เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 44 โลงซากศพ
GS บทที่ 44 โลงซากศพ
ยู่อิงเป็นเซียนก่อนที่นางจะตาย หลังจากนั้นอีกนับพันปีพลังของนางกลับอ่อนแอลง แม้ว่าจะกลายเป็นทูตวิญญาณแห่งสังสารวัฏ หากแต่ยังไม่สามารถฟื้นพลังกลับคืนได้ดังเดิม
นางตายอีกครั้งในโครงร่างและกลับคืนสู่คัมภีร์เป็นตาย ลู่หยุนเป็นคนเปิดทางพลังแห่งคัมภีร์ ทําให้นางกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้พลังของผู้ฝึกตนของนางได้ทะยานพุ่งถึงขีดสุด
เมื่อพลังเซียนกลับฟื้นคืนมากล้าแข็ง นางจึงจัดการเคลื่อนย้ายพลังทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดได้อย่างง่ายดาย ยังใช้พลังผนึกเจ้าองค์ชายพยัคฆ์ตนนั้นออกไป ผนวกกับศาสตร์ความตายของลู่หยุนซึ่งเขาเพิ่งเปิดทางสู่พลัง
ดวงตาปีศาจ!
ด้วยพลังเขาสามารถมองเห็นความเป็นและตายแม้จะอยู่ห่างแสนไกล
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีคนที่ตายไปแล้วคนใดจะเล็ดลอดสายตาของเขาไปได้ ชายหนุ่มสามารถใช้ดวงตาปีศาจค้นหาผู้นั้น นับว่าเป็นความท้าทายอํานาจสวรรค์โดยแท้
“เหมือนเข็มทิศหล่อแก…ไม่สิ ต้องมากกว่านั้น!” [1] ลู่หยุนแทบระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อได้รู้ว่ามีศาสตร์ความตายเพิ่มขึ้นใหม่ในกายของตนเอง สิ่งนี้จะสามารถช่วยในการขุดค้นหลุมฝังศพที่สาบสูญให้ง่ายขึ้น
“นาง นางกลับมาได้อย่างไร” ฉิงฮั่นโพล่งขึ้น เขาคิดว่าคงต้องตายไปพร้อมกับลู่หยุนแล้วแท้ๆ ทว่ายู่อิงกลับมาช่วยชีวิตทั้งสองไว้ได้ทันในวินาทีสุดท้าย ทั้งยังช่วยจัดการปิดผนึกเจ้าเสือได้เสียด้วย
“คนของข้าหลบหนีไป” ลู่หยุนโกหก “แต่แล้วนางก็ย้อนกลับมา ทางโครงร่างมรณะอนิจจัง นางคงไม่อยากมาตายพร้อมกับพวกเราดอก”
ฉิงฮั่นหาคล้อยตามไม่ เขาเห็นกับตาของตนเองตอนที่ยู่อิงหายไปภายหลังจากที่นางตัดแขนแม่มดผีดิบตนหนึ่ง ที่ยื่นออกมาจับเจ้าเมืองหนุ่ม “แต่ข้าเห็น…”
“ก็เหมือนกับตอนเยี่ยเสิน นางสิงร่างหลี่ยวไฉเดินตามข้ามา” ลู่หยุนตัดบท “แต่เมื่อพวกเราออกจากโครงร่าง นางก็มายืนคอยอยู่อีกทางแล้ว”
“อ๋อ อย่างนี้เอง” เมื่อจดจําได้ ฉงฮั่นก็คลายความสงสัย
ลู่หยุนผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วความรู้สึกหนึ่งแว่บขึ้นมาจนเขารู้สึกเสียววาบทั่วแผ่นหลัง ประเดี๋ยวหนึ่งนะ ทําไมข้าจะต้องสนใจความรู้สึกของเจ้านี้ด้วยนะ นี่ข้า-!!
ปากคอสั่น หน้าถอดสี เมื่อนึกย้อนกลับไปในโครงร่างมรณะอนิจจัง เจ้าเมืองหนุ่มยังจําได้ดีตอนเหลือบไปเห็นมองใบหน้างดงามจนถึงกับต้องตะลึง ทําไมนะ อํานาจแห่งโครงร่างมรณะ ยังมีอิทธิพลต่อข้าจนกระทั่งบัดนี้เชียวหรือ
“ข้าจะไม่ยอมให้สาวน้อยบนหลังข้ากลายเป็นเรื่องจริง” เขาพึมพำ
“สาวน้อยอะไร” ฉิงฮั่นเอนพิงบ่าลู่หยุน ทว่าใบหน้ากลับร้อนผ่าว มีแต่เขา…ไม่ใช่ นาง…รู้ทั้งรู้ว่าอัญมณีแห่งดวงดาวที่ช่วยปกปิดร่างกายที่แท้จริง คลายพลังอําพรางกายลงเมื่ออยู่ในโครงร่างมรณะอนิจจังแห่งนั้นจึงเผยตัวตนที่แท้จริงของนางออกมาให้เห็น
เขาเห็นข้าหรือ นางหมกมุ่นครุ่นคิด ขณะที่หัวใจเต้นตึกตัก
“ฮึ โครงร่างมรณะอนิจจังสร้างภาพหลอนเป็นหญิงสาว นางไม่มีตัวตน แต่นางช่างหมดจดงดงามเหลือเกิน” ยังไม่หนําใจ ลู่หยุนกระเดาะลิ้น “คงน่าอัศจรรย์นักหากนางมีตัวตนจริงขึ้นมา ข้าจะทําให้นางเป็นของข้าเสียนี่ อย่าดีกว่า เดี๋ยว ที่จริงแล้วหญิ งสาวบนหลังข้านางยังตัวน้อยนัก” เหมือนว่าความคิดนี้เข้าไปกระทบก้นบึงของจิตใจของชายหนุ่มอย่างแรงจนเขารู้สึกขนลุกเกรียวตลอดร่าง
“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ” ฉิงฮั่นพูดอย่างโกรธจัดเมื่อได้ยินลู่หยุนกระซิบกับตนเองเช่นนั้น
“เจ้าเลิกคิดได้เลย ขืนข้าปล่อยเจ้าลงมีหวังคงกลายเป็นเหยื่อแม่มดผีดิบพวกนั้นแน่” พูดจบลู่หยุนก็ตบเข้าที่สะโพกของฉิงฮั่นอีกครั้งโดยไม่ได้ทันยั้งคิด หนุ่มน้อยระทดท้อจนอยากร้องไห้ออกมา
ฮึ่ม
ยู่อิงใช้พลังทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดเข้าสกัดการจู่โจมของฝูงแม่มดผีดิบ ภาพนั้นดูดพวกมันหายเข้าไปภายในและเผาผลาญจนเป็นเถ้าถ่านตรงปากทาง พลังไฟปราบเพลิงกลับมีฤทธิ์ร้ายแรง เมื่อผนึกกําลังเข้ากับภาพวาด
สถานที่นั้นเงียบสงัดวังเวง เมื่อปราศจากองค์ชายพยัคฆ์เหล่าบรรดาอสูรทั้งหลายก็พากันหนีหายไปหมด ราวกับว่าพลังแห่งธรรมชาติของภาพวาดได้ทําลายโครงร่างมีชีวิตลงสิ้นแล้ว
“ทั้งฮวงจุ้ยและค่ายกล…มีปฏิกิริยาซึ่งกันและกันของลักษณะภู มิประเทศ ก่อเกิดโครงร่างตําแหน่งแรกรวมทั้งค่ายกล พลังทัศนียภาพแห่งความเด่นชัดจึงรวมทั้งธรรมชาติที่เป็นลักษณะภูมิประเทศ พวกภูเขาและสายน้ำเข้าด้วยกัน ทําให้โครงร่างแห่งนี้คงรูปอยู่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย” ลู่หยุนเริ่มตระหนักรู้ ภาพว่าย่อมไม่แสดงปฏิกิริยาหากโครงร่างไร้ซึ่งความรู้สึก มันอาจบดบังโครงร่างมีชีวิตได้ แต่ไม่สามารถบดบังคนตายได้
“มนุษย์ช่างน่าแปลกแท้” เมียวออกความเห็นเมื่อได้ยินลู่หยุนกับฉงฮั่นถกเถียงกัน “ถ้าเจ้าคิดอะไรกับเจ้าน่าสะอิดสะเอียนบนหลังเจ้า แล้วใยจึงเอาแต่ปฏิเสธเล่า”
“หุบปากเหม็นของเจ้าเลย ปากเน่า ๆ นั้นมีปากสักแต่พูด!” ลู่หยุนตวาดอย่างโกรธจัด จริงหรือที่ว่าเขามีใจให้ฉิงฮั่น เจ้าหนุ่มไร้น้ำยานั้น ลู่หยุนมั่นใจอย่างที่สุดว่าเจ้าหนุ่มน้อยมันก็แค่ลูกธนูไร้น้ำยาเท่านั้น!
ท่าที่อึดอัดทําให้เมียวเงียบเสียงลง
“เขาพูดอะไรกับเจ้า” ฉิงฮั่นรู้สึกได้ว่าลู่หยุนอารมณ์เสีย จึงถามอย่างข้องใจ
“เจ้าก็ด้วย หุบปากเสีย!” ลู่หยุนขยุ่มที่ขาฉิงฮั่นเข้าอีก ครั้งนี้หนุ่มน้อยถึงกับหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“ข้าว่าบางคนการสัมผัสหางกันอาจเป็นการแสดงความรัก” เมียวตั้งข้อสังเกต “เจ้าน่าสะอิดสะเอียนมันไม่มีหาง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการแสดงออกว่าชอบมันแล้วเจ้าคอยแต่จะตบบั้นท้ายของมันอยู่อย่างนั้น”
ลู่หยุนกําหมัดแน่นก่อนขยับดันตัวฉิงฮั่นให้อยู่ในตําแหน่งสูงขึ้น ข้าจะไม่แตะต้องบั้นท้ายของเขาอีก! อย่างไรก็ตาม บั้นท้ายของเจ้านี่จึงนุ่มนิ่มอย่างกับอิสตรี ยิ่งคิดให้ยิ่งสับสนหากยังไม่สามารถหาคําตอบให้กับการกระทําของตนเองได้
คงจะเป็นผลพวงของพลังโครงร่างมรณะอนิจจัง อาจจะยังหลงเหลือจิตใต้สํานึกของข้ายังรับรู้ว่ากําลังแบกสาวงาม! เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อขับไล่ความคิดที่เข้ามาแทรกแซง หยุดคิดถึงเรื่องบั้นท้ายนั่นเสียที
ฉิงฮั่นน้ําตารื้นขึ้นมา ใบหน้าคล้ํากลับแดงซ่าน ความคิดเตลิดไปอย่างไร้จุดหมาย
“ที่นี่ละ” เมียวหยุดเดิน มือชี้ไปข้างหน้า “ร่างของข้า”
ลู่หยุนเงยมอง ทางเดินที่เห็นเบื้องหน้าที่ยกระดับสูงขึ้น กว้าง และค่อนข้างชันเล็กน้อย ส่วนบนสุดเขาลูกย่อมลอยเหนือพื้นดิน ปลายยอดมีวัตถุบางอย่างส่องแสงแวววาว
“เจ้าสังเกตไหม” ฉิงฮั่นพูดเบาขณะที่คนที่เขาขี่หลังอยู่ย่างเท้าลงบนทางเดิน “เส้นทางนี้เหมือนกับลิ้น”
ได้ยินข้อสังเกตของฉิงฮั่น ลู่หยุนมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับมองรอบตัว “นั่นมังกรม้วนตัวรอบเสือ!”
เหนือศีรษะปรากฏใบหน้ามหึมา ความสูงจากพื้นราวสิบไมล์ นัยน์ตาของมันบ่งบอกอารมณ์ หลุมขนาดใหญ่ตรงกลางหว่างคิ้ว ส่วนนี้น่าจะมีอานุภาพรุนแรงทําให้ถึงตายได้
ขนาบด้านข้างใบหน้านั้นเป็นศีรษะมังกรและเสือ ทั้งสองเป็นรูปสลักจากหินที่มีรูปร่างเหมือนภูเขาขนาดเท่ากับหัวกะโหลกยักษ์นั้น ส่วนที่เป็นลําตัวของอสูรทั้งสองกองอยู่บนลําตัวเจ้ายักษ์ซึ่งมีการจัดวางท่าทางอย่างแปลกประหลาด
การต่อสู้ระหว่างมังกรกับเสือ!
ช่างสมจริงจนลู่หยุนมองเห็นกระทั่งแววตาของเสือที่จ้องมองยู่อิงอย่างมุ่งร้ายเป็นประกายวาววับ
“โครงร่างนี้ใหญ่โตมโหฬาร ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ราชาแห่งเสือจะปรากฏตัวและเร้นกาย” เขาเข้าใจแววประสงค์ร้ายในดวงตาของเสือ
“โลงซากศพ” ฉิงฮั่นพูดเสียงเบาหวิว
“อะไรนะ” คู่หยุนเอียงหน้า หันไปตามสายตาของหนุ่มน้อย
หลังจากนิ่งงันไปชั่วครู่ ฉิงฮั่นเริ่มเอ่ยถึงตํานานเก่าแก่ “ข้าเคยอ่านบทพรรณนาเกี่ยวกับมนุษย์ประหลาดจากบันทึกที่ขุดได้หลุมฝังศพเซียน น่าจะมีอายุราวหนึ่งแสนปีมาแล้ว ก่อนเกิดมหาสงครามของพวกเซียน เมื่อใดพวกพ้องล้มตาย พวกเขาจะออกล่า ชนจากกลุ่มอื่นเพื่อนําร่างมาใช้ทําเป็นโลงศพให้กับพวกที่ล้มตาย”
ลู่หยุนได้ยินเข้าถึงกับอ้าปากค้าง
“เจ้าบอกว่าภูเขาทั้งลูกเป็นหลุมฝังศพ แต่ขนาดที่ใหญ่โตของร่างยักษ์ไม่สามารถหาตําแหน่งที่เหมาะสมสําหรับเป็นที่พํานักแห่งสุดท้าย” น้ำเสียงนุ่มนวลเป็นจังหวะของฉิงฮั่นยังคงพูดต่อไป “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ร่างเหล่านี้ใช้เป็นโลงศพ คงจะมีสุสานฝังร่างโลงศพไว้ทว่าถูกทําลายไปเสียแล้ว ทั้งหลุมฝังศพและการต่อสู้ระหว่างมังกรกับเสือมีการสร้างขึ้นภายหลัง”
“ที่นี่ทุกอย่างก็ชัดเจนเสียที” คู่หยุนสูดหายใจ “ทั้งหลุมฝังศพ และการต่อสู้ระหว่างมังกรและเสือสร้างขึ้นโดยสหายหรือครอบครัวเพื่อชําระหนี้แค้นให้กับคนตาย เดิมทีร่างนั้นอาจไม่ได้ใหญ่โต หากความระทมทุกข์ของร่างโลงศพกลับใหญ่ยิ่งกว่าเมื่อสุสานของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยหลุมฝังศพ” [2]
ฉิงฮั่นพยักหน้า หากวินาทีต่อมา “ดูนั่น!” เสียงร้องสั่นเทา “ใบหน้านั้นใช่เยี่ยเสินหรือไม่”
“นั่น “ ลู่หยุนตกตะลึง นัยน์ตาเบิกกว้าง ปากอ้าค้าง “ถ้าเช่นนั้น ศาสตร์การเพาะเลี้ยงเก้าภูตผีกําหนดขึ้นเพื่อปกป้องและหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณแห่งนาง!”
ดวงชะตาของนางถูกกําหนดให้ต้องพลีร่างเพื่อเป็นโลงศพ แล้วยังถูกคนผู้หนึ่งลดความสําคัญจากสุสานใหญ่โตสง่างามลงเหลือเพียงกองดินสกปรก ทั้งยังปิดผนึกด้วยภาพการต่อสู้ระหว่างมังกรกับเสือ ยิ่งเป็นการยั่วยุอารมณ์โกรธเกรี้ยวให้กับคนที่ตายอ ย่างทุกข์ระทม ต่อมาก็ฝังทั้งร่างเยี่ยเสินและหลุมฝังศพไว้ใต้ธรณี โดยทลายขุนเขาทั้งลูกอย่างที่ทุกคนต่างก็รู้ดี
คนที่บุกเข้าไปในหลุมฝังศพเก็บเอาดวงวิญญาณที่แตกสลาย และด้วยศาสตร์การเพาะเลี้ยงเก้าภูตผีเขาจึงปลุกดวงวิญญาณของนางให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
นางฟื้นคืนชีพจริง
พวกเขาตระหนักได้ทันที่ว่ากําลังอยู่ท่ามกลางพลังหยินที่รุนแรงขั้นสุดและความตาย ซึ่งความรุนแรงขั้นสุดที่จะเทียบเคียงได้ กรณีนี้หมายถึงชีวิตนั่นเอง
ศาสนานิกายตามความเชื่อของลู่หยุน บันทึกไว้ว่าการกําหนดตําแหน่งฮวงจุ้ยทําให้คนตายสามารถฟื้นคืน จึงพบลักษณะของฮวงจุ้ยภายในสุสานของจักรพรรดิจิ๋นซี อย่างไรก็ตามแม้ความเชื่อนี้จะถูกเผยแพร่ หากจักรพรรดิยังคงนอนสงบนิ่งภายใต้สุสาน
” คงจะมีคนเข้ามาและเปลี่ยนตําแหน่งของโครงร่างอีกครั้ง คนผู้นั้นทําการย้ายเสาแห่งชีวิตและความตายออกไปจากค่ายกลที่ปกปักรักษานางเอาไว้ นางจึงกลายเป็นวิญญาณที่ยังวนเวียนหา ได้กลับมามีชีวิตไม่ ทั้งยันต์แปดทิศและดวงดาวเก้าทิศทางล้วนส่งเสริมให้ร่างเซียนของเยี่ยเสินฟื้นคืนชีพ อย่างไรก็ตาม คนมาใหม่ผู้นั้นกลายเป็นซากศพชโลมโลหิตเสียเอง” ลู่หยุนแหงนหน้ามอง
ยอดเขาที่ลอยอยู่เหนือศรีษะเป็นจุดที่สูงที่สุดซึ่งเป็นจุดพลังแห่งมรณะของหลุมฝังศพแห่งนี้ หมายความว่าภูเขานี้จะต้องมีจุดพลังแห่งชีวิต ตรงที่เป็นร่างของเมียวนั่นเอง