เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 52 เป็นหนึ่งเดียวกับเต่า
เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ
บทที่ 52 เป็นหนึ่งเดียวกับเต่า
“อย่า” ลู่หยุนร้องห้ามยู่อิงที่กําลังจะตามนายท่านที่สิบสามเข้าไปในภาพวาดทัศนียภาพแห่งความเด่นชัด “ข้าจะฆ่ามันด้วยตัวของข้าเอง”
ยู่อิงพยักหน้าพร้อมคลี่ภาพวาด นายท่านที่สิบสามที่กําลังล้มลุกคลุกคลานพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดที่มี สีหน้าหวาดหวั่นพลันเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเมื่อได้ยินคําพูดของลู่หยุน
“จะฆ่าข้าด้วยมือของเจ้าอย่างนั้นหรือ” ผงกหัวถามอย่างเย้ยหยัน แม้ความรู้สึกกลัวเข้าจับขั้วหัวใจแต่คิดว่าไอ้เจ้าคนฝึกพลังปราณนี่หรือ จะฆ่าเซียนเช่นข้าเหอะ!
ทว่าลู่หยุนไม่ใส่ใจ ยกดาบที่ส่องประกายอมม่วงขึ้นมา
“ดาบพิฆาตโลกันต์!” นายท่านที่สิบสามตกตะลึงร้องเสียงหลง สถานการณ์ต่าง ๆ ดูเหมือนว่าจะเกิดคาดเดาไปเสียแล้วทว่าดาบนั้นกลับดูธรรมดายิ่ง ไม่เหมือนเป็นอาวุธระดับเก้าที่ทรงอานุภาพอย่างใด
ควับ
ลู่หยุนฟันฉับลงไปที่ร่างนั้นแยกกายเนื้อกับจิตวิญญาณออกจากกันทันที ทําให้วิญาณที่สิงอยู่ในร่างของนายท่านที่สิบสามถูกประตูสู่อเวจีสูบกลืนหายไป เจ้าเมืองสะบัดฝ่ามือพลันปรากฏร่างของชายหนุ่มในวัยประมาณยี่สิบปี ชุดคลุมสีเขียวคุกเข่าลงบนพื้นดินเบื้องหน้าเขา
“ภูตวิญญาณโจวเตียนเหลียงขอคารวะนายท่าน!” ชายหนุ่มหน้าหล่อเหลาและสุภาพนุ่มนวล ท่าทางบ่งชัดถึงสกุลเชื้อสายผู้ดี ไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝงนอกจากความอ่อนน้อมถ่อมตน
“ข้าจะขจัดพลังไฟออกจากภาพวาดทั้งสามได้อย่างไร” ลู่หยุนถามโดยไม่อ้อมค้อม เขาต้องเลือกให้เจ้าภูตตนนี้รับใช้ในฐานะทหารเลวเพราะตําแหน่งทูตวิญญาณแห่งสังสารวัฏอันดับสามจะเก็บไว้ให้ฉิงฮั่น นี่จะเป็นวิธีสุดท้ายหากวิธีอื่นไม่ได้ผล
ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะบันทึกนามโจวเตียนเหลียงลงในคัมภีร์เป็นตายโดยไม่จําเป็นต้องมีร่างซากจริงของเขาเนื่องจากว่าลู่หยุนไม่สามารถใช้การถ่ายเทความทรงจําและความรู้ของผีสมุนมาให้ตนเอง ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีเดิมคือการสอบถาม
“จะขจัดไฟออกไปจะต้องใช้พลังไฟที่เหนือกว่า!”โจวเตียนเหลียงตอบทันควันแม้ว่าเขาจะเป็นนักรบเซียนแต่ก็มีตําแหน่งที่สําคัญในเหล่าเทพเซียนเหนือสวรรค์ดังนั้นจึงเป็นที่เคารพนับถือและล่วงรู้แม้กระทั่งความลับของเหล่าเทพเซียน
“พลังไฟเหนือกว่าคืออะไร” ลู่หยุนข้องใจ
“พลังไฟที่อานุภาพร้ายแรงที่สุดที่จุดตันเถียนอย่างไรเจ้าคะ!” ยอิงตอบมา
พลันลู่หยุนนึกถึงเปลวเพลิงดําแปลกขึ้นได้ “ใช่แล้ว!”
เปลวเพลิงสีดําที่จุดตันเถียนของเขามีเกิดจากคัมภีร์เป็นตายจึงเปี่ยมด้วยพลัง ขณะที่เขาเรียกผีเสกไม่ทําให้เขาสูญเสียพลังแต่เป็นพลังจากเปลวเพลิงสีดํา
มังกรทั้งเก้าที่พันโดยรอบคัมภีร์อันตรธานหายไป คงจะเกิดการต่อสู้กับองค์ชายพยัคฆ์เศษซากของมังกรถูกเพลิงดําเผาผลาญจนสิ้น จึงยิ่งส่งผลให้ระดับพลังของลู่หยุนเพิ่มขึ้นและทําให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคที่กระหน่ําเข้ามาให้ผ่านพ้นได้
ในที่สุดลู่หยุนตัดสินใจกลับไปที่ประตูสู่อเวจีพร้อมด้วยโจวเตียนเหลียง เจ้าเมืองหนุ่มต้องการใช้พลังจากโลกแห่งความตายถ่ายถอนพลังไฟออกจากกาย
พรึบ!
เปลวไฟดําลุกพรึ่บขึ้นอย่างรุนแรงจนลวกฝ่ามือของลู่หยุนยู่อิงและโจวเตียนเหลียงซวดเซหงายหลังกระจายไป ต่างหวาดหวั่นต่อเปลวไฟลุกโชนด้านหน้า
ภาพวาดทั้งสามรวมกันส่งผลให้ทรงพลังยิ่งกว่าศาสตราวุธระดับเก้านั้น กางคลี่บินร่อนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม ภาพทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดเป็นภาพภูมิประเทศวาดด้วยน้ําหมึกแบบดั้งเดิมภาพวาดแห่งความว่างเปล่าเป็นภาพร่างเกี่ยวกับชีวิตที่ดําเนินไปและภาพเขียนแห่งท่วงทํานองเป็นภาพวาดของท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล
เมื่อเปลวไฟสีดําของลู่หยุนเข้าใกล้ภาพวาด เขารับรู้ได้ถึงพลังไฟในภาพทั้งสามนั้น พลังไฟปราบเพลิงมรกต พลังไฟสังหารอัญมณีสีฟ้า และพลังไฟแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณ!พลังไฟทั้งสามต่างมีความรู้สึกเช่นกันเมื่อรับรู้ว่ามีเปลวไฟสีดําเข้ามาใกล้กลับยิ่งยึดแน่นกับภาพวาด ไม่ยอมแยกออกไปอย่างเด็ดขาด
“ถ้าอยู่ข้างนอกข้าอาจทําอะไรเจ้าไม่ได้ คงจะอ่อนล้าจากการสูญเสียพลังปราณ แต่นี่เป็นอาณาจักรของข้าอย่างไรก็ตามข้าปรารถนาให้เจ้าเชื่อฟังคําสั่งของข้าออกมา!” ลู่หยุนคํารามเปลวไฟสีดําสองที่กําลังลุกโชนในดวงตาพลันสั่นกระเพื่อมขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นระลอกคลื่นผ่านออกมาจากโลกแห่งความตาย
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
เปลวไฟขนาดฝ่ามือสีเขียว น้ําเงิน และเหลือง พุ่งทะลุภาพวาดจนเป็นโพรงและลอยวนอยู่ในอากาศ ลู่หยุนถอนหายใจเฮือกก่อนเอี้ยวตัวถาม “ต้องใช้เวลาเท่าใด”
ยู่อิงคํานวณระยะเวลาอย่างรวดเร็ว “เจ็ดวัน”
เป็นเรื่องดีที่มาอยู่ในประตูสู่อเวจีเพราะระยะเวลาเจ็ดวันในนี้แค่ชั่วขณะเท่านั้น! ชายหนุ่มยื่นมือส่งพลังไฟทั้งสามให้กับยู่อิง “เก็บมันไว้”
“ ขอบคุณที่กรุณา เจ้าค่ะ” ยู่อิงกล่าวนัยน์ตาเป็นประกาย
ไฟปราบเพลิงมรกต เหตุผลที่ว่าทําไมจึงใช้ทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดเป็นยาบริสุทธิ์ ทว่าสิ่งที่ยอิงปรารถนาคือพลังไฟหาใช่ภาพวาดไม่ถึงจะจัดว่าเป็นสิ่งล้ําค่าที่สุดสิ่งหนึ่งในโลกที่รวมการดํารงอยู่ของสิ่งสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตเข้าด้วยกันแต่พลังไฟเป็นสิ่งได้มายากยิ่งกว่า นางดีใจอย่างมากที่ได้รับเอาพลังไฟเข้ามาไว้กับตนเอง
เมื่อปราศจากพลังไฟผนึกในภาพวาดแต่ละภาพ ทั้งสามจึงเริ่มประสานรวมกัน แสงไฟเรืองรองแผ่รัศมีวงกว้างอย่างน่าพิศวงให้ความสว่างแก่ประตูสู่อเวจีที่มืดมิด ภาพวาดพลิกกลับเกิดการทับซ้อนผสมผสานกัน
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่แน่ชัด แสงเริ่มหรี่ลงในที่สุดม้วนกระดาษโบราณหล่นใส่มือของชายหนุ่ม บนแผ่นผ้าใบมีแต่ความว่างเปล่าและม้วนกระดาษกลับมาสงบนิ่งดังเดิม
“นี่คือสิ่งที่ภาพวาดทําหรือ” ลู่หยุนมองอย่างสับสน
ทั้งยู่อิงและโจวเตียนเหลียงต่างจนปัญญา ไม่มีใครบอกได้ว่าสิ่งล้ําค่าที่สร้างขึ้นมาใหม่จะอยู่ในรูปแบบใด เวลาดําเนินผ่านไปอย่างรวดเร็วเท่ากับเวลาได้ผ่านไปหนึ่งเดือน
เคราะห์ดีเหลือเกิน เวลาห้าสัปดาห์ในประตูสู่อเวจีเท่ากับเพียงชั่วขณะหนึ่งของเวลาภายนอกเท่านั้น
“จัดการกันเลย” ลู่หยุนเม้มปากแน่น “ดูสิว่าพวกเราพลาดอะไรไปบ้าง” ขึ้นมาจนถึงทางออก ทันใดนั้นทุกคนต่างหันหลังวิ่งกลับมาที่เดิม
“บ้าจริง!” ทันทีที่ได้เห็นถนัดตาลู่หยุนสบถลั่นเป็นอย่างที่เมียวเดาไว้ไม่มีผิด แม่มดผีดิบยักษ์มันย้อนกลับมามันทําท่าผีดหวังและกระแทกยอดเขาลอยได้เสียงอึกทึกครึกโครมหลายต่อหลายครั้ง แววตากระหายอย่างแรงกล้า
เขาส่ายหน้าไปทางแม่มดผีดิบ “แม่มดผีดิบเป็นผีที่อยู่ระหว่างเป็นกับตายซึ่งสวรรค์ก็ปฏิเสธนรกก็ไม่ต้อนรับ แม้จะเข้าไปในโครงร่างฟื้นชีพเจ้าก็จะไม่มีทางกลับมีชีวิตอีก
อย่างไรก็ตาม มันมีแต่ความบ้าคลั่งจะบุกทะลวงเข้าไปในโครงร่างฟื้นชีพให้ได้อย่างเดียวเสียแล้ว
เฟยหนี่จัดการตั้งโครงร่างค่ายกลเพื่อปกป้องยอดเขาลอยได้เกิดเป็นก๊าซบางเบาลอยเอื้อยเมื่อตําราค่ายกลโลกานิมิตกลับมีชีวิตของมันเมื่ออยู่ในอุ้งมือของเฟยหนี้ ก่อนจะปรากฏลําแสงส่องออกมาคลุมยอดเขาลอยได้
ไม่ว่าแม่มดผีดิบยักษ์จะใช้ความพยายามสักเท่าใด มันก็ไม่สามารถทําลายค่ายกลโลกานิมิตได้
แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ยังทําให้เฟยหนี้ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยใบหน้าของเขาซีดและมุมปากมีรอยเลือดซึมไหลเป็นทางก่อนที่นางจะเสียชีวิตพลังปราณของนางก้าวถึงระดับเซียนทองคําเมื่อพลังปราณคืนสู่ระดับเซียนแท้จริงความแข็งแกร่งได้สูญสลายลงไปด้วย เช่นเดียวกับช่องว่าระหว่างกษัตริย์และทาสก ระนั้น
“ใช้ของขลังซัดมันเลย เจ้าอ้วน!” ลู่หยุนตะโกนบอกหลี่ยว
“ข้า ” ตอนนี้เขากลับเป็นตัวของตนเองหลังจากเยี่ยเดินออกจากร่างเขาไป เจ้าอ้วนสับสนยิ่งเมื่อได้ยินลู่หยุนของขลังอะไรซัดมัน
เจตนาของลู่หยุนต้องการใช้เจ้าอ้วนซึ่งมีพลังปราณแข็งแกร่งใช้แผ่นยันต์แห่งขุนเขาและสายน้ํา แผ่นยันต์นั่นถือเป็นของล้ําค่าระดับที่แปดเกือบเทียบเท่าระดับเก้าเมื่อใช้พลังเต็มที่ที่เดียว อย่างไรก็ตามหากเขาใช้มันกําจัดยักษ์นั่นเขาต้องสูญเสียพลังอีกมาก อาจตกอยู่ในสถานะเดียวกับฉิงฮั่น-แทบจะขยับเขยื้อนไม่ได้เลย
“ก็ได้ แต่เจ้าต้องยกเลิกการหมั้นของข้ากับไอ้หมูตัวผู้นั่นเสียด้วย!” เจ้าอ้วนยังพะวงกับเรื่องนั้นอยู่
“ตกลง!” ลู่หยุนยอมรับทันที “แต่หลังจากนี้เจ้าต้องเลิกยุ่งกับโม่วยเช่นกัน”
“ตกลง!” หลี่ยวไฉหน้าบูดบึง “และต้องพาข้าออกไปจากที่นี่ด้วย!”
บัง
แผ่นยันต์ขยายขนาดเป็นภูเขาใหญ่ กระแทกเข้ากับนางแม่มดผีดิบอย่างจัง
ขณะที่มันมัวแต่ง่วนอยู่กับการทําลายยอดเขาลอยได้จึงไม่ทันตั้งตัว แรงกระแทกของภูเขาแผ่นยันต์ส่งให้ร่างมันลอยไปปะทะกับผนังถ้ําเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“หักแขนหักขามัน!” สู่หยุนส่งเสียงสําทับมาอย่างเร่งร้อนแม่มดผีดิบไม่ตายแต่เมื่อแขนขาหักเสียแล้ว คงจะทําให้มันหยุดเคลื่อนไหวชั่วขณะ
หลี่ยวไฉกัดฟันก่อนซัดพลังกล้าแข็งออกไปอีกรอบจัดการหักแขนหักขาของแม่มดผีดิบออกอย่างรวดเร็ว อสูรร้ายกรีดร้องกับดิ้นรนอย่างเจ็บปวด มองเห็นบาดแผลของมันค่อยขยับเข้าสมานกัน
หลียวไฉกระอักออกมาเป็นเลือดกองหนึ่ง
“อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่” เขาพึมพําออกมาก่อนหมดสติ แผ่นยันต์หวนกลับมาที่ร่างเจ้าของ
“อย่างห่วงเลย” ลู่หยุนรับปาก “ข้าไม่ทิ้งแน่”
เยี่ยเส้นตรงมาที่ร่างของหลี่ยวไฉและสวมทับร่างของเขา
“ชายคนนี้เป็นคนเก่งชนิดหาตัวจับยาก เขาสามารถสงวนพลังปราณไว้ได้แม้ว่าจะถูกครอบงําโดยผีเซียนแล้วก็ตาม”เมียวชักหนาว ๆ ร้อน ๆ “มนุษย์พวกนี้ก็แปลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทําไมพวกมันจึงตามหาร่างของข้าจนพบแล้วยังช่วยชีวิตข้าไว้อีกด้วย”
เฟยหนี่เปิดทางค่ายกลเพื่อให้ลู่หยุนผ่านเข้าไปในยอดเขาลอยได้ โดยเมียวเกาะติดมาด้วย
“ข้าจะต้องทําอย่างไร” เขาถือม้วนภาพว่างเปล่าไว้ในมือหันมาทางเมียว
“นีละ!” เมียวกวาดสายตาดูภาพวาด เขาคือจิตวิญญาณของสุนัขจิ้งจอกเก่าแก่ที่เคยพบเห็นอะไรมามากมาย “หมายความว่าตํานานเป็นความจริง งานศิลปะที่สมบูรณ์แบบนี้คือเป็นหนึ่งเดียวกับเต่ที่พรรณนาสรรพสิ่งทั้งที่อยู่บนสรวงสวรรค์และโลกมนุษย์นี่คือสุดยอดของการแบ่งชั้นจักรวาล!”กล่าวด้วยตาเป็นประกาย
“เลิกเย่นเย้อเสียที บอกมาว่าข้าจะต้องทําอย่างไร” ลู่หยุนนิ่วหน้า “ภาพวาดนี้ไม่อาจรักษาฉิงฮั่นได้ใช่ไหม”
“ไม่ได้ เพราะจิตวิญญาณเซียนแท้จริงมิใช่จิตวิญญาณของภาพวาด หากแต่เป็นจิตวิญญาณแห่งไฟ”เมียวพูดต่อ “จิตวิญญาณแห่งไฟเข้าครอบงําจิตวิญญาณของภาพวาดแต่ภาพวาดไม่มีความรู้สึกด้วยตัวของมันเอง”
“ตอนนี้เขายังไม่ได้สติ เราจึงต้องใช้กลวิธีดังเดิมใช้เลือดของเขาเชื่อมโยงกับสิ่งล้ําค่า เจ้าจงกรีดที่ข้อมือเพียงปล่อยให้เลือดของเขาหยดลงบนภาพวาด แต่เจ้าต้องระมัดระวังให้มากนะพ่อหนุ่ม” สีหน้าชายหนุ่มผู้มีวิญญาณสุนัขจิ้งจอกเปลี่ยนเป็นจริงจัง โดยกลวิธีนี้เซียนเต่ปฏิบัติจนประสบความสําเร็จมานานนับแสนปี พลังแห่งเซียนและศาสตร์แห่งเต๋มีพลังอํานาจเหนือเจ้าสิ่งล้ําค่านี้ แต่เจ้าแน่ใจนะว่าจะใช้วิธีนี้กับเจ้าน่าสะอิดสะเอียน”
“ทรัพย์สินสามารถหาได้ใหม่ แต่ชีวิตคนเมื่อตายแล้วไม่สามารถหาทดแทนได้” ลู่หยุนพยักหน้าตัดสินใจเด็ดเดียวก่อนใช้พลังผ่านนิ้วชี้กรีดลงไปที่ข้อมือของฉิงฮั่น หยาดโลหิตของหนุ่มน้อยหยดลงบนผืนภาพวาดที่ว่างเปล่า “สําหรับข้าแล้วเพื่อนสําคัญกว่าของล้ําค่านี้”
“มนุษย์มีความรู้สึกและความภักดี ยอมเสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อสหายจึงทําให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่ยืนหยัดอยู่ได้บนโลกใบนี้พวกเจ้ามีทั้งความฉลาดและพลัง ทว่าความแข็งแกร่งของเจ้ายังมิอาจเทียบได้กับคนพวกนั้น”เขากล่าวพลางถอนหาย
ทั้งโลกมนุษย์และโลกแห่งเซียนล้วนถูกรุกรานโดยความโลภอยากได้อยากมี แต่ความเป็นมนุษย์ไม่เคยสิ้นสูญ-ด้วยมีความรักความผูกพันซึ่งกันและกัน
โดยความทรงจําและประสบการณ์ที่ผ่านมาของทั้งยู่อิงและเฟยหนี่ สู่หยุนไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนเขาเพิ่งได้สัมผัสเมื่อเข้ามาอยู่ในโลกเซียน จึงได้รู้ว่ายังมีการต่อสู้แย่งชิงอีกมากมายบนโลกแห่งเซียน ตัวอย่างเช่นการต่อสู้กับภูตผีเหล่าอสูร เขาเคยแต่ต่อสู้กับมนุษย์ เมียวก็เป็นหนึ่งในนั้น
“มนุษย์มีความภักดีและยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่นเช่นนั้นหรือ” ความรู้สึกขัดแย้งฉายชัดในดวงตาของสุนัขจิ้งจอก“ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะสละชีวิตของตนเองแล้วไซร้ ทําไมจึงต้องขับไล่พวกข้าให้ออกไปจากผืนดินที่แสนอุดมสมบูรณ์ด้วยเล่า”
พลังต่างหากที่พวกเดียวกับเขาให้ความสําคัญ ไม่มีใครใส่ใจจะปกป้องคุ้มครองคนอื่นพวกมันสนใจแต่ตัวเองเท่านั้นและผู้ที่แข็งแรงกว่าจะออกล่าผู้ที่อ่อนแอกว่าเป็นอาหารนี่เองที่ทําให้เมียวข้องใจต่อพฤติกรรมมนุษย์อย่างลู่หยุนมาตลอดอสุรที่กําลังบาดเจ็บถูกทิ้งอย่างไม่ไยดี หรือว่าเขาอาจจะเก็บไว้เป็นอาหารกระมัง
ลู่หยุนละความสนใจจากเมียว เขาหันไปทางฉิงฮั่นที่ปรากฏแสงสว่างคลุมทั่วร่างดุจผ้าห่มคลุมกายของหนุ่มน้อย