากดวงตาของว่านเฟิง
ถึงแม้ว่านเฟิงไม่กล้าฆ่าใคร แต่กับพวกแมลงวันแบบนี้ เธอกล้า!
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
พายุมีขนาดโตขึ้นกว่าสามเมตรจนมันสัมผัสเข้ากับส่วนบนของห้อง ก่อนที่พายุสีเขียวจะขยับเข้าไปหาฝูงแมลงวันที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดเหล่านั้น แม้แมลงวันจะมีจำนวนมาก แต่พวกมันก็ไม่สามารถเทียบได้กับวิชาการต่อสู้ของว่านเฟิงได้และถูกทำลายไปในท้ายที่สุด
ในที่สุดเธอก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้ฝึกตน
ผลั่ก!
สิ่งที่ฟังดูเหมือนบางสิ่งที่ใหญ่ ๆ กระโจนออกมา ก่อนที่เธอจะมีเวลาเตรียมใจ มันทำให้ว่างเฟิงเสียสมาธิและเกือบจะทำให้ตัวเธอกระอักเลือดออกมา แต่เมื่อได้รับบาดเจ็บแล้ววิชาต่อสู้ของเธอก็หายไปทันที
ผีดิบสีดำปีนออกมาจากโลงศพ มันยืนอยู่ด้านหน้าโลงของมัน ก่อนที่จะจ้องมองไปยังว่านเฟิง สิ่งที่กระแทกเข้ากับเธอนั้น ก็มาจากสองเท้าที่มันกระแทกลงไปบนพื้นนั่นเอง
มีแมลงวันเลือดสีแดงมากออกมาจากโลงศพเพิ่มขึ้นอีก
“นายท่าน หนีไป!” ว่านเฟิงเร่งรีบอย่างใจจดใจจ่อ แต่เมื่อเธอหันหลังกลับไปก็เห็นว่าลู่หยุนยังคงอยู่ด้านหลังเธอ
“มันคือแมลงวันศพ เฉพาะร่างของผีดิบอายุหนึ่งพันปีเท่านั้นที่จะมีสิ่งเหล่านี้” ลู่หยุนถอนหายใจเบา ๆ “ฉันเคยอ่านเกี่ยวกับพวกมันในบันทึกโบราณของนิกายเท่านั้น ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าได้เห็นพวกมันด้วยตาทั้งสองของฉันเอง หลังจากมาถึงโลกเซียนนี้! แมลงวันศพเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ๆ แม้แต่พวกบรรพบุรุษด้วย!”
“ผีดิบตัวนี้อายุกว่าพันปี โลกเซียนนี่มันสุดยอดชะมัด!” ร่างกายของเขาสั่นด้วยความตื่นเต้น มีบางสิ่งที่เขาเคยเห็นในหนังสืออยู่ที่นี่! ในฐานะโจรขุดสุสานชั้นเซียน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการสำรวจสิ่งที่น่าตื่นเต้นอีกแล้ว!