เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 49 หนี
เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ
บทที่ 49 หนี
แสงสีแดงพุ่งวาบออกมา ฉาบไปทั่วบริเวณประตูสู่อเวจีจนแดงฉานราวสีโลหิต
“ในโลงศพคือมังกร ไม่ใช่อสูรแน่!” ลู่หยุนชักกลัวว่าจะเป็นอสูรกระหายเลือดและโกรธเกรี้ยว ลําแสงสาดออกมาราวคมดาบที่เชือดเฉือน เขาเม้มปากขณะเดินวนไปรอบโลงศพเคลือบทองแดง
“นี่มันคืออะไร” ดึงมือกลับทันทีเมื่อสัมผัสเข้ากับวัตถุคล้ายม้วนกระดาษ แสงสีโลหิตจากสิ่งที่บรรจุไว้ทําให้แขนของชายหนุ่มเป็นสีแดงเกือบทั้งแขน ม้วนกระดาษโบราณในมือสั่นกระตุกเบา ๆ ดั่งมีพลังแห่งชีวิตอยู่ภายใน
” ภาพเขียนแห่งท่วงทํานอง!” เฟยหนี่ร้อง น้ำเสียงกระตือรือร้น
ทัศนียภาพแห่งความเด่นชัด ภาพวาดแห่งความว่างเปล่าและภาพเขียนแห่งท่วงทํานอง! ทั้งสามสิ่งต่างมีพลังอยู่ภายในทั้งพลังไฟปราบเพลิงมรกต พลังไฟแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณและพลังไฟสังหารอัญมณีสีฟ้า ศิลปะล้ำค่าที่สามภาพมีศูนย์กลางเดียวกัน ภาพแต่ละภาพประหนึ่งผนึกพาหนะของพลังไฟแห่งเซียนแต่ละพลัง
“ยังมีสิ่งของล้ำค่าที่เหนือกว่าสิ่งล้ำค่าระดับเก้า” ลู่หยุนรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการค้นพบ “ว่าแต่ภาพเขียนนี่พิเศษอย่างไร”
เขาหวนนึกถึงภาพศิลปะอีกสองภาพที่ค้นพบ โดยเฉพาะภาพวาดทัศนียภาพแห่งความเด่นชัด เหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะทําให้จิตนั้นเกิดความบริสุทธิ์และใสสะอาดเป็นทั้งยาและการบําบัด และสามารถผนึกสิ่งของรวมทั้งมนุษย์ ส่วนภาพเขียนแห่งท่วงทํานอง อีกนัยหนึ่งเขาอับจนปัญญาด้วยไม่รู้ว่าจะใช้สิ่งนี้เมื่อใด
ชายหนุ่มไม่กล้าทดสอบอานุภาพของภาพศิลปะชิ้นใหม่ด้วยตนเอง ด้วยภาพที่หลี่ชิงตกอยู่ในความประมาทจนถูกครอบงําโดยจิตวิญญาณแห่งภาพวาดยังฝังใจ
ทันทีที่คว้าภาพวาดออกมาเขาได้จัดการปิดฝาโลงศพกลับที่เดิม ทันทีที่ฝาโลงศพปิดสนิทแสงสว่างแดงฉานก็อันตรธานไปหมดสิ้น ผีทหารสองตนลู่ซวนและลู่ฮวงลงไปนอนงอก่องอขิงน้ำลายฟูมปากอยู่บนพื้น
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี เอาแต่หดหัวหรือนี่” ลู่หยุนตบหน้าผากตนเองอย่างหน่ายใจ ผีรับใช้พวกนี้แย่เสียยิ่งกว่าทหารถั่วเสกด้วยซ้ำไป อย่างน้อยพวกมันยังรู้ว่าอะไรมีอันตรายและตอบโต้เป็น ขณะที่ผีพวกนี้เปราะบางยิ่งกว่ากระดาษ
“เออ จริงสิ เจ้าเมืองเทียนเหอหายไปไหน” พลันนึกได้ถึงเรื่องสําคัญที่เกิดขึ้น
เขาสังหารเจ้าเมืองเทียนเหอเมื่อราวที่เข้ามาในหลุมฝังศพแห่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นผีของเจ้านั่นควรจะต้องผ่านประตูสู่อเวจีแล้วซี แต่ทําไมเขาไม่เห็นมันแม้แต่เงาของมันในแก่นพลังของชายหนุ่ม
“ของข้า นายท่าน…ข้าอยู่ที่นี่” เสียงอ่อนเบาดังมาจากใต้โลงศพเคลือบทองแดง
ลู่หยุนกะพริบตาปริบ ตรงไปยังที่มาของเสียงที่ถูกทับอยู่ข้างใต้โลงศพ ชายผู้หนึ่งถูกทับทั้งร่างแขนขากางอยู่ที่พื้น กระดิกตัวแทบไม่ได้จากน้ำหนักที่กดทับเห็นเพียงมือและเท้าโผล่ออกมาเท่านั้น
“อ้อ เอ เจ้าอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน” เจ้าแห่งประตูสู่อเวจี ในที่สุดก็ได้รู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากภาพเขียนได้อย่างไร
เจ้าพวกนี้เป็นดั่งปืนใหญ่ที่ใช้ยิงได้อย่างเดียว ธรรมดาและไม่ซับซ้อน
แม้ลู่หยุนจะหายสาบสูญไปและกลับมาใหม่ ในสายตาของคนอื่นเขาจะยังคงอยู่
ในอาณาเขตแห่งประตูสู่อเวจีมีความพิเศษเหลือคณาห้วงเวลาไหลเลื่อน รวมทั้งทุกสรรพสิ่ง สิ่งต่าง ๆ ในนี้เหมือนแยกออกจากโลกภายนอก ดังนั้นแม้ว่าลู่หยุนจะอยู่ในนี้นานเท่าใด เวลาภายนอกจะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเขากลับออกไป
เจ้าเมืองหนุ่มหาได้พาเฟยหนีออกมาด้วยไม่ ด้วยเป็นเรื่องยากที่ต้องอธิบายว่านางมาจากไหน และความที่นางคือผู้ฝึกตนระดับพลังเซียนทองคํา นั่นย่อมหมายความว่าอาจจะถูกกระแสต่อต้านและไม่ยอมรับเซียนทองคําจากเมืองสนธยาได้ ถึงแม้นางจะไม่แสดงพลังออกมาก็ตาม
“เจ้าจะเก็บร่างของนางไว้ที่นี่หรือ” ฉิงฮั่นถามเมื่อมองเห็นลู่หยุนเดินวนไปมาพร้อมโบกฝ่ามือ
“ใช่” ลู่หยุนพยักหน้ารับ “เจ้าจดจําสิ่งนี้ได้หรือไม่” พร้อมกับยื่นภาพเขียนแห่งท่วงทํานองออกมาตรงหน้าสหาย
“นั่นคือภาพเขียนแห่งท่วงทํานอง” ฉิงฮั่นแปลกใจครามครัน “ภาพเขียนมีพลังไฟแห่งเซียน พลังไฟสังหารอัญมณีสีฟ้าอานุภาพนั้น ระดับเดียวกับพลังไฟปรามเพลิงมรกตและพลังไฟแสงสว่างแห่งจิตวิญญาณทีเดียว”
“เจ้าอยากได้ไหม” ตัวเขาเองถือเป็นรางวัลอย่างงามสําหรับการผจญภัยครั้งนี้ด้วยตราค่ายกลโลกานิมิคและข้ารับใช้สาวคนใหม่แล้ว
ฉิงฮันกัดริมฝีปาก ส่ายหน้าปฏิเสธ “ภาพวาดแห่งความว่างเปล่าก็เพียงพอแล้ว”
หนุ่มน้อยละอายแก่ใจ ลู่หยุนเองก็เข้าใจเพราะได้ครอบครองภาพวาดนั้นแล้ว นอกจากนั้นเขาเองแทบจะไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือในการบุกรุกเข้ามาในหลุมฝังศพเลย ในทางตรงกันข้าม –หากปรากศจากความช่วยเหลือของเจ้าเมืองสนธยา ชีวิตของเขาคงจะไม่รอดมาจนถึงป่านนี้
เขายอมรับภาพวาดแห่งความว่างเปล่าเพราะภาพมีความสําคัญสําหรับเขา ขณะที่ภาพเขียนแห่งท่วงทํานองไม่ได้มีความพิเศษในสายตาของลิ้งฮั่นเป็นเพียงสมบัติล้ำค่าที่ทรงพลังอํานาจชิ้นหนึ่งเท่านั้น
หากม้วนภาพเขียนนี้มีต้นกําเนิดเดียวกัน มันคงจะซ่อนความจริงบางอย่างไว้เพื่อรอการเปิดเผยเมื่อทั้งสามมารวมไว้ด้วยกัน คิดเช่นนั้นเขาจึงไม่คะยั้นคะยออีกจึงจัดแจงเก็บม้วนกระดาษไว้กับตัวเอง ขนาดสิ่งล้ำค่าระดับเก้ายังถูกละเลยได้อย่างง่ายดาย
“พวกเราจะออกไปอย่างไร” ฉิงฮั่นถามเสียงเครียด
ห้องเดียวดายเป็นพื้นที่ปิดตาย การจะออกไปโดยพลิกประตูยันต์หินผนึกมังกรจึงไม่มีหนทางอื่น แต่ช่างเคราะห์ร้าย หนทางที่เข้ามาในเวลานี้กลับมีอุปสรรคใหญ่ขวางกั้นอยู่ภายนอกอย่างแม่มดผีดิบยักษ์ เพียงแค่คิดจะฝ่าออกไปก็ทําให้สั่นสะท้านไปทั้งร่างแล้ว
ทั้งชายหนุ่มและหนุ่มน้อยได้ในสิ่งที่ค้นหามานาน การหาทางหนีออกไปจากที่นี้จึงเป้าหมายต่อไป
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าจะไปหาหนอนหน้าปีศาจได้จากที่ไหน” ลู่หยุนหันไปทางเมียว ทางออกเดียวคงจะต้องยอมเผชิญหน้ากับอสูรแม่มดยักษ์ตนนั้นเสียแล้ว
“ข้ารู้” สุนัขจิ้งจอกตอบ “แต่เจ้าต้องไปที่ค่ายกลโลงศพของพวกซากศพชโลมโลหิต”
ลู่หยุนใบหน้าคล้ำหมอง “ข้าก่อนหน้านี้ข้าเห็นมีสองตัวอยู่ด้านนอกโน้น” เข้าเริ่มคลื่นเหียน เมื่อนึกถึงหนอนหน้าปีศาจที่อยู่ในโลงผีพวกซากศพชุ่มเลือดนั่น เพียงเฉียดเข้าใกล้โลงศพที่เต็มไปด้วยหนอนยังขยะแขยงเต็มที
บรรดาร่างที่เห็นก่อนหน้าของพวกซากศพชโลมโลหิต น่าจะเป็นร่างของเซียนซึ่งเตรียมไว้สําหรับเยี่ยเสินเมื่อใดที่นางฟื้นคืนชีพขึ้นมา
การที่ร่างพวกนั้นกลายเป็นซากศพชโลมโลหิตได้ มันย่อมไม่ใช่เหตุปกติ ลางสังหรณ์บอกกับตนเองว่าโลงซากศพกลายเป็นผีดิบเพราะเจ้าซากศพชโลมโลหิตนั่นทําให้มันเป็น… บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่นก็ได้
โชคชะตาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อมีคนเก็บเอาเศษซากของจิตวิญญาณที่แตกสลายของเยี่ยเสิน มิฉะนั้นก็เพื่อปลุกผีดิบโลงซากศพกับแม่มดผีดิบยักษ์ขึ้นมาทําลายล้างสรรพสิ่งบนโลกใบนี้เมื่อนานมาแล้ว
“ข้าก็สังเกตเห็นแต่มันยังเป็นเพียงตัวอ่อนที่ยังไม่โต ที่ใช้ได้จึงมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นในหลุมนี้” เมียวยักไหล่อย่างไม่รู้จะทําอย่างไร “ทั้งหนอนหน้าปีศาจและแมลงซากศพล้วนออกมาจากซากศพอาบโลหิตตัวนั้น”
ลู่หยุนขมวดคิ้วใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาหนทางอื่น
“มันไปแล้ว!” เสียงของยู่อิงดึงความคิดของเขากลับมา นางสังเกตไม่เห็นลูกนัยน์ตาของแม่มดยักษ์มองลอดผ่านช่องที่อุดไว้ด้วยพลังไฟแล้ว มันกําลังพาร่างอันใหญ่โตเทอะทะหันความสนใจไปอีกทาง
“มีคนผู้หนึ่งอยู่บนโน้น!” นางมองผ่านช่องทางประตูหินไปยังฝั่งตรงข้ามของหนองน้ำปิศาจ นิ่งหงเชิงปรากฏอยู่ที่นั่นพร้อมกับคนอีกผู้หนึ่ง
นายท่านที่สิบสาม! ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวออกมา ด้วยบุคลิกหนักแน่นกําลังเดินอยู่บนเนินเขาเหนือหนองน้ำขึ้นไปทั้งยังจับตัวฉิงหงเชิงไว้อย่างมั่นคง นี่เองที่ดึงความสนใจแม่มดผีดิบยักษ์ ตอนนี้มันจึงหันไปไล่ตามคนพวกนั้นแล้ว
“นายท่านที่สิบสามอย่างนั้นหรือ เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่เขา เจ้านั่นไม่ใช่มนุษย์!” ลู่หยุนนิ่วหน้า
อีกฝั่งของหนองน้ำนั้นเกิดพลังค่ายกลประหลาดสร้างขึ้นมาสกัดกั้นได้แม้แต่พลังเซียนกล้าแข็ง อีกทั้งพลังนั้นยังยับยั้งการจู่โจมของอสูรในหนองน้ำที่จะจับกินด้วย
อย่างไรก็ตาม พลังเซียนระดับกล้าแข็งอย่างนายท่านที่สิบสามไม่อาจทลายมันได้
อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือที่เนินนั้นเคยมีคนตายกลายเป็นภูตผีปลอมตัวมาเป็นนายท่านแห่งค่ายกล มีเพียงภูตผีที่อยู่ที่นี่ซึ่งค่ายกลไม่อาจยับยั้งมันได้
“พวกเราฉวยโอกาสนี้รีบออกไปกันเถิด!” ลู่หยุนร้องกระตุ้นพลางยกฉิงฮันขึ้นแบกเช่นเคย ก่อนจะพากันคลานออกทางช่องเจาะของประตูหิน
ในตอนนี้ฉิงฮั่นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับผู้ที่เขาขี่หลังอยู่แล้วจึงไม่โต้แย้งแต่ประการใด
“ที่นี่เป็นที่ไหนกัน ทําไมจึงมีของล้ำค่ามากมายเช่นนี้! ข้าจะอยู่ที่นี่! โอ๊ยยย” เสียงหลี่ยูวไฉร้องครวญครางมาอีก เยี่ยเสินเห็นเข้าถึงกับส่ายหน้าอย่างระอา เจ้าอ้วนเงียบเสียงไปได้สักพักใหญ่กลับมาส่งเสียงอีกเมื่อประสาทเริ่มตึงเครียด เยี่ยเสินสามารถสร้างภาพลวงตาเพื่อล่อหลอกการรับรู้ของมัน หากไม่อาจควบคุมสภาพจิตใจของมันได้
“หุบปากแล้วตามข้ามา!” ลู่หยุนแผดเสียงดุ
เท่านั้นหลี่ยูวไฉตัวสั่นงันงกเดินเกาะติดหนึบตามหลังไปโดยเยี่ยเสินรั้งท้ายเช่นเคย
“ข้าว่าพวกเราอ้อมหนองน้ำปีศาจไปอีกด้านเถิด” เมียวแนะ
แม่มดผีดิบยักษ์มันเดินข้ามไปอีกฝั่งแล้วก็จริงแต่ยังไปขึ้นฝั่งไป ดังนั้นทั้งกลุ่มจะไม่สามารถผ่านทางนั้นได้ เคราะห์ดีที่เจ้าวิญญาณสุนัขจิ้งจอกรู้จักเส้นทางเข้าออกภายในหลุมฝังศพ
เขานอนหลับและฝันวนเวียนอยู่ในนี้มานานนับพันปี
“เจ้าจงนําทางไป” ลู่หยุนพูด
เมียวออกนําพาทั้งคณะบากบั่นไปตลอดเส้นทางที่วกวนคล้ายรังผึ้งมีทั้งหน้าผาและโถงถ้ำ
“ทางนี้” เขาพาตรงไปตามทางเดินกว้างโดยมีลู่หยุนและคนอื่นตามหลังมา ทางเดินเปียกชื้นและวังเวง น้ำที่สูงระดับเข่าเย็นเฉียบเข้ากระดูกดํา
ปลาซากศพขนาดใหญ่ว่ายวนเวียนในน้ำ ส่วนที่เป็นแขนของมันยื่นออกมาทางคนทั้งกลุ่ม ยู่อิงปลดพลังผนึกดาบทั้งเจ็ด และฟันใส่ปลาผีอย่างไม่ปราณี
“ระวัง! มีตัวใหญ่อยู่ข้างหน้าโน่น!” เมียวตะโกนบอก
ห่างไปเบื้องหน้าราวสิบสองหลา ปลาซากศพขนาดใหญ่จ้องมองมาด้วยนัยน์ตาสีแดง
“ฆ่ามันแล้วฝ่าออกไป!” เจ้าเมืองหนุ่มร้องสั่ง
ฮึ่ม
ยู่อิงมีท่าทางมั่นคงและเยือกเย็นผ้าคลุมสะบัดพลิ้วอยู่ด้านหลัง ดาบทั้งเจ็ดสะท้อนแสงส่องประกายรุ้งจัดเรียงตัวลอยกลางอากาศก่อนตวัดใส่ปลาซากศพยักษ์ คมดาบตัดกลางลําตัวขาดสะบั้นอย่างรวดเร็ว
คว่ากกกก!
หัวของปลาปีศาจตกลงในน้ำอย่างแรงจนน้ำกระเพื่อมเกิดเป็นระลอกคลื่นฟองน้ำซัดกระเซ็น ส่วนแขนบิดเป็นเกลียวตวัดคว้าลมอยู่ในอากาศ
“โธ่เอ๊ย” เยี่ยเสินอุทานด้วยความผิดหวัง นางปรารถนาจะลิ้มรสเจ้าปลาพวกนี้ แต่พลังเซียนของลู่หยุนที่กล้าแข็งขึ้นนั้นมีอํานาจควบคุมและบัญชาสัญชาตญาณของภูตผีในตัวของนางได้ ดังนั้นเหตุผลส่วนตัวเช่นนี้จึงต้องระงับไว้ก่อน
หนทางช่างยาวไกลอย่างไม่มีสิ้นสุด มีเพียงน้ำและน้ำตลอดเส้นทางเดินแม้แต่อากาศดูเหมือนจะน้อยลงด้วยเช่นกัน แถวนี้ไม่มีแม้แมลงซากศพ จะมีก็แต่ความมืดมิดอย่างหาที่สุดมิได้
ตําราค่ายกลโลกานิมิตก็ถูกเก็บในประตูสู่อเวจีเสียแล้วไม่อาจใช้แสงนําทางได้ เคราะห์ยังดีที่ลู่หยุนเป็นผู้ฝึกพลังปราณจึงสามารถทอดระยะลมหายใจให้ยาวกว่าปกติ ทว่าไม่นานแสงสีแดงสว่างเรืองรองขึ้นอีกครั้ง
“ไม่นะ” เสียงหวาดกลัวของเมียวดังมาจากด้านหน้าทางเดินข้างหน้าที่กว้างขวางนั้นปรากฏดวงตาคู่หนึ่งซีดขาวจับจ้องมายังพวกเขา
แม่มดผีดิบอสูรยักษ์
มันมาดักคอยพวกเขาที่นี่เอง!