เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 47 ยันต์หินผนึกมังกร
บทที่ 47 ยันต์หินผนึกมังกร
“ที่ประทับขององค์ชายมังกรอย่างนั้นหรือ” ลู่หยุนให้พิศวงยิ่งนัก “บริเวณนี้ไม่ใช่อาณาเขตขององค์ชายพยัคฆ์ดอกหรือ “องค์ชายมังกร” มาอยู่นี้ได้อย่างไร”
ความสงสัยยังไม่กระจ่าง พริบตานั้นเงาขนาดใหญ่กระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว มังกรขนาดใหญ่ท่วงท่าที่สงบเยือกเย็นหยุดยืนอยู่เบื้องหลังคนทั้งหมดไม่ห่างออกไปเท่าใดนัก
“กลับไป!” คําสั่งเฉียบขาดดังมาจากเงาร่างมังกรทําให้กลุ่มของผู้บุกรุกแตกกระเจิงทันที “เจ้าองค์ชายพยัคฆ์อยู่เสียที่ไหน” เสียงถาม ลู่หยุนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันเมื่อเอ่ยอ้างถึงองค์ชายพยัคฆ์ ด้วยไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหากนามของทั้งสองก็มีผลให้ลมหายใจติดขัดได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามเขาก็มียู่อิงเป็นเซียนอยู่ด้วยขณะนี้แล้ว นางสามารถปราบเจ้าโครงร่างมีชีวิตพวกนี้ได้ด้วยพลังทัศนียภาพแห่งความเด่นชัด รวมทั้งองค์ชายมังกรนี่ด้วย
“องค์ชายพยัคฆ์นั้นหรือ มันตายแล้ว” ลู่หยุนตอบอย่างใจเย็น เขาสลับฉิงฮั่นที่แบกไว้บนบ่ามาเป็นท่าขี่หลัง เจ้าหนุ่มน้อยถึงกับหายใจเฮือกอย่างโล่งใจ
“ไม่มีทาง เจ้าองค์ชายพยัคฆ์ไม่มีวันตาย!” น้ำเสียงขององค์ชายมังกรฉายแววอย่างมีความหวัง “เจ้านํามันไปไว้ที่ใด จงนําข้าไปหามันเดี๋ยวนี้”
“ว่าอะไรนะ!” หันไปสบตากับยู่อิง
“องค์ชายพยัคฆ์กับข้ามีชีวิตร่วมเป็นหนึ่ง หากมันตายข้าจะต้องสูญสลายไปด้วย” แม้จะเป็นเพียงรูปเงาขององค์ชายมังกร ทว่าน้ำเสียงชัดเจนถึงกระแสแห่งความปรารถนา “เขาไม่ตาย กลับจะยังสามารถแบ่งร่างได้ ข้าคิดว่าเขาได้แปรเปลี่ยนไปในระดับพลังอํานาจที่สูงขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว”
เสียงพูดต่ำยังดังต่อไป ทั้งสองช่างแปลกนักและยังมีความคลุมเครือไม่ชัดเจน “ข้ารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันพบเจ้าใช่หรือไม่ ถ้าจะไปต้องเป็นสถานที่ที่มันสามารถแปรเปลี่ยนร่างได้”
“ยู่อิง” สายตาจับที่ใบหน้าเฉลียวฉลาดของหนุ่มน้อย
ยู่อิงหรือ แล้วความเข้าใจสว่างวาบขึ้นทันที พลังทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดนั่นเอง! ไม่ต้องสงสัย หาใช่ยู่อิงที่ตายเมื่อหนึ่งพันปีก่อน
ลู่หยุนไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน จะว่าไปแล้ว การที่ได้เข้ามาในหลุมฝังศพแห่งนี้เหมือนเขาได้เปิดโลกทัศน์พรสวรรค์ของตนเอง โดยทางกายภาพแล้วเขาหาใช่คนที่แข็งแกร่งไม่ แต่ใช้กลอุบายได้หลากหลายทําให้สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ที่ ละเปลาะๆ
ตัวเขามีความลับซ่อนอยู่มากมายทีเดียว
เจ้าเมืองสนธยาคนที่แปดมีข่าวลือว่านางตายอย่างน่าอนาถ แต่นางตายแล้วหรือไม่ใครเล่าจะรู้ เวลาได้ล่วงเลยมาสิบสองปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่นึกถึง
ยู่อิงเข้าใจสัญญาณนั้น นางค่อยขยับนิ้วปลดม้วนภาพทัศนียภาพแห่งความเด่นชัด ภาพวาดด้วยน้ำหมึกพรรณนารายละเอียดของภูเขาและสายน้ำ ทว่ามีสิ่งหนึ่งเพิ่มเติมลงในภาพนั้นคือ ภาพเสือตัวเล็กกําลังนอนหลับอย่างสบายท่ามกลางภูมิประเทศที่สงบเงียบ
“นั่น!” เจ้าองค์ชายมังกรร้องขึ้นอย่างปรารถนายิ่งนัก “นําข้าไปยังที่นั่น!”
“ข้าจะส่งเจ้าไปก็ได้” ลู่หยุนยินยอม “แต่ก่อนอื่น จงบอกข้าสิว่าพวกเราเข้ามาในนี้ได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่ข้ามั่นใจว่าตอนแรกเข้ามาในอาณาเขตขององค์ชายพยัคฆ์”
“ข้าเปิดทางให้พวกเจ้าเอง” ท่าทีนั้นสงบเยือกเย็นลง “หาไม่แล้วพวกเจ้าคงจะตายด้วยน้ํามือของฝูงแม่มดผีดิบไปแล้ว”
ลู่หยุนยังข้องใจทว่าไม่พูดอะไร
“องค์ชายพยัคฆ์และข้าต่างก็เป็นวิญญาณสิงสถิต ณ ที่แห่งนี้ พวกข้าทั้งสองมีชีวิตร่วมกันเป็นหนึ่ง เขาเป็นร่างกายส่วนข้าเป็นจิตวิญญาณ มีอาวุธเป็นเขี้ยวและกรงเล็บแต่พวกเราถูกกําหนดไว้มิให้ต้องเผชิญหน้ากัน ดังนั้นจึงจําเป็นต้องใช้สมุนของแต่ฝ่ายในการต่อสู้ ข้าจะมีอสูรเป็นสมุนของข้า ส่วนมันก็จักใช้สมุนของมันเช่นกัน สมุนอสูรเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างจากสถานที่นี้ทั้งสิ้น”
ตอนนี้ลู่หยุนได้รับความกระจ่างแล้ว การต่อสู้ของมังกรและเสือหากมิได้เป็นการต่อสู้ซึ่งหน้า มิฉะนั้นทั้งสองคงจะฟาดฟันกันจนมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ล้มตายลง หากใครผู้หนึ่งตายจะมีผลต่อโครงร่างสูญสลายไปด้วยเช่นกัน
ไม่แปลกใจแล้วว่าทําไมจึงถูกแยกออกเป็นกายและจิตวิญญาณ
เขานึกถึงศีรษะเสือซึ่งอยู่ด้านนอกโลงซากศพและความเกรี้ยวกราดในแววตาคู่นั้น หัวของมันถูกแยกออกจากโครงร่าง ในเมื่อลูกเสืออย่างองค์ชายพยัคฆ์ถูกแยกออกจากแก่นชีวิตของมันและจากไปแล้ว แม่เสือก็จะต้องสูญสลายไปในไม่ช้า คงเหลือเพียงเงื่อมเงาของมังกรเท่านั้น
เมื่อใดที่องค์ชายมังกรเข้าไปอยู่ในภาพทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดด้วยกัน โครงร่างก็จะเสื่อมถอยไปเอง
“บริเวณนี้คือสุญญตาเขตแห่งจิตซึ่งอยู่ภายในโลงซากศพ และเป็นที่สถิตของข้าพวกแม่มดผีดิบไม่อาจกล้ำกราย เจ้าจะอยู่ในนี้ได้อย่างปลอดภัย” องค์ชายมังกรกล่าวต่อ
“อ้อ อย่างนี้เอง” ลู่หยุนพยักหน้าอย่างเข้าใจ หากองค์ชายสามารถรวบรวมจิตวิญญาณและความคิดเข้าไว้ด้วยกันได้ จะทําให้เกิดพื้นที่แห่งจิตบริสุทธิ์ของตนเองด้วย
“เดี๋ยวก่อนสิ สุญญตาเขตแห่งจิตคืออะไร โลงผีนี่มีความรู้สึกนึกคิดด้วยหรือ” สัญชาตญาณบางอย่างบอกตัวเองฉิงฮั่นชักกลัวจนต้องลดตัวลง
“หามิได้ โลงซากศพไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิด แต่เป็นแม่มดผีดิบตนนั้นต่างหาก” องค์ชายมังกรตอบ “ครั้งหนึ่งร่างของนางถูกฝังอยู่ในสุสานแห่งนี้ แต่วิญญาณไม่อาจไปผุดไปเกิดใหม่ได้ ความจริงแล้วดวงวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่สําคัญ สิ่งที่สําคัญก็คือภาวะของจิตได้ถูกหล่อหลอมไปกับโลงซากศพนี้เสียแล้ว ทําให้นางต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ตลอดจนชั่วกัปกัลป์ ซากศพของนางได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นร่างแม่มดผีดิบและถูกส่งลงสู่อเวจีผนึกอยู่เบื้องล่างยอดเขาลอยได้”
“หากเป็นข้า ก็คงทําเช่นนั้น” ลู่หยุนพยักหน้า “นี่คงเป็นผลกรรมที่นางก่อไว้สินะ”
ฉิงฮั่นเบ้ปากอย่างขยะแขยง
“อย่ามาทําเบะปากเลย” เจ้าเมืองหนุ่มหัวเราะเยาะ “เจ้าจะทําอย่างไรหากคนในครอบครัวโดนกระทําให้กลายเป็นโลงซากศพ” ถามอย่างสําบัดสํานวน “ข้าจะขจัดความคิดที่บิดเบือนออกจากนั้นจัดการแปรเปลี่ยนให้ร่างกลายเป็นโลงซากศพฝังร่างของพวกมันเพื่อเอาคืนให้สาสมบ้าง อย่างไรละ”
ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของโลงซากศพเคลื่อนไปสู่จิตวิญญาณของร่างที่ถูกฝัง
ฉิงฮั่นถึงกับนิ่งงันไป ” ครอบครัวของข้าคงจะไม่ทําถึงขนาดนั้น” พูดเสียงเบา
ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกพุ่งเข้าจับหัวใจชายหนุ่ม “เอาล่ะเลิก พูดเรื่องนี้ได้แล้ว” กระแอมเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามต่อ “มีอะไรอยู่เหวนรก”
หลายครั้งที่เขาพยายามเปิดดวงตาปีศาจ แต่ในเวลานี้พลังแห่งคัมภีร์เป็นตายกลับสับสนยุ่งเหยิงไปหมด บดบังจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากคนตาย
“ข้าเองบอกไม่ได้” องค์ชายมังกรตอบ “เจ้าสุนัขจิ้งจอกนั้นคงตอบได้” เขาพยักเพยิดไปทางเมียว แต่วิญญาณได้แต่ส่ายหน้า
“ข้าก็ไม่รู้ ขุมนรกอเวจีอยู่นอกอาณาเขตของหลุมฝังศพ หลายครั้งที่พยายามจะลงไปในความฝัน ทว่าเมื่อใดที่กระโจนลงไปสุดท้ายจะวกกลับมาที่เดิมทุกครั้ง”
” หลุมฝังศพถูกเลือกให้สร้างที่นี่อาจจะเป็นเพราะขุมนรกอเวจีนั้นเอง” เขาคาดเดา
“เอาละ คราวนี้เจ้าจะส่งข้าเข้าไปในภาพได้หรือยัง” องค์ชายมังกรทวงถามด้วยน้ําเสียงกระตือรือร้นอย่างมีความหวัง
ลู่หยุนเอียงคออย่างไม่แน่ใจ “พวกเราจะถูกขับไล่ออกไป จากที่นี่หรือไม่เมื่อท่านไปแล้ว” เขาถาม
“พวกแม่มดผีดิบไม่ได้อยู่แถวนี้อีกแล้ว” องค์ชายมังกรเข้าใจความคิดของเขา “แต่พวกมันไม่ได้ไปไหน พวกเจ้าต้องระมัดระวังให้ดี ตราบที่เจ้าเคลื่อนยอดเขาลอยปล่อยให้มันหลุดออกจากขุมอเวจี จึงไม่มีอะไรจะยับยั้งมันได้อีกต่อไป”
ลู่หยุนอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรหากกลับนิ่งไป ยังมีอะไรอยู่ที่นี่อีกไหม แต่ช่างมัน
ภาพทัศนียภาพคลื่ออก ทันใดก็ดูดร่างองค์ชายมังกรเพิ่มเข้าไปในภาพวาดกลายเป็นร่างของมังกรน้อย ขณะนั้นเองที่ลู่หยุนรู้สึกตัวหนักอึ้ง เหมือนว่ากําลังร่วงหล่นจากที่สูงและตกลงบนพื้นดินที่ใดสักแห่ง อย่างไรก็ตามเขากลับไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของภาพที่อยู่รอบตัวแม้แต่น้อย
“มาเถิด! ต้องรีบตามหาเยี่ยเสิน!”
“มารดามันเถอะ! พวกปีศาจ! ช่วยด้วย!” เสียงแหกปากร้องลั่นจนแผ่นดินสะเทือนของหลี่ยวไฉดังมาแต่ไกล เสียงร้องโหยหวนสั่นประสาทยิ่งนัก ขณะที่เขาเกาะแน่นกับหินก้อนใหญ่แก้มอ้วนๆห้อยยานแกว่งไกวราวคลื่นลมในทะเล
เยี่ยเสินและเจ้าปีศาจฝังรอยแค้นยังคงต่อสู้กันอย่างไม่ยอมล่าถอยอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา
“ภาพวาดแห่งความว่างเปล่า!” ปีศาจกรีดร้องเสียงแหลม ทันทีที่เห็นลู่หยุนโผล่ออกมา นางก็พลันพุ่งทะยานเข้าหาฉิงฮั่นที่บนหลังของลู่หยุน ก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นม้วนกระดาษที่คุ้นเคยในความรู้สึก
ภาพวาดแห่งความว่างเปล่าเป็นสิ่งล้ำค่าซึ่งเจ้าเมืองเจิ้นชุยใช้ผนึกอิทธิฤทธิ์ของแท่นบูชา ตอนนี้มันมาอยู่ในมือของฉิงฮั่น ความคิดของนางปีศาจเต็มไปด้วยความลุ่มหลง รุนแรงและเกลียดชัง
ปกป้องพลเมืองโดยรักษาสถานะผนึกแท่นบูชาถือเป็นภารกิจใหญ่ยิ่งที่นางยึดถือมาตลอด แต่ตอนนี้เครื่องมือที่เป็นของสําคัญกลับไปตกอยู่ในมือผู้อื่นทําให้นางโกรธจัดจนเหลือที่จะกล่าว จึงผลักเยี่ยเสินกระเด็นในฝ่ามือเดียว ก่อนทะยานไปขวางหน้าลู่หยุน
“จับมัน!” ชายหนุ่มตะโกนร้องสั่งนัยน์ตาเบิกกว้าง
เยี่ยเสินทะยานเข้าไปข้างหลังอย่างไม่ลังเล คว้าตัวมันยึดไว้จนสุดกําลัง แม้ว่าปีศาจจะไม่มีตัวตนแต่ทั้งสองมีพลังทัดเทียมกันจึงสามารถจะต่อกรได้
“ยู่อิง!” ลู่หยุนร้องเร่ง
ผีสาวเข้าใจความหมาย นางจัดการคลี่ภาพทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดออกทันที มันดูดกลืนทั้งเยี่ยเสินและนางปีศาจเข้าไปภายในภาพวาดทันที ทว่าไม่นานนางกลับหน้าซีดเผือด
“ภาพวาดทัศนียภาพไม่สามารถรับนางไว้ได้” ม้วนกระดาษในมือสั่นไหวอย่างรุนแรงเพราะฤทธิ์นางปีศาจที่กําลังดิ้นรนเพื่อเป็นอิสระ อํานาจของสมบัติล้ำค่าไม่สามารถสกัดกั้น ภูตผีและสิ่งมีชีวิตได้ในที่เดียวกัน
“ส่งมาให้ข้า” ลู่หยุนสูดลมหายใจ ก่อนคว้าม้วนภาพวาดมาจากสาวใช้ เขาจัดการเปิดประตูสู่อเวจีนําภูตผีปีศาจและทุกอย่างเข้าไป
หากข้าสามารถเข้าถึงแก่นทองคําและถ่องแท้ในขอบเขตของแก่น ข้าย่อมนําประตูสู่อเวจีมาใช้ตอนนี้ได้ผีร้ายตนนั้น พลังกล้าแข็งเกินกว่าที่ศาสตร์ความตายจะต้านทานไหว เขาจะไม่ยอมให้สิ่งที่จะผ่านประตูโดยไม่พิจารณาก่อน มิฉะนั้น เขาเองอาจต้องตายเพราะพลังปราณแตกซ่านได้
ประตูแสดงสัญลักษณ์หยินและหยางให้ปรากฏอยู่ชั่วครู่ แทนที่จะเป็นลักษณะทางกายภาพ และการมีอํานาจเหนือภูตผีทําให้จิตวิญญาณกล้าแข็งขึ้น เขาไม่ได้ใส่ใจต่อหลี่ยวไฉ นอนขดตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวอยู่บนพื้นอีกต่อไป ลู่หยุนหันมองไปทางประตูห้องเดียวดาย
“ตราค่ายกลโลกานิมิตอยู่ที่นั่น!” ลู่หยุนใจเต้นรัว เมื่อใดที่ได้ตําราค่ายกลโลกานิมิตมาครอบครอง ข้าจะสามารถผสานศาตร์ฮวงจุ้ยที่มีและวิชาค่ายกลทั้งโลกได้
ชายหนุ่มเพ่งมองไปที่ประตูคาดหวังในสิ่งที่จะเห็น พลันหยุดชะงักลงทันควัน “เดี๋ยวก่อน นี่คือยันต์หินผนึกมังกรนี่นา”
โจรปล้นสุสานไม่ปรารถนาจะเจอเจ้าสิ่งนี้เพราะหมายถึง เขาจะคงต้องกลับบ้านมือเปล่าเสียแล้ว มันยังมีชื่อที่เรียกกัน อย่างขําขันว่า “ธรณีประตูของสัมภเวสี” นับตั้งแต่มีเพียงภูตผีเท่านั้นที่จะผ่านเข้าไป
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตอย่างจริงจังก็เพราะมัวแต่พะวง เรื่องนางปีศาจฝังแค้นตนนั้น แต่พอค้นพบประตูกลับทําให้รู้สึกใจชื้นและอารมณ์ดีขึ้น
“ยันต์หินผนึกมังกรคืออะไร” ฉิงฮั่นเห็นสีหน้าของลู่หยุน เขาก็เข้าใจได้
“เป็นหินที่มีน้ำหนักมาก แข็งแรงทนทานทําให้ประตูห้องเดียวดายปิดตาย ข้าคงไม่มีปัญญาเข้าไปเอาตําราค่ายกลโลกานิมิตในห้องนั้นออกมาได้แน่” สีหน้าแสดงความผิดหวังอย่างรุนแรง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่เขาเจอยันต์ผนึกมังกรหินและสองครั้งก่อนได้พิสูจน์แล้วว่าถึงจะพยายามไปก็ไร้ประโยชน์
“ดาบพิฆาตโลกันต์เป็นดาบระดับที่เก้ามีความคมอย่างชนิดหาตัวจับยาก น่าจะสามารถตัดยันต์ผนึกมังกรหินได้” ฉิงฮั่นเสนอความคิด
“ดาบพิฆาตโลกันต์ ดาบระดับที่เก้า จริงหรือ” ลู่หยุนชักตาสว่างหลังจากได้ลองเข้าไปผลักดันแผ่นหิน
“เจ้าวางข้างลงก่อน” ฉิงฮั่นเร่ง
“อ๋อจริงสิ เจ้ายังขี่หลังข้าอยู่นี่นา” ชายหนุ่มหัวเราะท่าทางเขินๆ เขาค่อยวางหนุ่มน้อยลงและจับตัวให้นั่งพิงผนัง “เจ้า อยดูเขาด้วย” หันไปทางยู่อิง
“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน” สาวน้อยรับคํา เข้ามายืนใกล้อย่างระแวดระวังภัยเต็มที่
ฉิงฮั่นขบริมฝีปากตนเองแน่น จ้องเขม็งไปที่อู่หยุนแทบไม่กะพริบตา
ชายหนุ่มกําดาบไว้ในมือ ก้าวตรงไปยังแผ่นยันต์หินผนึกมังกร ประตูหินมีขนาดใหญ่โตนั้นสีน้ำเงินอมเขียวดุจสีของทะเลลึกไอความเย็นแผ่ซ่านออกมา ราวกับสิ่งที่สวรรค์สรรสร้างยิ่ง
เขาเงื้อดาบขึ้นสุดแขนก่อนจะฟันลงไปบนแผ่นหิน
“คุณพระคุณเจ้า! ประกายไฟอะไรนั่น!” แล้วหลี่ยวไฉก็ร้องเอะอะด้วยความหวาดกลัวมาอีก ซากผีดิบตนหนึ่งคลานขึ้นมาจากบึงน้ำด้านหลัง เปลี่ยนทิศทางเดินโซเซมายังเขา
“เยี่ยเสิน เจ้าช่วยอุดปาดมันไว้ที่” คมดาบของลู่หยุนเพียง ทําให้เกิดรอยจางบนแผ่นหิน
“ข้าจัดการมันเอง!” เมื่อกําจัดนางปีศาจจอมล้างแค้นจนติดอยู่ในประตูแห่งอเวจีแล้ว เยี่ยเงินก็กลับออกมาจากภาพวาด ผีสาวหันไปจัดการกับหลียวไฉเป็นรายต่อไป นางร่ายเวทลวงตาครอบงําเขาอีกครั้งทําให้เจ้าอ้วนจอมขี้ขลาดตาขาวสงบลงจนได้
“ฮ่ะฮ่ะฮ่า ไอ้ปีศาจกล้าเข้ามาขโมยสมบัติล้ำค่าของข้าเชียงหรือ” เหลี่ยวไฉหน้าตาถมึงทึง ถลกแขนเสื้อเดินอาด ๆ ตรงเข้าหาซากผีดิบ
“ได้การละ!” ลู่หยุนมีสีหน้ายินดีหันเมื่อกลับไปยังแผ่นหิน สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนลงมือฟันอีกครั้ง
บึงงง!
ประกายไฟสีม่วงแตกกระจาย เกิดเป็นรอยแยกลึกกว่าเดิม
กลุ่มควันสีฟ้าเป็นสายพวยพุ่งออกมาจากรอยแตกของแผ่นหิน
” พอก่อน!” ฉิงฮั่นร้องขึ้น ” แผ่นยันต์หินผนึกมังกรถูกทําลาย ตอนนี้แก่นชีวิตของมันก็แตกซ่านออกไปแล้ว เจ้าสามารถใช้ไฟปราบมรกตเพื่อเปิดประตูได้”
เพียงแค่ขยับร่างกายแค่ยกแขนชี้นิ้วเท่านี้ เขากลับรู้สึกหมดเรี่ยวแรงสุดประมาณ ข้าใช้ดาบพิฆาตโลกันต์เพียงหนึ่งครั้งยังสูญเสียพลังถึงเพียงนี้ แต่นี่เขากลับไม่สะดุ้งสะเทือนช่างอยุติธรรมยิ่งนัก ฉิงฮั่นได้แต่คิดคํานึงวุ่นวายในใจ