เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 61 กรรมตามทัน
นิยาย เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ [1
บทที่ 61 กรรมตามทัน
แม้จะไม่เห็นลู่หยวนโหโดยสายตา แต่คําพูดของเขาทําให้ทั้งฉิงฮั่นและโม่วยี่ยังถึงกับผงะ
การช่วยเหลือว่านเฟิงคือเป้าหมายหลักของลู่หยุน และไม่เคยมีใครจะคาดคิดว่านางจะถูกหมายหัวเป็นเครื่องบวงสรวง ซ้ําเจ้าลู่หยวนโหยังแจ้งชื่อนางต่อราชสํานักเสียแล้ว เท่ากับว่าการตัดสินใจครั้งนี้ยากที่จะเปลี่ยนแปลง
หากสิ่งที่ฉิงฮั่นรู้สึกกังวลคือทั้งคู่ หยวนโหและเฟิงลี่ต่างกลับมาที่บ้านตระกูลเก้อ ราวกับจะบอกเป็นนัยถึงความสนิทสนมกลมเกลียวระหว่างผู้อาวุโส เพิ่งและตระกูลลู่ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการที่เจ้าบ้านตระกูลเก้อมีท่าทีเหมือนถูกครอบงําโดยคนจากเหล่าเทพเซียนเหนือสวรรค์
“อ่อ ” ลู่หยุนพยักหน้าน้อย ๆ แทบไม่เคลื่อนไหว “นางมีความจงรักภักดีและ โชคชะตาจึงถูกเลือกไปเป็นเครื่องบวงสรวง นางคงยินดีที่ได้สละชีพเพื่อยุคสมัยแห่งอิสรภาพของเขตเมืองสนธยา”
ทุกคนในที่นั้นพากันตกตะลึงกับสิ่งที่ลู่หยุนเปิดเผยไม่เว้น
แม้กระทั่งลู่หยวนโหชายหนุ่มจะมาไม้ไหนกันแน่
แต่ก่อนคนแซ่ลู่เคยรู้ว่าเจ้าเมืองหนุ่มมีความรู้สึกเช่นไรต่อสาวใช้นางนี้ ดังนั้น ด้วยความต้องการจะแก้แค้นทันทีที่หัวหน้าบ้านตระกูลเก้อจับนางกลับมา เขาจึงจัดการส่งนางไปเป็นเครื่องบวงสรวงทันที
เจ้าเมืองคนนี้จะต้องเป็นผู้ประกอบพิธี กรรมเพราะฉะนั้นถ้าจะสังหารลู่หยุนเสียนั้น คงต้องรอไว้ภายหลังจากเสร็จสิ้นการบูชายัญ ด้วยเกรงว่าจะมีคนยอมเสี่ยง จนเกิดความรุนแรงจากสุสานโบราณ
ลู่หยวนโหและเฟิงลี่ไม่ได้ใส่ใจต่อเจ้า หัวหน้าบ้านตระกูลเก้อ ด้วยฐานะของเขาจึงสามารถบังคับให้คนอื่นทํางานนี้ แทนคนทั้งสองและรอคอยลู่หยุนอยู่ที่โคนซากต้นไม้ มิฉะนั้นแล้วชายหนุ่มจะใช้อํานาจควบคุมคนทั้งบ้าน–ไม่สิ เขาจะใช้อํานาจส่งคนบ้านตระกูลเก้อเป็น เครื่องบูชายัญเพื่อสร้างพลังปราณของตนเองให้กล้าแข็งขึ้น
“พูดเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร!” เฟิงลี่ถามอย่างหวาด ๆ เจ้าเมืองคนนี้ เป็นคนแปลก ไม่อาจตัดสินเพียงแค่ผิวเผิน ลู่หยุนตามมาช่วยนางหญิงรับใช้ แต่เหตุใดเขาดูเฉยเมยต่อความเป็นความตายของนางเล่า
“อย่างที่ข้าบอก นางได้รับเกียรติให้ ช่วยเขตเมืองสนธยามีอิสระและเจริญรุ่งเรือง!” ลู่หยุนแสดงถึงความอหังกา “ข้ารู้สึกยินดีที่สาวใช้คนเดียวของข้าเป็นประโยชน์ต่อคนที่นี่ แม้ว่านางจะเป็นญาติคนเดียวของข้าบนโลกแห่งนี้ ด้วยป้ายอาญาสิทธิ์ ข้าในฐานะข้าราชการแห่งหลางเซียเทียนมีหน้ากําจัดผู้คิดคด ทรยศให้เกิดอิสรภาพและความอยู่รอดปลอดภัย!
“หัวหน้าบ้านตระกูลเก้อมีความผิดฐานก่อการจลาจล ทําร้ายกองทหารหอกทมิฬ กระทําการฆาตกรรมผู้คนของเจ้าเมืองโม่วยี่ จับพวกมันให้หมดทุกคน! ใครบังอาจขัดขืนจะถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดและต้องรับโทษสถานเดียวกัน!”
คําประกาศก้องของลู่หยุนสะท้านก้อง รังสีแห่งอํานาจแพร่กระจายในอากาศพุ่งตรงไปยังเฟิงลี่และลู่หยวนโหที่ยังหลบมุมอยู่ เป็นประกายแสงที่แผ่แห่งคัมภีร์เป็นตาย
ทว่าประกายแสงไม่ได้ทําอันตรายต่อทั้งโม่วยี่และนิ้งฮั่น แต่ไปจอี้ซึ่งยืนอยู่ใกล้ลู่หยุนมากที่สุดกลับรู้สึกราวกับว่าถูกอ่างใส่น้ําแข็งเทราดลงตรงกลางกระหม่อมพอดี คนผู้นี้ทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ขอรับ นายท่าน!” กองทหารเปล่งเสียงรับคําสั่งจากลู่หยุน พลันทหารทั้งกองร้อยถลันเข้าจับกุมตัวพ่อบ้านไป ทันที
“ใครกล้าบังอาจ!” พลังรุนแรงพุ่งตรงจากภายในบ้านกระแทกทหารเลวสอง นายกระเด็นไปคนละทางจนวิญญาณมันออกจากร่าง
นั่นเป็นพลังปราณระดับจิตวิญญาณแห่งผู้อาวุโสบ้านตระกูลเก้อ ข้อกล่าวหาคิดคดทรยศและก่อการกบฏถือว่าเป็นสถานการณ์ร้ายแรงที่สุดจนอาจทําลายสถานะของตระกูล เขาไม่อาจนิ่งดูดายรอให้ใครมาจับตัว ดังนั้นจึงตัดสินใจเตรียมพร้อมเพื่อปกป้องตัวเอง ผู้ฝึกตนทั้งหมดของบ้านติดตามมากับผู้นําอาวุโสพุ่งปะทะกับแถวทหาร
อย่างไรก็ตาม ถึงที่จะเป็นถิ่นของพวกเขา หากทว่าศัตรูเองก็ไม่ใช่นักรบธรรมดา แต่เป็นถึงทหารกองหอกทมิฬ!
“เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงช่วยเหลืออาชญากร ฆ่ามันให้หมด!” ลู่หยุนไว้ซึ่งความเมตตาต่อตระกูลที่วางกลอุบาย เพื่อปลดเขาจากตําแหน่งอีกต่อไป พวกคนเหล่านี้แสดงออกว่าเป็นขวากหนาม ของเขานับแต่วันแรกที่มาถึงโลกเซียนแห่งนี้
ในขณะเดียวกัน ผู้เดียวที่สามารถยืน หยัดรับมือกับพลังจิตวิญญาณเริ่มต้นได้ มีเพียงแค่โม่วยี่ที่เข้าใจความหมายของชายหนุ่มเท่านั้น ทว่าเจ้าสุนัขจิ้งจอกน้อยกลับมีความว่องไวกว่า มันดิ้นรนออกจากอ้อมแขน ก่อนจะปีนขึ้นไปเกาะบนบ่า นัยน์ตาของเมียวส่องแสงราวกับอัญมณีสีฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าออกมา ครอบคนเหล่านั้นไว้ทั้งหมด
ภายในลานกว้างผู้ฝึกตนพลังจิต วิญญาณอาวุโสเต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ชายชรามัวแต่ครุ่นคิดและหัวเสียอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าเสียทีให้กับทหารที่มีพลังปราณแก่นดั้งเดิม
ขณะเดียวกัน ทั้งเฟิงลี่และลู่หยวนไฉต่างพากันหลบหลีกสมรภูมิที่กําลังต่อสู้กันอย่างชุลมุน สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
แผ่นป้ายในมือของฉิงฮั่นพลันปรากฏ แรงรัศมีเรื่องรองราวกับแสงอาทิตย์ขนาดย่อม เมื่อแสงสีทองทอประกายเต็มที่ มันก็กลายเป็นรังสีของฮ่องเต้ บุตรแห่งสวรรค์ แผ่นป้ายอาญาสิทธิ์เนื้อแท้! สิ่งที่แผ่นป้ายเห็นเท่ากับสายพระเนตรขององค์ฮ่องเต้เช่นกัน
“นี่คือแผ่นป้ายแทนองค์ฮ่องเต้…” เฟิงลี่ตัวสั่นงันงกส่งเสียงรําพึงขณะที่เหลือบ มองแผ่นป้ายในมือของตนเอง แสงริบหรี่ราวกับได้พยายามรวบรวมอย่างเต็มที่ ช่างแตกต่างกับแผ่นป้ายของฉิงฮั่นราวฟ้ากับเหว
ในเวลานั้นลู่หยวนโหพยายามหาช่องทางหลบออกไปจากที่นั่น แผ่นป้ายอาญาสิทธิ์หาได้มีอํานาจโดยตัวของแผ่นป้ายเอง แต่การจะแก้ต่างให้พ่อบ้านเก้อในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าเขาคงจะพลอยถูกตราหน้าว่าเป็นผู้กระทําไปด้วย
ในยุคที่ราชบัลลังก์เป็นที่เคารพเทิดทูน ตระกูลเก้อไม่มีทางรอดอื่นใด คงได้แต่ยอมรับและรอคําตัดสินโทษบนเส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน
แต่พวกเขาที่เหลือก็ยังสามารถเลือกที่จะให้ความร่วมมือได้ ตอนนี้อาวุโสของบ้านผู้ตายได้กระทําการร้ายแรงอันมิอาจลดหย่อนโทษ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเลือก!
คําบัญชาของเจ้าเมืองหนุ่มทําให้กอง ทหารหอกทมิฬทําการเข้าควบคุมบ้านตระกูลเก้อ ทหารทุกนายล้วนแล้วแต่เกิดความตื่นตัว พวกเขาต่างกระหายในการสู้รบเยี่ยงทหารผู้ผ่านศึกสงครามที่ได้ต่อสู้กับวิญญาณอสูรร้ายแห่งคาบสมุทรทะเลเหนือ พวกนี้ไม่ต้องใช้เหตุใช้ผลการเข่นฆ่าศัตรูอย่างเหี้ยมโหดจึงจะยุติ ความกระเหี้ยนกระหือรือของพวกเขาลงได้
เมียวคลายเวทมนตร์ภาพลวงก่อนจะถอยกลับไปอยู่ในอ้อมแขนของโม่วยี่ตามเดิม
“ท่านเจ้าเมือง เจ้าทําเกินไปแล้ว!” เฟิงลี่ตะโกนมาหน้าของเขาซีดลงเรื่อย ๆ เมื่อเห็นสมรภูมิอาบไปด้วยเลือด
“ทหารหอกทมิฬนายหนึ่งเคยนอนตาย อยู่แทบเท้าของเจ้า” ลู่หยุนตอบกลับ
เฟิงลี่หุบปากนิ่งไป เขาและลู่หยวนโหมีข้อตกลงร่วมกันมากมายภายใต้การสนับสนุนของตระกูลเก้อ ทว่าในตอนนี้ที่นี่กลับเปรียบดั่งโรงฆ่าสัตว์ ทั้ง ๆ เขาปรารถนาเพียงแค่จะได้รับสมบัติของอดีต เจ้าเมืองเพื่อต่อไปจะได้รับการเชิดชูในฐานะตัวแทนชิงตําแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้นเอง!
พวกทหารโดนตัดขั้วหัวใจ พวกมันยังไม่ทันแม้แต่จะเอ่ยวาจาทั้งที่ควรจะได้โอกาสต่อรองสักครั้ง
เวรกรรม ทุกอย่างสายเกินไปเสียแล้ว
ไป๋จู่อี้นอนขดอยู่บนพื้น สายตาเลื่อนลอยจ้องไปยังร่างของคนตระกูลเก้อที่ล้มตายลงคนแล้วคนเล่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนพลังแก่นชีวิต พลังแก่นดั้งเดิม รวมทั้งพลังจิตวิญญาณเริ่มต้น ทั้งหมดวนแล้วแต่กลายเป็นซากศพกองพะเนิน -ไม่มีใครเหลือรอด จิตใจท่วมท้นไปด้วยความท้อแท้ บ้านตระกูลเก้อจักเป็นอย่างไรในเมื่อคนในตระกูลถูกกําจัดจนหมดสิ้น
“ไป๋จู่อี้ เจ้าเป็นพ่อบ้านให้คนตระกูลเก้อใช่ไหม” เสียงโม่วยี่ถามขณะเหลือบตามอง
“เปล่า ไม่ได้เป็น! ข้าไม่ใช่คนของเขา ตระกูลไป๋ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเก้อ…” ท่าทางอยากจะร้องไห้ออกมาเต็มที่ ปากพ่นแก้ตัวพัลวันจนเกือบฟังไม่ออก
“เอาละข้าจะปรานีต่อเจ้า ในฐานะที่ถูกหลอกลวงให้มารับใช้อาชญากรเช่นตระกูลเก้อ” ลู่หยุนพูดอย่างใจเย็น เขาพอจะเดาออกว่าโม่วยี่มีแผนอย่างไร นางต้องการแสดงให้เห็นปัญหาความขัดแย้งภายในออกมาให้เป็นที่กระจ่าง จึงต้องอาศัยเครือข่ายก็คือตระกูลไป๋ซึ่งรกรากเป็นคนท้องถิ่นมาช่วยสรรหาผู้ที่มีความเหมาะสม
“ขอคารวะน้ําใจท่านนัก ท่านเจ้าเมือง! ขอคารวะ!” ว่าแล้วไปจอี้ก็ก้มลงโขกศีรษะกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้าควรคารวะขอบคุณให้กับเจ้าเมืองโน่น นางรับรู้เรื่องในและนอกจระกูลของเจ้าดีและรู้ว่าเจ้าไม่ควรต้องถูกตราหน้า” ลู่หยุนกล่าวเสียงเรียบเฉย
“กรุณารับคารวะจากใจจริงของข้า เจ้าเมือง! คารวะจากใจจริง!” ไป๋จู่อี้หันไปคุกเข่าคารวะไม่วยซึ่งพยักหน้ารับเงียบ
ในที่สุดการฆ่าล้างโคตรนับร้อยชีวิตของผู้ฝึกตนแห่งบ้านตระกูลเก้อก็สิ้นสุดลง ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตหลงเหลือลมหายใจในทะเลเลือด
“พวกมันสมควรตายหรือไม่” โม่วยี่เอ่ย เสียงแห้งสีหน้าเจ็บปวดยิ่ง
“ข้าคิดเพียงจะจับกุมพวกเขาและข่มขู่ เพียงเล็กน้อยแล้วจึงส่งพวกเขาไปเป็นคนรับใช้ ทว่าพวกมันกลับสมรู้ร่วมคิดกันสังหารคนของข้า ด้วยสถานการณ์ที่พาไป จึงกลายเป็นเช่นดั่งที่เห็น” ลู่หยุนส่ายหน้า หน้าตาบ่งบอกว่าหมดหนทางจะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น
ทหารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดมาตลอดชั่วนาตาปีจนกลายเป็นคนไร้ความรู้สึก พวกเขารู้จักแต่การฆ่าเพราะกลัวว่าจะถูกฆ่าในสมรภูมิรบ เหมือนถูกยั่วยุให้มีอารมณ์ร่วม และจะไม่หยุดฆ่าจนกว่าจะสังหารศัตรูให้หมดสิ้น
ภาพลวงตาของเมียวสามารถลวงได้ถึงระดับเซียนชั้นฟ้าก็จริง ทว่ามันก็ไม่อาจสร้างใบหน้าที่บ้าคลั่งของกองทหารหอกทมิฬออกมาได้
ดังนั้นบ้านตระกูลเก้อจึงถูกผลกรรมตามมาทันเช่นนี้