เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 60 เครื่องเซ่นสรวงเทพแม่น้ํา
นิยาย เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ [[ฟรี]
บทที่ 60 เครื่องเซ่นสรวงเทพแม่น้ํา
ถิ่นทางตอนใต้ของเมืองวารีทมิฬส่วนใหญ่เป็นบ้านพักอาศัยของผู้ฝึกตนและครอบครัว ผู้นําของหมู่บ้านแห่งนี้เป็นผู้ฝึกตนระดับแก่นทองคํา จึงเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในหมู่บ้าน
สมัยก่อนบ้านตระกูลเก้อไม่ได้ใหญ่โตถึงเพียงนี้ตระกูลนี้เคยเป็นเพียงครอบครัวผู้ฝึกตนธรรมดา ทว่าคนผู้นั้นกลับปรารถนาอย่างยิ่งในการปวารณาครอบครัวตนเองให้สูงขึ้นและด้วยการทุ่มเทเวลาเพื่อการดูแลรับใช้ชนชั้นสูงแห่งเขตเมืองสนธยา ความฝันที่ว่าก็จวนจะได้กลายเป็นจริงแล้ว
โอกาสที่ดีไม่ได้มีมาบ่อยครั้ง
เมื่อลู่หยุน ฉิงฮั่น และไม่วยพร้อมด้วยลูกน้องจํานวนหนึ่งเดินทางไปร้องเรียน แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งขัดขวางไว้
“เจ้าเป็นใคร จงแจ้งชื่อมา!” ชายชุดเขียวก้าวออกมาตรงปากประตูเขม่นมองคนทั้งกลุ่มด้วยสายตาดูหมิ่น
“จําหน้าเจ้าเมืองของเจ้าไม่ได้เสียแล้วหรือ ไปจู่อี้”โม่วยเสียงแข็ง
ท่าทางมั่นอกมั่นใจของชายวัยกลางคนแสดงออกว่าเขาเสแสร้งทําเป็นไม่รู้ นางเคยคิดว่าการผ่านเข้าประตูอาจเกิดติดขัดบ้างแต่ไม่คิดว่าจะพบกับหัวหน้าไปมาเฝ้าประตูด้วยตนเอง
“อ้าว เจ้าเมือง! ที่แท้เป็นท่านนั่นเอง” ไปจู่อี้หันขวับมาทางเสียงของโม่วย พลันเขาชะงักไปนิดหนึ่งกับความงามของหญิงสาวเจ้าเมืองตรงหน้า แม้ว่าจะอยู่ในเครื่องแต่งกายบุรุษทว่ามันก็ไม่อาจซุกซ่อนความงดงามภายใต้อาภรณ์ที่คลุมกายนั้น“ข้าอยากถามสักนิดได้หรือไม่ว่าท่านเจ้าเมืองมีเหตุอันใดมาถึงนี้”
ก่อนที่ตระกูลเก้อจะย้ายเข้ามารับตําแหน่ง เขาเองก็เคยประจบประแจงเจ้าเมืองคนนี้อยู่บ้าง อย่างไรก็ตามสถานะของเขาตอนนี้แตกต่างออกไป ในเวลานี้เขาเป็นพ่อบ้านให้กับตระกูลเก้อตระกูลซึ่งไม่ค่อยมีความสลักสําคัญกลับเริ่มมีอนาคตและความสดใสฉะนั้นเพียงเจ้าเมืองวารีทมิฬเท่านั้นจึงไม่ได้มีความหมายต่อเขา
อันที่จริง ถ้าหลี่ยวไฉไม่ได้หมั้นหมายนางไว้กับเจ้าเมืองเทียนเหอเสียก่อน บางทีไปจู่อี้อาจจะคิดหรือไม่คิดใช้อิทธิพลของตระกูลเก้อจับนางมาให้เขาก็เป็นได้
“เจ้าคงหันไปเกาะแข้งเกาะขาบ้านตระกูลเก้อแล้วซี” โม่วยเหยียดมุมปากหัวเราะเยาะ
“แม่นยํา!” ไปจู่อี้รับคํารวดเร็วอย่างไร้ซึ่งความอาย “เขาตบรางวัลให้ข้าด้วยตําแหน่งพ่อบ้านประจําตระกูลนี่นา”
“พ่อบ้านของตระกูลเก้อ” ฉิงฮั่นสาวเท้าออกมาเบื้องหน้า“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คือหัวหน้าไปจู่อี้ ใช่หรือไม่”
“ ข้านี่ละ แล้วเจ้าเป็นใคร” หันมามองฉิงฮั่น ความทรงจําของไปจู่อี้เริ่มปรากฏขึ้นราง ๆ ฉับพลันลมหายใจสะดุดหอบ
หนุ่มน้อยสีหน้าทุดโทรมเพราะเพิ่งฟื้นไข้ใบหน้าหมองคล้ํา ท่าทางอ่อนแอปวกเปียก ซึ่งไปจู่อี้ไม่ได้สนใจตั้งแต่แรกหากฉิงฮั่นไม่ได้มาพร้อมพวกโม่วยและดูท่าทางว่าจะสร้างปัญหาให้กับบ้านตระกูลเก้อ เขาคงไม่สนใจไอ้หนุ่มน้อยคนนี้แน่นอน
“ข้าทูตพิเศษเฉพาะมาแสดงตัวในนามแห่งองค์ฮ่องเต้ตระกูลเก้อมีความผิดฐานเป็นกบฏและกระด้างกระเดื่องประการที่หนึ่งโจมตีกองทหารหอกทมิฬ และประการที่สองจู่โจมบุกรุกจวนที่พักเจ้าเมืองวารีทมิฬ ข้ามาที่นี่เพื่อทําการจับกุมเขาตามที่ถูกตั้งข้อกล่าวหา” พูดจบพร้อมชูป้ายประจําตําแหน่งซึ่งบ่งบอกสถานะของเขาอย่างชัดเจน
ไปจู่อี้หน้าถอดสีเห็นเช่นนั้นจึงผงะถอยหลังทูตพิเศษเฉพาะองค์ฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ โทษฐานกบฏและกระด้างกระเดี๋องบ้านตระกูลเก้อหรือนี่
“เป็นไปไม่ได้! ตระกูลเก้อมีชื่อเสียงที่สุดในเขตเมืองสนธยาท่านผู้นําตระกูลจะต้องเป็นเจ้าเมืองคนต่อไปเขาจะคิดการณ์กระด้างกระเดื่องไปเพื่ออะไร”
“เจ้าเมืองคนต่อไปเชียวหรือ” ลู่หยุนเปล่งเสียงหัวเราะ“ในเมื่อเจ้าเมืองคนปัจจุบันยังอยู่ต่อหน้านี้เจ้ายังจะพูดเช่นนี้ต่อหน้านางได้อีกหรือ”
“ใคร ๆ ต่างรู้กันทั้งนั้นว่าหัวหน้าตระกูลเก้อส่งคนไปสังหารกองทหารหอกทมิฬและยังถล่มจวนเจ้าเมืองวารีทมิฬในฐานะที่ตระกูลไปรับใช้ตระกูลเก้อและเจ้าเป็นคน บริกรรอบนอก..อะไรนะตระกูลเก้อเคยบอกว่าจะให้เจ้าเป็น เจ้าเมืองอย่างนั้นหรือภายหลังจากที่เขาขึ้นสืบทอดราชบัลลัง ก์ฮ่องเต้ซีนะ”ลู่หยุนกล่าวยิ้มพร้อมตั้งข้อหาให้มัน
“มะ ไม่มีทางเป็นไปได้เ” ไปจู่อี้แข้งขาสั่นด้วยความหวาดกล้ว เขาไม่สงสัยตัวตนของฉิงฮั่นแม้แต่น้อย ก่อนหน้ามีข่าวลืออยู่เนือง ๆ ถึงการมาของทูตพิเศษเฉพาะองค์ฮ่องเต้พร้อมกลุ่มผู้ติดสอยห้อยตาม
ตอนนี้ทูตพิเศษมาที่นี่เพื่อจับกุมผู้ก่อการกบฏ ข่าวนี้ทําเอาเขาตกใจจนแทบสิ้นสติ ความประหวั่นทําให้ความคิดสับสนไม่ปะติดปะต่อ ไปจู่อี้เป็นผู้ฝึกตนระดับแก่นทองคําเมื่ออยู่ในเขตเมืองสนธยาเขาไม่ใช่คนสําคัญเลย ผู้ก่อการกบฏหรือเขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
“ทําไม ? หรือเจ้าเองก็เคยคิดต่อต้านซึนะ ถ้าเช่นนั้นทหาร!จับมันเดี๋ยวนี้” ลู่หยุนออกคําสั่ง ทหารในชุดเกราะสีดําจํานวนหนึ่งร้อยทะยานออกมาตรงเข้าจับกุมตามคําสั่ง
กองทหารเหล่านี้หยินชวนเทียนเป็นผู้ส่งมาสมทบ ดังนั้นทหารทุกนายจึงฝึกฝนมาถึงระดับแก่นทองคํา ส่วนหัวหน้ากองเองก็เป็นผู้ฝึกตนระดับแก่นดั้งเดิมพลังซึ่งเทียบเท่ากับเจ้าเมืองสนธยา
ตามปกติ การเดินทางจะต้องใช้เวลามากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางพร้อมกองทหารที่การเคลื่อนย้ายกําลังพลต้องมีขั้นตอน แต่ลู่หยุนมีเวลาไม่มากนัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงร่ายเวทเรียกกองทหารออกมาหลังจากแจ้งต่อหยินซวนเทียนผ่านแผ่นป้ายอาญาสิทธิ์
ด้วยความที่กองทหารหอกทมินไม่อาจปฏิเสธคําสั่งการของตําแหน่งผู้ว่าการเขตเมืองสนธยาได้ ดังนั้นหยินซวนเทียนจึงรับคําสั่งส่งทหารจํานวนกว่าหนึ่งกองร้อยออกมา
การบุกจับกุมของลู่หยุนพิสูจน์แล้วว่ากระทําโดยถูกต้องทั้งยังต้องมั่นใจที่จะทําโดยเปิดเผย ดังนั้นการมีทหารทั้งกองร้อยหนุนหลังเพื่อสร้างแรงกดดันจึงเป็นเรื่องจําเป็น
“พวกเจ้า หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงร้องห้ามมาจากประตู
เฟิงลี่ในเครื่องแต่งกายบุรุษเจ้าสําอางค์เช่นเคย ท่าทางจริงจังของเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพื้นฐานพฤติกรรมขี้เล่นไม่เอาจริงเอาจัง ผู้ฝึกตนจํานวนหนึ่งพรูตามกันออกมาจากด้านหลังเข้าขวางทหารจากกองหอกทมิฬ
” ท่านเจ้าเมือง เรายังไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดเรื่องที่พ่อบ้านตระกูลเก้อบังเอิญจู่โจมกองทหารหอกทมิฬเลยมิใช่หรือ”สายตาของเฟิงลี่จับตามองเพียงลู่หยุนชั่วขณะก่อนเปลี่ยนมาให้ความสนใจไม่วย ชายผู้นี้จ้องเขม็งเสียจนนัยน์ตาแทบถลนออกมานอกเบ้า ทําท่าน้ําลายเยิ้มจวนเจียนจะไหลย้อยออกมา
“เจ้ายังบ้าผู้หญิงอย่างเคยนะ เฟิงลี่ ระวังตัวให้ดี ญาติของข้าจะจับเจ้าตอนเข้าสักวัน” พูดแล้วฉิงฮั่นอดหัวเราะเยาะไม่โด
เพิ่งลึกลับตัวสั่นเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นบุคคลที่ตนรู้จักอยู่ในที่นั้น”ฉิงฮั่น เจ้ามาทําอะไรที่นี่ แล้วญาติของเจ้ามาด้วยหรือไม่!”
“ญาติของข้าไม่ได้มาดอก แต่ลําพังข้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว เพราะว่าข้ามาในฐานะทูตพิเศษเฉพาะองค์ฮ่องเต้เพื่อเข้ามาตรวจสอบและสํารวจภายในเขตเมืองสนธยาตามพระบัญชา!” ฉิงฮั่นพ่นจมูกพรี่ดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าบอกว่าพ่อบ้านเก้อจู่โจมกองทหารหอกทมิฬว่าเป็นความเข้าใจผิดเช่นนั้นหรือเจ้านี่มันช่างเลวทรามเสียจริง ทหารอย่าไปฟัง!จับตัวไปจู่อี้และทุกคนที่สมรู้ร่วมคิดกับมัน”
“ช้าก่อน! ข้าก็เป็นทูตพิเศษเช่นกัน และเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วย!” เฟิงลี่ค่อยรู้สึกใจขึ้นเมื่อได้ยินว่าญาติของฉิงฮั่นไม่อยู่ในที่นี้แผ่นป้ายอาญาสิทธิ์ปรากฏในอุ้งมือสิทธิ์ของมันเกือบเทียบเท่าของลิ้งฮั่น
หากมีความแตกต่างกันตรงที่แผ่นป้ายอาญาสิทธิ์นี้เขาได้รับมาจากองค์รัชทายาท ขณะที่ฉิงฮั่นได้รับจากพระหัตถ์ของฮ่องเต้ องค์รัชทายาทมีอํานาจเพียงผู้สําเร็จราชการ อย่างไรก็ตามฐานะของเชื้อพระวงศ์ก็มีความเท่าเทียมกัน
“ถอยไป ข้าบอกให้ถอยออกไปอย่างไรเล่า!” แผ่นป้ายอาญาสิทธิ์ทอแสงประกายสีทองจนบรรดาทหารหอกทมิหสีหน้าถอดสีเริ่มมองหน้ากันอย่างลังเล
พวกทหารได้รับคําสั่งเพื่อให้มาคุ้มครองลู่หยุนเป็นการส่วนตัวจนกว่าเขาจะพ้นจากตําแหน่ง ทหารเหล่านี้ไม่ได้สังกัดกองกําลังหอกทมิฬจึงไม่ได้สิทธิพิเศษในการต่อต้านคําสั่งของเชื้อพระวงศ์
“เจ้าบุกเข้ามาถึงที่นี่เพียงเพราะหญิงรับใช้ของเจ้าคนนั้นหรือลู่หยุน” เสียงบุคคลอีกผู้หนึ่งลอยมาจากภายในบ้านของตระกูลไป “รากจิตวิญญาณเซียนชั้นฟ้าของนางช่างไม่ธรรมดาเสียเลย ข้าจึงอยากจะขอนางผู้มีความเหมาะสมเป็นเครื่องเซ่นสรวงในพิธีบูชายัญแม่น้ําสนธยาเป็นที่สุด
“ข้าแจ้งต่อราชสํานักแล้วว่านางเป็นผู้ที่เหมาะสมหญิงนางนี้จําต้องถูกส่งไปยังแท่นบูชาที่จัดเตรียมการบูชายัญเพื่อเป็นเครื่องเซ่นสรวงในพิธีกรรมที่จะมีขึ้นในอีกหกวันเจ้าเมืองสนธยาเองน่าจะมีความแม่นยําในเรื่องนี้มิใช่หรือ และเจ้าเองต้องเป็นคนส่งตัวหญิงรับใช้เข้าพิธีบูชายัญลู่หยุน!” ผู้กล่าววาจาเย้ยหยันเช่นนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากลู่หยวนโห