เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 50 เทพธิดา
เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ [1
บทที่ 50 เทพธิดา
“มันมาอยู่นี้ได้อย่างไร ทําไมมันถึงรู้ว่าพวกเรามาทางนี้!”เมียวตกใจแทบสิ้นสติเห็นได้ชัดว่าอสูรยักษ์ผีดิบตนนี้ตั้งตาคอยพวกเขาอยู่
ในอีกด้านหนึ่ง ฉิงหงเชิงและนายท่านที่สิบสามเองก็กําลังเดินเกาะกันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เขาให้ชายหนุ่มดูต้นทางขณะที่นายท่านสิบสามทําการกําหนดเส้นทางค่ายกลลงบนพื้นด้วยหินดวงวิญญาณ
“ที่นี่คือโลงซากศพของมัน!” หยุนพูดเสียงแหบต่ํา“จิตใต้สํานึกของมันยึดติดแน่นกับโลงศพทําให้มองเห็นและรับรู้ได้ทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าพวกเราจะหนีไปทางไหนจึงไม่อาจรอดพ้นจากการรับรู้ของมัน”
เขารู้ตัวดีว่ากําลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลําบากขณะเขม็นมองร่างยักษ์ผีดิบที่อยู่ข้างหน้า เวลาเช่นนี้ถึงจะหนีก็คงหนีไม่รอดอสูรยักษ์ขยับลุกขึ้นด้วยท่าทางดุร้าย มันยกมือขนาดใหญ่ราวภูเขาทั้งลูกวาดออกมาหมายจะคว้าตัวลู่หยุน
ยู่อิงสะบดคลี่ม้วนกระดาษทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดออกทันที เผยภาพวาดภูมิประเทศออกขวางฝามืออสูรยักษ์เอาไว้
อ็อก!
ใบหน้ายักษ์โดนกระแทกด้วยกําแพงแห่งธรรมชาติ เลือดกระอักออกทางปากผงะหงายหลังเหมือนถูกผลักด้วยพลังรุน แรง
“เจ้า อสูรชั้นต่ํา! ข้าคือหัวหน้าราชการแห่งเมืองวารีทมิฬถึงเป็นหญิงข้าก็จะไม่ละเว้น!” หลี่ยวไฉว่าพลางเคลื่อนตัวออกมาขวางไว้เบื้องหน้า หามิใช่เพราะอํานาจบังตาของเยี่ยเงินแต่เป็นด้วยตัวของเขาเอง แผ่นยันต์แห่งขุนเขาและสายน้ําอันใหญ่ในมือสองลําแสงสีทองอร่ามเจิดจ้า ประหนึ่งดึงเอาพลังงานทั้งมวลในโลกให้ปรากฏออกมา
ลําแสงแห่งยันต์พุ่งใส่ฝ่ามือแม่มดผีดิบอย่างรุนแรง เสียงหวีดแหลมดังมาขณะร่างยักษ์หงายหลังล้มครืน เศษเนื้อเละเป็นวันกระเด็นออกมาจากฝ่ามือ
ร่างของหลี่ยวไฉกระเด็นตกลงไปในหนองน้ําข้างหลังใบหน้าซีดเผือดปราศจากเลือด ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
แม่มดผีดิบยังส่งเสียงโหยหวนซ้ําแล้วซ้ําเล่า ความดุร้ายยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อบาดเจ็บจากการทําร้ายของเจ้าอ้วน กลิ่นเหมีนคละคลุ้งกระจายฟังมันอ้าปากเปิดอ้าก่อนพุ่งทะยานเข้าหาลู่หยุน
ส่วนหัวที่มีขนาดใหญ่โตแม้จะใหญ่เกินกว่าพื้นที่ว่างในภาพน่าประหลาดยิ่งนักเมื่อมันยังสามารถรับไว้ได้โดยไม่คํานึงถึงว่าจะมีที่ว่างเพียงพอหรือไม่ แต่ลู่หยุนไม่มัวนึกถึงอีกแล้วในเวลา
นี้
ประสาทเครียดเขม็งขณะที่ใจจดจ่อ เขาค่อยก้าวเท้าด้วยท่าทางเลียนแบบการเดินของเสือดาวเพื่อหาพื้นที่ว่างที่ เหมาะสมหลบเร้นมิให้ถูกนางแม่มดผีดิบกัดได้แม้แต่น้อย
กลวิธีนี้ลู่หยุนได้รับถ่ายเทจากยู่อิงผ่านทางกระแสจิต ถึงเขาจะอยู่ในฐานะเจ้านาย ทว่าทักษะการหลบหลีกภยันตรายเบื้องต้นนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยมากนัก
“ฉิงหงเชิง นายท่านสิบสาม!” ลู่หยุนตะโกนเรียกบุรุษสองคนที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด “หากไม่ปรากฏตัวออกมา ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
ฉิงหงเชิงหน้าซีดตัวสั่น เขาหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อพูดจาไม่ออก ส่วนนายท่านที่สิบสามเขากลับสงบเยือกเย็น “เอาอย่างนี้ เจ้าดึงความสนใจอสูร ข้าจะตั้งค่ายกลกําจัดมันเอง!”เขาตะโกนกลับมาขณะก้มตัวขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนพื้น
“เจ้าทําเป็นขีดเขียนค่ายกลเคลื่อนที่หลอกลวงได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!” ลู่หยุนคํารามอย่างโมโห เขาพุ่งตัวเข้าหานายท่านสิบสามโดยมีฉิงฮั่นบนหลัง นายท่านแห่งค่ายกลรู้สึกเสียหน้าที่แผนการถูกจับได้แล้วยังนําพาเอาแม่มดผีดิบตรงมาทา
งนี้ด้วย
“เขาไม่ใช่นายท่านที่สิบสาม” ฉิงฮั่นเตือนเสียงระโหย
“ข้ารู้แล้ว” ลู่หยุนตอบ ชายผู้นั้นกําลังถูกครอบงําหรือไม่ก็มีวิญญาณอื่นมาเข้าสิง
“เป็นผู้ที่มาจากเหล่าเทพเซียนเหนือสวรรค์” ฉิงฮั่นเริ่มที่จะฟื้นฟูพลังขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากประเมินด้วยสายตาอย่างถี่ถ้วนถึงสถานะของนายท่านที่สิบสามก่อนรําพึงต่อไป “แปลกประหลาดสิ้นดี ทําไมจึงมีผู้ที่มาจากเหล่าเทพเซียนเหนือสวรรค์อยู่ในนี้ และยังใช้ร่างของนายท่านที่สิบสามด้วย”
“อะไรนะ” ลู่หยุนตกตะลึง “ใครคือเหล่าเทพเซียนเหนีอสวรรค์” คํานี้พาให้ย้อนนึกถึงกลุ่มคนที่เขาพบในหลุมฝังศพของยู่อิง
เหล่าเทพเซียนสังหารยอิงต้องตายอย่างทรมาณเพื่อช่วงชิงของล้ําค่าคือทัศนียภาพแห่งความเด่นชัด แต่ผู้แสวงบุญกลับได้พบภาพวาดและเก็บรักษาไว้ จนในที่สุดได้ทําการฝังภาพวาดพร้อมกับบุคคลอันเป็นที่รัก ทว่าเหล่าเทพเซียนยังไม่ยอมล่าถอยและรังควานหลุมฝังศพของนางมาตลอดเจ็ดร้อยปี
ตอนนี้พวกเขากลับมาปรากฏอีกครั้ง
การหายสาบสูญไปของนายท่านที่สิบสามจึงน่าจะเป็นฝีมือของเหล่าเทพ! ในเวลานี้จิตของเขากลับถูกวิญญาณตนอื่นครอบงําเสียแล้ว
ยู่อิงเปิดฉากจัดการนางแม่มดผีดิบด้วยพลังแห่งภาพวาดของนางโดยมิได้ใส่ใจกับนายท่านที่สิบสาม หรือจะจดจําผู้มาจากเหล่าเทพเซียนเหนือสวรรค์ได้เลยแม้แต่น้อย นางยังคงตั้งหลักปะทะกับแม่มดร้ายปกป้องนายท่านของตนเองอย่างเข้มแข็ง
เหตุใดนางแม่มดยังติดตามข้าอยู่เช่นนี้ ไปไล่ตามลิ้งหงเชิงโน่น อย่างที่ข้าตั้งใจซี! มันไม่สามารถผ่านเข้าไปในแผ่นยันต์หินผนึกมังกร ข้าเพิ่งนึกได้ตอนที่ออกจากห้องเดียวดายลู่หยุนเริ่มประมวลความเข้าใจของตนเอง ใช่แล้ว! มันถูกผนึกไว้ใต้โครงร่างฟื้นชีพ!
โครงร่างฟื้นชีพผนึกนางแม่มดผีดิบไว้ก้นบึงแห่งประตูสู่อเวจี แน่นอนว่ามันเห็นลู่หยุนเก็บเขาลอยได้ไว้ด้วยมันจึงยังคอย ติดตามเจ้าเมืองหนุ่มอย่างไม่เลิกรา
โครงร่างฟื้นชีพประกอบขึ้นด้วยขั้วแห่งชีวิตและขั้วแห่งความตาย ต่อมาถูกสร้างให้ผนึกแม่มดผีดิบและเมื่อเจ้าเมืองหนี้งมาคลายพลังค่ายกลจึงทําให้มันฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
“ในเมื่อเจ้ารู้ทันแผนการของข้า!” นายท่านที่สิบสามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเห็นว่าลู่หยุนวิ่งล่อแม่มดผีดิบมาทางที่ตนอยู่“ก็ได้ ข้าบรรลุวิชาค่ายกลทั้งหมดแล้ว!” ว่าแล้วก็จับฉิงหงเชิงเหวี่ยงมาทางลู่หยุน
“นายท่านสิบสาม!” ฉิงหงเชิงร้องลั่นเขาตกใจยิ่งนักเมื่อถูกผลักออกมาเช่นนี้ แม่มดผีดิบไล่ตามลู่หยุนมาหาเขากระแทกเจ้าเมืองหนุ่ม ทั้งลู่หยุนและฉิงฮั่นจะต้องกลายเป็นเหยื่อมันแน่
นิ้วววว!
เงาดําพุ่งตรงเข้ากระแทกลู่หยุนจนล้มและถีบเข้าที่แผ่นหลังของฉิงหงเชิงจนมันกระเด็นลงไปกองที่พื้นทับบริเวณค่ายกลเคลื่อนที่พอดี
พลังค่ายกลเคลื่อนที่ ทันใดร่างของฉิงหงเชิงหายวับไปกับ
ตา
“ไม่!!” นายท่านสิบสามร้องโหยหวน เขาสู่อุตส่าห์ตามหาเป็นเวลานับพันปีและอีกเพียงนิดเดียวจะสามารถกลับออกไปได้ทว่ากลับมีคนมาฉวยเอาโอกาสนั้นไปเสียแล้วต่อหน้าต่อตา
ลู่ซวนลงมายืนข้างลู่หยุน เท้าของมันนั่นเองที่เป็นผู้เขียฉิงหงเชิงไปเสีย ด้วยแรงผลักของนายท่านสิบสามหวังให้ร่างนั้นชนปะทะกับลู่หยุน
“จัดการมัน!” ลู่หยุนปลดปล่อยลู่ฮวงออกมาอีกตนผีสองตนทั้งกลัวก็กลัวแม่มดผีดิบจักทําร้าย ทว่าไม่กล้าที่จะขัดคําสั่งของลู่หยุน เมื่อไม่มีทางอื่นมันทั้งสองจําต้องก้าวออกไป
ผีเสกพวกนี้กลับเป็นภูตผีที่ไร้ความสามารถ ทั้งขี้ขลาดและอ่อนด้อย เมื่อเผชิญหน้ากันเพียงนางแม่มดผีดิบยักษ์เปาลมสามพรวดพวกมันก็ปลิวหายไปแล้ว
ผีเสกมันอ่อนด้อยเอง หรือเพราะเป็นผีภูตติดตามของตนกันนะจึงหาประโยชน์อันใดมิได้เช่นนี้ ลู่หยุนใจหายวาบขณะที่แม่มดผีดิบหันมาไล่ตามเขา
“เจ้ากลายเป็นเป้าล่อมันไปก่อนก็แล้วกัน ข้าไปละ”เมื่อเห็นว่าแม่มดผีดิบยักษ์ไล่ติดตามลู่หยุน นายท่านที่สิบสามรีบหันหลังเตรียมหลบฉากออกไปจากที่นั่นทันที
“ฝันไปเหอะ! คิดว่าข้าจะยอมหรือ!” ลู่หยุนเบี่ยงหลังเพื่อให้นิ่งสั่นพ้นจากมือแม่มดผีดิบที่กําลังเอื้อมคว้ามา หันไปยื่อฉุดร่างของนายท่านที่สิบสามไว้
“ปล่อยมือจากข้าเดี๋ยวนี้!” นายท่านที่สิบสามเริ่มโกรธจัดพลังเซียนส่องประกายออกจากร่างส่งผลให้ลู่หยุนที่กําลังจับอยู่ร่างกระเด็นออกไป ด้วยตนเป็นเทพเซียนและร่างที่มาอาศัยจึงรับพลังแห่งเซียนด้วย แม้ว่าจิตอยู่ระหว่างปรับให้เข้ากับร่างใหม่ ทว่าความแข็งแกร่งของพลังเซียนก็ยากที่ลู่หยุนจะต้านไหว
พลังเซียนส่งลู่หยุนร่างกระเด็นไปตกในวิถีของแม่มดผีดิบเข้าพอดี นายท่านที่สิบสามหายล่องหนหายไปกลายเป็นอากาศธาตุเหลือไว้เพียงเสียงเปรี้ยงปร้างตามหลัง
” คราวนี้ข้าคงจะตายจริงเสียแล้วกระมัง” รอยยิ้มหยันผุดขึ้นมุมปาก ทั้งที่เพิ่งจะมีโอกาสเข้ามาใช้ชีวิตบนโลกเซียนข้าจะได้ไปเกิดใหม่ที่โลกอื่นอีกหรือไม่ หรือจิตข้าจะแตกสลายกระจัดกระจายเสียแล้ว
ข้าคงจะไม่ได้เห็นหน้านางก่อนที่ข้าจะตายอีกแล้ว จู่ ๆชายหนุ่มก็พลันคิดถึงหญิงสาวบนหลังขณะฝาค่ายกลมรณะอนิจจังขึ้นมาเสียเฉย ๆ สายตาที่เหลือบมองแล้วพบเข้าความงามนั้นยังจับใจลู่หยุนมเลือนหาย
ทั้งที่รู้ว่านางเป็นเพียงภาพลวงตาในโครงร่างและโครงร่าง ภาพลวงตามักเกิดสิ่งที่เป็นพื้นฐานในจิตใจของคนผู้นั้นเอง การที่ภาพนั้นปรากฏย่อมหมายความว่านางมีตัวตนอยู่บนโลกแห่งความจริง
“เออหนอ ไม่ควรจะมาคิดถึงเรื่องผู้หญิงตอนนี้มิใช่หรือ”เขายิ้มเยาะกับตนเอง เสียงแว่วแผ่วเบาดุจจะกระซิบที่ข้างหูขณะนั้นปรากฏแสงสว่างพร้อมกับควันสีขาวลอยมาปกคลุมนที่ว่างตรงหน้า
คงเป็นยู่อิง นางกําลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่กับแม่มดผีดิบหรือว่าเมียว เขาอาจจะซ่อนตัวที่ไหนสักแห่ง พยายามใช้อุบายเพื่อตามมาให้ทัน ทุกคนต่างกระจัดกระจายกันไป ส่วนนางแม่มดผีดิบยักษ์ดูเหมือนว่ามันนิ่งข็งเหมือนกลายเป็นอัมพาตลงในทันทีเช่นกัน
อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ novelza.com
ร่างอันงดงามของหญิงสาวก้าวออกมาจากแสงสว่างนั้นราวจะหอบเอาลมหายใจแห่งชีวิตผ่านเข้ามาภายในหลุมฝังศพที่หนาวเยือกเย็นแห่งนี้ดรุณีน้อยอายุราวสิบเจ็ดปีสวมอาภรณ์ชีฟองสีเหลืองคลุมยาวผมยาวสลวยดูอ่อนนุ่มดุจปุยเมฆและผิวพรรณขาวผ่องใสยิ่งกว่าหิมะ
ลู่หยุนมองภาพตรงหน้า เขาตกตะลึงต่อภาพที่เห็นจนถึงกับอ้าปากค้างสาวน้อยแสนสวยนางนี้คือหญิงสาวที่เห็นในโครงร่างมรณะอนิจจัง
ทําไมนางจึงมาที่นี่ หรือองค์เทพจะได้ยินความคิดของข้าท่านคงเสียสติไปแล้วอย่างแน่นอน
“ หรือว่านี่คือเทพธิดา” เขาทิ้งตัวลงนั่ง สายตายังจับจ้องไปที่ร่างไม่วางตา
อาภรณ์สีเหลืองที่หมกายเผยให้เห็นทรวดทรงน่าดึงดูดใจรู้สึกได้ถึงความสุขสงบแห่งอารมณ์ ฝ่าเท้าที่ว่างเปล่าขาวผ่องราวกับหยกเนื้อดี ขณะเดียวกันอัญมณีบนหน้าอกทอประกายแสงสดใสมีชีวิตชีวาประหนึ่งดวงดาวอันเจิดจรัส
“ข้าจะอยู่ได้อีกเพียงสองปี ถึงแม้ว่าจะได้ภาพวาดทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดมาแล้ว อย่างมากคงจะอยู่ต่อได้สักสามหรือห้าปี” นางรําพึงราวกระซิบกับตนเอง “ข้าจะยอมสละชีวิตของข้าเพื่อช่วยท่าน” ดวงตาเป็นประกายสดใสหันมาทางลู่หยุน “ท่านเปรียบเสมือนทั้งพี่และญาติสนิท มีท่านเพียงผู้เดียวที่ให้ความเมตตาต่อข้า” นางระลึกถึงคราวที่เขาช่วยเหลือจนนางรอดปลอดภัย ก่อนหันหลังกลับออกติดตามนายท่านที่สิบสามไป
หญิงสาวประกอบฝ่ามือพร้อมหลับตาลง อัญมณีบนหน้าอกระเบิดเป็นประกายไฟลูกใหญ่สีสรรงดงาม พุ่งกระแทกร่างแม่มดผีดิบเข้าเต็มแรงจนร่างอสูรกระเด็นหายไป
เมื่อเหตุการณ์สงบลง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เสียงเมียวถามขึ้นในความเงียบ
“ข้าเห็นเทพธิดา เป็นเทพธิดาจริงๆ” หลี่ยวไฉตะเกียกตะกายขึ้นมาจากบ่อน้ํา ท่าทางของมันกําลังตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “ช่างเป็นเทพธิดาที่งดงามอะไรเช่นนี้”