เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ
บทที่ 56 สุนัขจิ้งจอกสาว
“นั่นอะไร” โมยี่ย่นหัวคิ้ว ปากบุ้ยไปทางแมลงที่เกาะกลุ่มเป็นแพทะพื้นบนท้องฟ้า
“แมลงซากศพ พวกเรายับยั้งแม่มดผีดิบและซากศพชโลมโลหิตได้ แต่กลับกลายเป็นมีพวกนี้ออกมาแทน” ลู่หยุนพูดอย่างรู้สึกผิดแววตายอมรับผิดอย่างเต็มที่ ขณะทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น อ้อมแขนยังคงโอบฉิงฮั่นเอาไว้แน่น
” แมลงซากศพ อย่างนั้นหรือ” โม่วยี่สีหน้าวูบลงไป พลางหันไปมองฝูงแมลงซากศพที่กระจายอยู่ทั่วไปที่กําลังทะยานสู่อากาศ ก่อนที่หญิงสาวจะพลิกฝ่ามือร่ายเวท พลันปรากฏดาบอยู่ในมือ
“ดาราจรัสหิมะโลหิต” โม่วยี่ประกาศก้อง
ฟิ้วววว
ดาบคมวาววับกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าซัดเข้าหาซากหักพังของภูเขาราวพายุ เฉือนสับลําตัวเจ้าแมลงทันทีที่มันพรั่งพรูกันออกมาจากซากภูเขา ฝูงแมลงก่อตัวรวมเป็นฝูงใหญ่ แม้ว่าแต่ละตัวจะเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นแก่นแท้ แต่สําหรับเซียนนักรบเช่นโม่วยี่แล้ว นี่ก็เป็นแค่มดปลวกเท่านั้น
ยังไงเสียโน่วยี่ก็ยังเป็นยอดฝีมือนักรบเซียน
” ดาราจรัสหิมะโลหิต เป็นเวทมนตร์โบราณที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาค่ายกลเวทมนตร์ดาวทั้งเจ็ด” เสียงพึมพําของฉิงฮั่นที่นั่งพิงอกของลู่หยุน แววตาตกตะลึงจับจ้องดาบแห่งพลังปราณวาววามตกลงมาราวกับเกล็ดหิมะโปรยปราย ”นางใช้เวทอาวุธเป็นพลังดาบ!”
“โน่น ตรงโน้น” โม่วโผนขึ้นไปกลางอากาศ พุ่งตัวไปทางซากของเทือกเขาตระหง่านที่พังถล่ม ผ่านช่องโน้นออกช่องนี้ท้ายสุดร่อนลงไปตรงบริเวณช่องทางออกของฝูงแมลงปีศาจ
ช่องทางเดียวกับที่ลู่หยุนและคณะใช้เข้าไปในหลุมฝังศพ แม้ว่าบางส่วนจะถล่มพังลงมาทว่าช่องทางนี้ยังไม่ได้รับความเสียหาย จึงมีพวกแมลงบินผ่านออกมา
โม่วยี่กดฝ่ามือลง
กลุ่มมีดสั้นพุ่งออกมาจากถ้ำในพริบตา มีดพวกนั้นพากันแตกกระจายออกอย่างรวดเร็ว โม่วยี่ตัดสินใจฉับพลัน นางทําการยับยั้งมีดที่พุ่งตรงมาผนึกไว้อย่างแน่นหนา
ให้ตายเถอะ เคราะห์ดีเหลือเกินที่นางรออยู่ด้านนอก มิฉะนั้น พวกเราคงต้องตายกันหมด” ลู่หยุนห่อตัวลงเมื่อเห็นว่าโม่วยี่ออกมาช่วยกําจัดฝูงอสูร หากนางเดินทางไปพร้อมกันกับพวกของเขาคงไม่แคล้วมีชะตากรรมน่าเศร้าเช่นเดียวกับหลี่ยูวไฉ
ไม่ว่าจะทําอะไรลู่หยุนจะมีทางเลือกอื่นด้วยเสมอ ดังนั้นตอนที่อยู่ในเทือกเขาใหญ่เขาจึงใช้ค่ายกลยานพาหนะนําพาตนออกมาได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาอาจต้องผจญกับโครงร่างหลากหลายโครงร่าง แต่โครงร่างเหล่านั้นย่อมมีจุดอ่อนในตัวเอง เช่นเดียวกับที่จุดอ่อนแห่งโครงร่างของโจวเตี่ยนเหลียงนําพาฉิงหงเชิงไปสู่ความตาย ลู่หยุนก็ใช้โอกาสในทํานองเดียวกัน
เขามีเก้อหลงและโม่วยี่ ทั้งสองเป็นผู้เคลื่อนย้ายค่ายกลยานพาหนะและคอยเฝ้าดูเอาไว้ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็นึกย้อนถึงการที่มีค่ายกลอยู่รายรอบเทือกเขาลูกใหญ่ เขาเชื่อว่าเป็นผลจากค่ายกลโลกานิมิตอยู่ในนั้น ซึ่งหลังจากที่ค่ายกลถูกเคลื่อนย้าย มันจึงกระตุ้นให้ภูเขาพังถล่มลงมาจนกลายเป็นเศษอิฐเศษดิน
นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปไม่ว่าจะทําอะไร เขาจะต้องมั่นใจว่าไม่ใช่การกระทําที่ไม่ถูกต้อง
ขณะนั้นโม่วยี่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปในโครงร่างด้วยหนทางที่ค่อนข้างสับสน ลู่หยุนจึงส่งเก้อหลงเข้าไปช่วย ตอนนี้คนทั้งสองจึงเข้าสู่หลุมฝังศพ
สิ่งน่าประหลาดใจที่สุดก็คือ สุดท้ายแล้วการสลายโครงร่างมรณะอนิจจังทําให้ภูเขาใหญ่ถล่มลงมา หาใช่เพราะการเคลื่อนย้ายค่ายกลโลกานิมิตไม่
อันที่จริงความวุ่นวายยุ่งเหยิงจากการพังถล่มของหลุมฝังศพขัดขวางการใช้ค่ายกลยานพาหนะของลู่หยุน ทว่าด้วยความที่มีส่วนที่เชื่อมโยงกันอยู่ภายนอกจึงทําให้พวกเขาสามารถออกสู่ภายนอกได้อย่างปลอดภัย
พวกโจรปล้นสุสานมักมีคนไว้ผู้หนึ่งคอยระวังภัยอยู่ด้านนอกเสมอ นี่เป็นส่วนที่ทําให้ประสบความสําเร็จในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน โม่วยี่มิได้เพียงช่วยป้องกันค่ายกลยานพาหนะ แต่นางยังช่วยกําจัดแมลงซากศพอสูรร้ายให้หมดสิ้นลงด้วย
” พวกเราปลอดภัยแล้ว” ลู่หยุนทรุดตัวลง อ้าปากหอบหายใจ
“นี่เจ้า! ปล่อยข้าลงก่อนจะได้ไหม” ฉิงฮั่นร้องอย่างอ่อนแรงมาจากด้านหลัง
“ไม่จําเป็น ข้ายังแบกเจ้าไหวน่า” น้ำเสียงของชายหนุ่มระโหยไม่แพ้กัน ความตึงเครียดผ่อนคลายลงจนสิ้น
” เจ้าเมืองสนธยา เจ้าน่าจะขอยาฟื้นพลังจากนาง หลังจากนั้นข้าก็จะเดินทางกลับได้เอง” ฉิงฮั่นว่าพลางคลายวงแขนที่เกาะเกี่ยวลู่หยุนออกอย่างลังเล ในเวลานี้ไม่ใช่ยามปกติเนื่องด้วยมีคนอีกคนคอยสังเกตอยู่
“เอ่อ…จริงสิ” สู่หยุนหัวเราะเก้อ ๆ “โมวยี่ ถ้าเจ้ามียาฟื้นพลัง งั้นก็ขอมาให้ข้าสักหน่อย”
โม่วยี่พยักหน้า นางหยิบเอายาเม็ดกลมสีทองขึ้นมาก่อนจับใส่ปากฉิงฮั่น เขาหลับตาลงขณะที่ยาค่อยออกฤทธิ์ที่ละน้อย
” เหลือเจ้ารอดชีวิตเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ” โม่วยี่ออกจะไม่แน่ใจในสถานะปัจจุบันของตนเอง ก่อนที่คนทั้งหมดจะเดินทางเข้าไปในเทือกเขาหลุมฝังศพ ไม่ใช่ว่าฉิงฮั่นหาได้ยินยอมพร้อมใจจะต้องให้ลู่หยุนมารับผิดชอบต่อความเป็นความตายของเขา อีกทั้งลู่หยุนเองก็คิดว่าตนนั้นเป็นเพียงทหารรับใช้เท่านั้นดอกหรือ
ดูพวกเขาตอนนี้ซี กอดกันกลมราวกับจะไม่ยอมแยกจากกันแถมลู่หยุนยังทําท่าเพียงต้องการแบกกิ้งฮั่นกลับเข้าเมืองด้วยตนเองเสียอีก นี่มันเกิดอะไรขึ้นที่ใต้บาดาลนั่นกันแน่
โม่วจ้องมองไปที่สองคนนั่น
หลี่ยูวไฉนอนแผ่หลาอยู่บนพื้นยังไม่รู้สถานะของเขา เยี่นเสินหลบวูบกลับเข้าไปยังประตูสู่อเวจีทันที่ที่รู้ตัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากัน แม้ว่าจะเป็นผีเซียน ทว่าพลังหยางของโลกภายนอกดูจะเกินกว่าที่นางจะต้านทานไหว
“เจ้าอย่ากังวลไปเลย เจ้าเมืองเฉินชุยนางตายแล้ว เหลือเพียงหลี่ยูวไฉ ข้ารับรองว่าเขาจะไม่มารบกวนเจ้า” ลูหยุนโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของโม่วยี่ สุดท้ายเพื่อลดความกังวลของนาง
“เอ๊ะ แล้วเจ้าสุนัขจิ้งจอกน้อยนี่มาจากไหนเล่า” พลางเอื้อมมือไปลูบคลํานัยน์ตาเป็นประกาย
“อ๊ะ” คราที่เห็นหญิงสาวเขาอยากจะหลีกลี้ให้ไกล หากพอได้ยินว่ามีคนชมว่าน่ารักจึงต้องถอยหลังกลับมา ”นางควรชมว่าสวยดีกว่านะ”
เป๊าะ!
โม่วยี่ใช้นิ้วเรียวยาวของนางเคาะเบา ๆ บริเวณหัวคิ้ว มีเสียงดังคล้ายระเบิด พลันชายหนุ่มรูปงามที่ถล่มทั้งเมืองหายวับไปแทนที่ด้วยสุนัขจิ้งจอกน้อยขนาดเทฝ่ามือ นัยน์ตาค้ำประกายสุกใสสีฟ้ามองตอบกลับมา
นางรวบตัวเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “โธเจ้าสุนัขจิ้งจอกน้อย เจ้ากําลังปิดบังใครอยู่หรือ”
เมียวถึงกับน้ำตาคลอ
” เขาเป็นเพียงภาพลวงมา มิน่าเล่าข้าจึงเข้าใจเขาผิดมาโดยตลอด” ฉิงฮั่นเอื้อมมือมาลูบหน้าผาก พลังกายเริ่มฟื้นคืนเล็กน้อย ทว่าเมื่อพยายามสาวเท้าออกไปกลับซวดเซจนต้องถอยหลังกลับลง
ลู่หยุนรีบคว้าตัวประคองไว้ก่อนที่เขาจะหงายหลังลงไปกองกับพื้น
“ยอมให้ข้าแบกเจ้าไปเถิด” ลู่หยุนส่ายหน้าขณะลงนั่งยอง ”ยาฟื้นพลังเพียงเม็ดเดียวช่วยเจ้าไม่ได้ดอก”
“เจ้า เจ้าจริงแล้วรักชอบบุรุษหรือ” สีหน้าของหนุ่มน้อยแสดงออกว่ารังเกียจอย่างชัดเจน เขารู้แล้วหรือเสแสร้างทําเป็นไม่รู้กันแน่
“เฮ้ย ถ้าเช่นนั้นให้เก้อหลงแบกเจ้าก็แล้วกัน”
“มะ-ไม่ต้อง!” ฉิงฮั่นมองเก้อหลงอย่างกริ่งเกรง พลางรีบปีขึ้นหลังลู่หยุนอย่างสงบเสงี่ยม
โม่วยี่ได้แต่มองด้วยสายตาประหลาด ความรู้สึกเสียววาบทั่วร่าง
“มีบุรุษที่พึงใจต่อบุรุษด้วยกันอยู่จริงหรือ” พลางลูบไล้เจ้าสุนัขจิ้งจอก ก่อนยกหว่างขาหลังของมันขึ้นมอง “เจ้าเป็นสุนัขเพศเมีย เหตุไฉนจึงอําพรางตัวเองในร่างบุรุษ เจ้าได้เรียนรู้จากใครกันแน่”
สุนัขจิ้งจอกน้อยได้แต่มองอย่างไร้เดียงสา ใบหน้าของฉิงฮั่นซบลงกับบ่าของชายหนุ่มมีเพียงรอยแดงบนใบหูที่แสดงออกมาให้เห็น
“เจ้าว่าอย่างไรนะ สุนัขจิ้งจอกตัวเมียหรือ” ลู่หยุนถามด้วยความประหลาดใจ เดินเข้ามาขนาบข้างโม่วยี่ และด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงยกขาหลังของมันขึ้นดูบ้าง ” จริงของเจ้า”
สุนัขจิ้งจอกน้อยส่งเสียงเห่าอย่างไม่ชอบใจ แย่หน่อยที่นางไม่สามารถสบถออกมาเป็นคําพูดเมื่ออยู่ในร่างนี้
“มิน่าเล่าเมื่ออยู่ในร่างชายจึงรูปหล่อถึงเพียงนี้ ในร่างหญิง นางคงจะงดงามราวกับสาวน้อยที่ออกมาช่วยข้าทีเดียว หากเป็นตัวผู้คงไม่ดูดีขนาดนี้” ลู่หยุนลูดริมฝีปากตนเองเมื่อนึกถึงเพศสภาพของสุนัขจิ้งจอกน้อย…คิดดูแล้วก็สมควรอยู่ดอก
หลุมฝังศพนั่นสําหรับเซียนอิสตรี โลงซากศพก็เป็นร่างของเยี่ยเสินที่ถูกเวทมนตร์สะกดไว้และนางก็เป็นเซียนหญิง โครงร่างทุกโครงร่างที่ถูกสร้างภายในหลุมฝังศพต่างก็มีคุณลักษณะของพลังหยิน ดังนั้นข้างในจึงเต็มไปด้วยแม่มดผีดิบ
ในทํานองเดียวกัน มังกรในโลงศพเคลือบทองแดงย่อมเป็นเพศหญิงด้วยเช่นกัน เมื่อห้าพันปีก่อน เฟยหนี่ร่างของนางถูกฝังพิธีกรรมถวายร่าง เช่นเดียวกับคนอื่น นางเองก็เป็นเพศหญิง
ลู่หยุนยังเคยสงสัยว่าทําไมเมียวจึงเป็นข้อยกเว้น แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าสุนัขจิ้งจอกน้อยนั่นก็กลายเป็นหญิงจนได้ หากเจ้านั่นเป็นสุนัขจิ้งจอกเพศผู้ ถ้างั้นมันก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโครงร่างฟื้นชีพ
สุดท้ายแล้วหลุมฝังศพยังต้องรวมสมดุลของสิ่งที่ต่างขั้วกันดังเช่นพลังหยินและหยางเพศบุรุษขององค์ชายพยัคฆ์และองค์ชายมังกรแทนความแข็งแรงของพลังหยางถูกนํามาหักล้างกับพลังหยิน
“แบ็ก! แบ็ก! แบ็ก!” เจ้าสุนัขจิ้งจอกเหมือนจะไม่เห็นด้วย บางทีมันอาจอยากเถียงว่าสาวน้อยปริศนาคนนั้นเทียบกับมันไม่ได้เลยก็เป็นได้
ได้ยินลู่หยุนพูดเช่นนั้น ฉิงฮั่นยู่ปาก ลอบยิ้มอย่างภูมิใจ
“สุนัขจิ้งจอกน้อยตัวนี้ ถ้าเดาไม่ผิดนางคงจะเป็นสัตว์เชียนระดับสูง จิ้งจอกเก้าหาง” ซึ่งไม่ถูกพบเห็นนานมาแล้ว กว่าหนึ่งแสนปีแห่งโลกเซียนโบราณว่ากันว่าพลังของนางอยู่ในระดับไร้เซียนเทียบเท่า อย่างน้อยที่สุดก็บรรลุถึงแก่นพลัง” โม่วยี่ยืนยันภายหลังจากเฝ้าสังเกตเจ้าขนฟู “แต่ตอนนี้นางมีเพียงพลังเซียนแท้จริง อย่างไรก็ตามยังมีวันที่พระจันทร์เต็มดวงอีกหลายราตรีนักก่อนที่พลังของนางจะขึ้นสู่ระดับนั้น”
เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ดูอย่างไรก็ไร้เล่ห์เหลี่ยม
ถึงแม้ว่าพลังของฉิงฮั่นจะฟื้นคืนพอมีแรงขึ้นมาบ้าง ทว่ายังไม่แข็งแรงพอจะปลดห่วงสัมภาระและพอที่จะตั้งหลักได้ ดังนั้นจึงยังคงต้องอาศัยหลังของซึ่งยืนบนดาบของเขาที่ใช้เป็นพาหนะให้กับเจ้าเมืองสนธยาไปก่อน เก้อหลงดึงหลี่ยูวไฉซึ่งถูกผูกโยงด้วยเชือกเดินอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
“เอ้านี่ ดาบของเจ้า” ชายหนุ่มหยุดลงบริเวณนอกเขตเมืองสนธยา ก่อนที่ลู่หยุนจะส่งดาบพิฆาตโลกันต์คืนให้กับฉิงฮั่น
“เจ้าเก็บไว้เถิด มันเป็นของเจ้าแล้ว” ฉิงฮั่นสั่นหน้าปฏิเสธ
” อะไรนะ ดาบนี่เป็นอาวุธชั้นสูงระดับเก้าเทียวนะ” ลู่หยุนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ขนาดพวกเซียนชั้นยอดยังต่อสู้แย่งชิงดาบแทบสิ้นล้มประดาตาย แต่ฉิงฮั่นกลับจะมายกให้เขาง่าย ๆ เช่นนี้
โม่วยี่ได้ยินยังพลอยชะงักไปด้วย ดูท่าว่าการผ่านความตายมาด้วยกันของคนทั้งสองจนทําให้มอบของล้ำค่าให้แก่กันเช่นนี้หรือ
ต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้นภายในหลุมฝังศพยักษ์นั้นสักอย่างแน่นอน
“เจ้ายังมอบภาพวาดให้กับข้าเลย” ฉิงฮั่นตอบเสียงเบาหวิว ในสายตาของเขาคิดว่าดาบเป็นของล้ำค่าซึ่งเทียบได้กับภาพวาด
”เช่นนั้นก็ได้” ส่วนตัวสู่หยุนชอบใจดาบพิฆาตโลกันต์อยู่ไม่น้อย เขารู้สึกว่าเป็บดาบที่มีจิตวิญญาณแม้จะดูเหมือนเป็นดาบธรรมดา แต่มีความท้าทายสําหรับเขาเช่นเดียวกัน หาใช่เพราะเป็นอาวุธชั้นระดับเซียนไม่ ทว่าความรู้สึกของเขากับดาบพิฆาตโลกันต์มากกว่านั้น เขาสามารถใช้ดาบได้ตามอําเภอใจประหนึ่งดาบถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
“ขอบใจเจ้ามาก” พลางแขวนดาบเข้ากับเอว ยังไม่อาจเก็บไว้ภายในกายจนกว่าจะจัดการปัดเป่าเสียก่อน
“ข้าไม่เข้าใจพวกท่านทั้งสองเสียเลย” เสียงโม่วยี่ลอยมาพร้อมส่ายหน้าอย่างยากจะเข้าใจ
ลู่หยุนอยู่ในหลุมฝังศพถึงสามวันเต็ม ” ข้าอยากอาบน้ำชําระกายเสียก่อน จึงค่อยดื่มกิน แล้วจะออกไปที่ดินแดนแห่งความฝัน!”
เขาได้พักผ่อนเต็มอิ่มความตึงเครียดผ่อนคลายลงเมื่อเข้ายังที่พํานักของโวยี่ ซึ่งตัวเขา เก้อหลงและว่านเฟิง ทุกคนล้วนแล้วแต่มาพักอาศัยก่อนออกเดินทางไปเทือกเขาค่ายกล
“ว่านเฟิง ว่านเฟิง!” ลู่หยุนร้องเรียกเสียงอ่อนระโหยเมื่อเดินตัดสนามเล็ก ๆ ของที่พักซึ่งโม่วยี่เตรียมไว้ให้ โดยมีฉิงฮั่นแบกไว้บนหลัง
“เอ๊ะ นางไปไหนเสีย” สู่หยุนอุ่นหัวคิ้วรู้สึกไม่ชอบมาพากล สาวใช้ควรรอคอยเจ้านายอยู่ที่นี่ตลอดสามวันที่ผ่านมา แต่นี่นางกลับหายไปเสียที่ไหน
สัญญาณแห่งเค้าลางไม่ดีวูบเข้ากุมจิตใจขณะบรรจงลด ตัวฉิงฮั่นลงบนเก้าอี้เอนหลังในสนาม
พลันโม่ววิ่งถลันออกมาสีหน้าซีดเผือด
“ว่านเฟิงถูกจับตัวไป” ใบหน้ามีเสน่ห์แสดงว่าโกรธเกรี้ยว
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ลู่หยุนหน้าถอดสี คนที่มีความศรัทธาความเชื่อฝังรากแห่งจิตวิญญาณเช่นว่านเฟิงนี้ กลับมาโดนลักพาตัว ดูเหมือนจะใช้นางเป็นเหยื่อล่อตนเป็นแน่
“พวกมันคิดว่าทําเช่นนี้แล้วจะผลักไสข้าอย่างไรก็ได้หรือ!” โม่วยีโกรธจนเลือดขึ้นหน้าต่อการขาดความยําเกรงที่ผู้คนทํากับนาง หาข้อต่อรองกับนางด้วยการลักพาตัวแขกของนาง เพื่อหาทางปลดนางออกจากตําแหน่งเช่นนั้นหรือ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางเท่านั้นที่เป็นเจ้าเมืองของสถานที่แห่งนี้
MANGA DISCUSSION