เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 39 หญิงงามบนบ่า
GS บทที่ 39 หญิงงามบนบ่า
“หุบปาก หยุดพูดเสียที!” ประสาทสัมผัสส่งให้ฉิงฮั่นพูดขึ้น นั่นเองจึงทำให้ลู่หยุนสัมผัสได้ถึงแรงกดของนิ้วที่สะโพกหนุ่มน้อย ทำให้เขาเกือบร้องประท้วงออกไป
นางแม่มดผีดิบเคลื่อนเข้ามา…ทว่ามันเดินผ่านทะลุคนทั้งคู่และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“พวกเรากำลังเข้าสู่ศูนย์กลางของค่ายกลแห่งนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตาเห็นล้วนเป็นภาพหลอน โครงร่างสร้างภาพหลอนขึ้นจากจิตใต้สำนึกเมื่อใดที่เราตอบสนองมัน ดังนั้นจงอย่าไปสนใจ ถ้าเจ้ายังอยากมีชีวิตอยู่!”
“ฟังนะ ปิดตาให้สนิทและสงบปากสงบคำ ข้าไม่อยากได้ยินได้ฟังอะไรทั้งสิ้น แม้บรรพบุรุษจะเรียกหาเจ้าก็ตาม! รวมทั้งข้าที่พูดกับเจ้าตอนนี้ แค่ฟังเพียงอย่างเดียว ห้ามโต้ตอบกับมัน!” ลู่หยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงแกมบังคับชนิดที่คนได้รับคำสั่งไม่กล้าขัด
ฉิงฮั่นเงียบสงบอยู่ข้างหลัง พยักหน้าพร้อมหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง ด้วยประสบการณ์ที่พบจากสุสาน เวลานี้จึงไม่เกินกว่าหนุ่มน้อยจะทำความเข้าใจ
“บัดซบ ทำไมเจ้าเด็กนี่ สะโพกมันอย่างกับอิสตรี” วาจากร้าวหลุดจากปากลู่หยุน แม้ว่าจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ฉิ่งฮั่นก็ทำได้เพียงเฉยเสีย
หนุ่มเจ้าเมืองสูดหายใจลึกระบายความอัดอั้น นิ้วมือจิกอย่างแรงกดบั้นท้ายของมันเช่นนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับสัญชาตญาณของข้าสักหน่อย…เวรกรรม! นี่ข้าจะกลายเป็นบุรุษที่ชื่นชอบบุรุษด้วยกันเองเสียแล้วหรือนี่ ความรู้สึกหดหู่กับตนเองภายในใจ ไม่สิ ช้าก่อน…สิ่งที่ข้าทำลงไปไม่ใช่เพราะข้าติดใจรสสัมผัสนั้นดอก หากแต่เป็นเพราะข้าไม่มีทางเลือกตังหาก สถานการณ์มันบีบบังคับ ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าหนุ่มน้อยหุบปากของมันได้
แค่ภาพหลอนนิดเดียว เขาย้ำกับตนเอง ทันใดนั้นเริ่มรู้สึกถึงน้ำหนักตัวของฉิงฮั่นที่แบกอยู่บนหลัง ช่างเป็นภาระหนักอึ้งเสียเหลือเกิน แต่ชายหนุ่มไม่อาจตัดใจโยนทิ้ง ไม่มีทาง ต้องไม่คิด ฉิงฮั่นไม่ใช่บุรุษที่จัดว่ามีใบหล่อเหลา แต่ว่าไม่เคยมีใครบอกมันหรือว่า ใบหน้านั้นช่าง…
บัดซบ ช่างปะไร ใบหน้าของมันมาเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่เอนเอียงไปทางนั้นแน่!
เจ้าเมืองหนุ่มพยายามต้านทานต่อแรงกระตุ้น สลัดความคิดเกี่ยวกับฉิงฮั่นออกไป ลู่หยุนมุ่งหน้าเดินเหยียบย่างลงไปในแอ่งน้ำลึกทีละก้าว ๆ ภายในค่ายกลแห่งนี้ น้ำเป็นสิ่งเดียวที่ไม่ใช่ภาพลวงตา
ขออย่างเดียว ขออย่าให้เป็นสายน้ำปีศาจในร่างผีดิบอสูรยักษ์ตนนั้นเลยเถิด หัวใจของเขาเต้นแรง เพราะสายน้ำปีศาจอาจเป็นเชื้อโรคร้ายที่สามารถแปรสภาพของชายหนุ่มให้กลายเป็นผีดิบอย่างพวกมันได้ทันทีที่สัมผัสโดน
เสียงพูดพึมพำของยู่เฉิงและเมียวดังแว่วมาในโสตประสาท พวกมันกำลังสนทนากันเบาอย่างรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงของสตรีซึ่งไม่คุ้นเคยดังแว่วมา
“เดี๋ยวก่อน ไฉนเลยจึงไร้ภาพสะท้อนแห่งอัญมณีดารา” เสียงเบานุ่มนวลกังวานในอากาศ
ลู่หยุนรู้สึกความผิดปกติของร่างกายที่แบกไว้บนหลัง ร่างผอมบางเย็นชื้น กลายเป็นร่างอุ่น ผิวกายนุ่มนวล ร่างบอบบาง กลับยิ่งเพิ่มความรู้สึกพึงใจยามได้สัมผัส ก่อนที่จะปรากฏเนินเนื้อสองก้อนกดบริเวณส่วนหลัง สัมผัสนั่นมันทำให้ชายหนุ่มใจเต้นระรัว
ปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไวทำให้เขาเบนหน้าหันไปมองหลัง แทนที่จะได้เห็นหน้าหนุ่มน้อยฉิงฮั่น มันกลับกลายเป็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาที่กำลังเอนพิงซบอยู่กับหัวไหล่ของตนเอง
สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อสายตา
ยั่วยวนเข้าไป ลู่หยุนคิดอย่างเย้ยหยัน อย่างกับข้าจะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงไอ้ที่กำลังแบกไว้น่ะเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาน่าเกลียดคนหนึ่งเท่านั้น ค่ายกลเจ้าเล่ห์มันแค่สร้างภาพมายา เพียงเท่านี้เองจะทำให้ถึงตายได้เทียวหรือ
เขาพยายามเพ่งมองไปยังฝีเท้าที่ย่างก้าว ไม่สนใจหญิงงามที่กำลังนอนซบหลัง ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างช้า ๆ
ในที่สุดเทพธิดาก็กลายร่างกลับเป็นหนุ่มน้อยผอมบาง กลับมาเป็นบุรุษคนเดิมอย่างที่เป็นมาแต่ไหนแต่ไร กระนั้นก็ยังมีความนุ่มนวล แม้จะไม่สะโอดสะองเหมือนร่างลวงก่อนหน้า ทว่ายังพอมีส่วนโค้งส่วนเว้าคล้ายคลึง
ลู่หยุนขบริมฝีปาก ยอมรับกับตัวเองว่านี่นับเป็นภาพหลอนที่สวยงามจับใจยิ่ง ฉับพลันความคิดสะดุดลง มือขวาที่กำดาบพิฆาตโลกันต์ฟาดลงไปที่ลำตัวของปลาซากศพ ในที่สุดชายหนุ่มก็ตื่นจากภวังค์เสียที
คว่ากกก!
ไอ้ปลาปีศาจพลิกหงายท้อง ร่างของมันขาดเป็นสองท่อน โลหิตกระจายเต็มน้ำจนเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
หลังจากเก็บดาบเข้าฝักเรียบร้อยแล้ว ลู่หยุนออกเดินหน้าต่อไป ก่อนจะเรียกสติของตัวเองเพื่อเตรียมใจให้พร้อมกับการเผชิญหน้าเข้ากับความจริงเท็จที่กำลังรออยู่เบื้องหน้า…
แท้ที่จริงภายในค่ายกลแห่งนี้มีอันตรายซุกซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง เขาอาจต้องเสียสติไปเสียก่อน ถ้ายังขืนปล่อยให้โครงร่างกัดกร่อนจิตใต้สำนึกต่อไปอีก
เมื่อจัดการกับปลาปีศาจแล้ว ลู่หยุนก็เงยหน้าพิจารณาบริเวณโดยรอบ รวมทั้งเส้นทางเดิมที่เพิ่งผ่านมา จนมีหลายครั้งที่ต้องเดินลุยน้ำวกไปวนมา
ข้าไม่คิดว่าตนเองจะมองไม่เห็นยู่เฉิง นัยน์ตาอาจจะถูกบดบังด้วยภาพลวงตาทำให้ข้าจึงไม่เห็นร่างของ นาง หรือว่านางจะไปตายที่ไหนแล้วกันแน่นะ ไม่จริง นางเป็นผีเซียน ผีเซียนจะไม่ตายง่ายดายเช่นนี้…ถ้าเจ้าอ้วนหลี่ยูวไฉละก็ไม่แน่ แต่ถ้าหากมันตาย เหตุใดยู่เฉิงจึงหายไปด้วยเล่า หัวคิ้วขมวดมุ่น บัดนี้เขาไม่เห็นร่องรอยของทั้งยู่เฉิงและเมียว มีเพียงตัวเขาและฉิงฮั่น ถูกทิ้งไว้ด้านในโดยลำพังเพียงสองคน
“เกิดอะไรขึ้น” ฉิงฮั่นเสมือนพึมพำพูดกับตัวเอง “ทำไม—“ พลันเงียบเสียงลง ราวถูกเข็มเย็บปากกะทันหัน
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเมื่อครู่ร่างกลับแปรเปลี่ยนเป็นอิสตรี” ลู่หยุนอดไม่ได้ที่จะถาม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้ายังชัดเจนในความทรงจำของฉิงฮั่น ครั้นพอได้ยินลู่หยุนถามจึงมองจากด้านหลังสายตากร้าว แต่ยังไม่ปริปากพูด มีเพียงสีหน้าแดงก่ำ
“ช่างเหอะ อย่างไรเสียพวกเราใกล้จะออกจากค่ายกลได้สำเร็จ” มือข้างหนึ่งประคองฉิงฮั่นให้อยู่บนหลัง อีกข้างกระชับดาบในมือ หยาดโลหิตซึ่งกระจายติดคมดาบไหลหยดลงบนพื้น เขาได้สังหารเหล่าอสูรกายไปไม่น้อยทีเดียว
ทั้งจริงและเท็จต่างผสมผสานปนเปอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทว่ามันก็ยังไม่อาจคร่าชีวิตเขาได้ หากมิใช่เพราะอารมณ์โทสะจากเหตุการณ์ซึ่งเป็นเหตุทำให้เขาได้ลิ้มรสความตาย หรือถ้าไม่เคยฝึกฝนตน เขาคงจะสิ้นชีพเสียในค่ายกลแห่งนี้ไปแล้ว
เสียงฉิงฮั่นทอดถอนใจ การสนทนาเมื่อครู่ทำให้เขาอึดอัดไม่น้อย
“ข้าโกหกเจ้า! นั่นน่ะเป็นปีศาจจากภาพหลอนที่หมายจะเอาชีวิตเจ้าไงเล่า” ลู่หยุนพูดห้วน เสียงเข้มเจือบังคับ น้ำเสียงชวนขนหัวลุกเหมือนเป็นลาง ฉิงฮั่นผงะหงายจนน้ำตาเกือบร่วง ตัวสั่นน้อย ๆ
“เอาละ เอาละ ยอมรับว่าข้าอารมณ์เสียกับเจ้า บุรุษเขาไม่ขี้แยกันแบบนี้นะ” ลู่หยุนตบหัวแล้วลูบหลัง สุ้มเสียงของเขาอ่อนโยนลง “เออว่าแต่ นี่ข้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะร้องไห้” เขากะพริบตา “อ้อจริงสิ คงเพราะข้าเคยฝึกสัมผัสสินะ”
ในการฝึกตนต้องหมั่นฝึกการควบคุมสติให้ตั้งอยู่ในความพอดี เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ใช้มัน จนกระทั่งครั้งนี้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาในหลุมฝังศพทำให้เขาปรับตัวต่อกลวิธีของผู้ฝึกตนทีละน้อยโดยตัวเองไม่ทันสังเกต ทั้งในด้านความรู้สึกนึกคิดได้เปลี่ยนจากโจรปล้นสุสานมาเป็นผู้ฝึกตนตะลุยสุสานไปเสียแล้ว
“ข้ายังข้องใจว่าตอนที่เหลือบตามองเจ้า ทำไมจึงเห็นเป็นแม่หญิงโฉมงามขี่อยู่บนหลังเสียได้ ตอนนั้นสัมผัสคงสั่งความคิดให้ข้าหยุดรับรู้ภาพนั้นเสียละมั้ง” เมื่อนึกถึงใบหน้างดงามที่ไม่อาจหาผู้ใดเทียบเท่า จึงจำต้องข่มความรู้สึกด้วยการขบริมฝีปากของตนเองอีกหน น่าเศร้ายิ่งนัก
ฉิงฮั่นเอาแต่เม้มปากนิ่งเฉย สีหน้าสีตาบูดบึ้ง กดอารมณ์โกรธเกรี้ยวไว้ภายใน
สักพักใหญ่ทั้งคู่จึงมองเห็นช่องทางเดินกว้างขวาง ความสูงของน้ำเวลานี้ตื้นเขินระดับมิดหลังเท้าของลู่หยุนเท่านั้น ที่นั่นเองเขาจึงพบเมียวและยู่เฉิงสิงในร่างเจ้าหลี่ยูวไฉก็อยู่ที่นั่นด้วย
“นายท่าน!” หลี่ยูวไฉภายใต้อำนาจวิญญาณของยู่เฉิงพุ่งเข้ามาหาทันทีที่เห็นเขาโผล่ออกมาปากทาง ก่อนจะสำรวจรอบกายอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าเขายังปลอดภัย ไม่ได้รับอันตราย
“เจ้ามาอยู่กันที่นี่ได้อย่างไร” ลู่หยุนถาม ออกจะแปลกใจเมื่อเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน แท้จริงแล้วแม้ว่าจะมองให้เห็นเมียว แต่ยู่เฉิงรับรู้ได้ว่าเขาอยู่ไม่ไกล
“ค่ายกลแห่งนี้มีอันตรายถึงชีวิต ข้า…ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ข้าเป็นอะไรกันแน่ แต่ที่รู้ข้าไม่ใช่มนุษย์ สาวน้อยยู่เฉิงนางเป็นผีเซียน แต่นางไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าก็เลยออกมารอเจ้าอยู่ที่นี่” เมียวพูดยืดยาว
ลู่หยุนฟังแล้วให้ชักปวดหนึบที่ศีรษะ เขาเห็นกับตาว่ายู่เฉิงเดินตามหลังมาตอนเข้าสู่ค่ายกล และนางตายแล้วแน่ๆ! ไม่อย่างนั้น หรือว่านี่เป็นกับดักอีกครั้ง
“นายท่าน ก่อนที่พวกเราจะเข้าสู่ค่ายกล ข้าบอกท่านว่าข้าจะล่วงหน้าไปคอยท่านอยู่อีกด้านหนึ่ง…” คำพูดของยู่ฉิงทิ่มแทงใจลู่หยุนจนทำให้เขาหูอื้อไม่ได้ยินเสียงสรรพสิ่งรอบกาย
บางอย่างสร้างภาพลวงก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าสู่ค่ายกล! เขาขับไล่ไปเสียเองและยังยืนกรานที่จะไม่เชื่อถือวาจาของภาพลวงเมียว เช่นเดียวกับตอนที่ยู่เฉิงซึ่งเดินตามติดมา หากจู่ ๆ นางได้หายตัวไป
“ในตอนนั้น ข้าตอบเจ้าไปว่าอย่างไร” เขาถามช้า ๆ
“นายท่านพยักหน้า” ยู่เฉิงเอง คงจะเริ่มสังเกตเห็นบางอย่างแล้วเช่นกัน
“หากมิใช่ผีเซียนมันโง่ แล้วจะให้ข้าคิดอย่างไร” ลู่หยุนพูดเสียงซิบ
“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าที่นี่อันตราย เจ้าควรจะเชื่อข้า” เมียวบ่น
“ไม่เป็นไรหรอก นางตามมาข้างหลัง เดี๋ยวก็คงจะมาถึง” ลู่หยุนพูดเฉย
ยู่อิงที่เดินตามเขานั้น นางคงโดนสะกดด้วยอำนาจบางอย่าง จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดเตือน ดังนั้นนางจึงต้องปะทะกับแม่มดปีศาจและต้องตายอยู่ในโครงร่างค่ายกลแห่งนั้น
น่าขอบใจ โชคดีที่นางเป็นภูตผีที่ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏ ดังนั้นหญิงสาวจึงกลับมาเกิดใหม่ในคัมภีร์เป็นตายได้ อีกไม่ช้านางต้องกลับมาปรากฏตัวอีกแน่
“ดีจริง ดีจริง ที่นางไม่ตาย…” เมียวย้ำ
“ท่าทางเจ้าไม่อยากให้พวกเรามาตายในที่นี้ เพราะอะไร?” ลู่หยุนสงสัย
“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก” เมียวถลึงตาใส่
ฉิงฮั่นทำหน้าเลิ่กลั่ก มองไปทางโน้นทีทางนี้ที “เจ้าพูดกับสิ่งนั้นอีกแล้วหรือ”
เขาเคยได้ยินชื่อยู่เฉิง ภูตผีตนนั้นมันต้องสิงร่างหลี่ยูวไฉหาไม่เขาก็จะมองไม่เห็น แต่รู้ว่านางวนเวียนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ส่วนผีที่ชื่อเมียว อย่างไรก็ตาม… ถึงแม้ไม่ได้รู้สึกว่ามันมาอยู่ใกล้ แต่พอเห็นลู่หยุนพูดคุยกับความว่างเปล่า เขาก็อดรู้สึกขนลุกซู่ไม่ได้
“เรียกข้าว่าสิ่งนั้นหรือ ข้าไม่ใช่สิ่งของ! ไอ้เจ้าคนน่าสะอิดสะเอียน ข้าชื่อเมียว” เมียวพูดอย่างโกรธจัด
“ผีมันบอกว่า ‘ข้าไม่ใช่สิ่งของ ไอ้คนน่าสะอิดสะเอียน ข้าชื่อเมียว’” ลู่หยุนบอกต่อให้
“โอ้ ก็ดี” ฉิงฮั่นตอบรับมาจากด้านหลัง
“ไม่โกรธหรอกหรือ ที่เขาว่าเจ้าน่าสะอิดสะเอียน” ลู่หยุนตากะพริบ
“โกรธทำไม ข้ามองไม่เห็นมัน แล้วมันละเรียกตัวมันเองว่าอย่างไรก็เรื่องของมัน” ฉิงฮั่นรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย เขาจึงหลับตาลง ใบหน้าเอนซบลงบนบ่าของลู่หยุน ลืมความรังเกียจก่อนหน้าไปเสียสิ้น
“…” เมียวได้แต่เบ้ปาก “เอาละ ถึงแล้ว ตรงนี้แหละ เจ้าลงมือขุดเลย เชื่อเถอะว่าตำราค่ายกลโลกานิมิตฝังอยู่ข้างใต้นี่เอง” พูดพลางชี้นิ้วไปยังพื้นเปียกแฉะ “ว่าแต่ เจ้าแน่ใจนะ”
ลู่หยุนพยักหน้าหงึก ท่าทางมุ่งมั่น “ฉิงฮั่น เจ้ามีดาบเซียนอีกเล่มไหม ดาบที่บินได้หรืออะไรแบบนั้นในห่วงสัมภาระของเจ้า มีอีกหรือไม่ เขาถาม สายตาจับจ้องดาบประกายสีม่วงในมือ
“ห่วงสัมภาระหรือไง” ฉิงฮั่นพยายามยกแขน หากแทบจะยกไม่ขึ้น “ถ้าข้าหยิบมันออกมาให้ เจ้าจะยังให้ข้าขี่อยู่บนหลังเจ้าใช่หรือไม่”
สายตาลู่หยุนหันไปทางหลี่ยูวไฉ ยู่เฉิงปลดห่วงสัมภาระขนาดใหญ่ออก เทสิ่งของที่บรรจุภายใน ทั้งของมีค่า เศษกระดูกและก้อนหิน มีสิ่งที่มีค่าและมีประโยชน์เหมือนกัน
“ดูสิ” เขาหยุดพูด ลู่หยุนหยิบเมล็ดถั่วสองเมล็ด โยนขึ้นไปในอากาศ
ฮึ่ม–
ฮึ่ม–
แสงสีทองเป็นประกายสุกสว่างออกมาจากเมล็ดถั่วทั้งสองเมล็ด ตามด้วยร่างสูงสักยี่สิบสองเมตรในชุดเกราะลอยลงมา
“เรียกข้ามา ด้วยเหตุอันใด” หนึ่งในสอง พูดเสียงดังก้องกังวาน
“พวกเจ้าจงขุดลงไปใต้พื้นนี่” ลู่หยุนชี้
“ว่าไงนะ จะให้พวกข้าขุดงั้นหรือ หาได้มีความเคารพยำเกรง ท่านยังจะใช้พวกข้าให้มาขุดหลุมนี่อีก”
“แล้วพวกเจ้าทำได้หรือไม่” สีหน้าจริงจัง
“ก็ได้ พวกเราจะทำ!” ทั้งสองตนเปลี่ยนท่าทีประจบประแจงทันที เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มหน้าง้ำบูดบึ้ง ไม่มีการโอดครวญอีกต่อไป พวกมันจัดการม้วนแขนเสื้อ เสียงสูดลมหายใจฟืดฟาด ลงมือขุดดินโดยไม่รีรอ
“ท-ทหารพวกนี้ เป็นตัวอะไร” ฉิงฮั่นจับตามองอย่างไม่เชื่อสายตาไปที่ทหารร่างใหญ่ยักษ์ เคราะห์ดีที่อาณาบริเวณโดยรอบอุโมงค์ทั้งกว้างและใหญ่ หรือไม่ไอ้ยักษ์สองตนคงจะสร้างมาให้มีขนาดใหญ่โตทัดเทียมขนาดของพื้นที่
“มันเป็น…อือม ศาสตร์การปลุกเสก มันเป็นของเล่น เจ้าไม่เห็นหรือ” มันสองตนมีร่างกายใหญ่โต แต่มีสมองนิดเดียว” ลู่หยุนบอก
“อย่างนี้เอง” ฉิงฮั่นพยักพเยิด แต่ยังสงสัย
“สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว!” ทหารเสกร่างยักษ์ตนหนึ่ง ร้องตะโกนอย่างดีใจก่อนที่จะ…พลาดหล่นลงไปในหลุมที่พวกมันเพิ่งขุดเสร็จ ลู่หยุนขยี้ตาอย่างเหนื่อยล้า ไม่ได้แสดงความสนใจกับมันทั้งสองอีก
“เจ้าบอกว่าตำราค่ายกลโลกานิมิตอยู่ตรงนี้ใช่ไหม” หัวใจเต้นแรง
“ก็…เออ แต่เจ้าต้องลงไปหาเอา หากไม่อยากไปต่อก็แล้วแต่เจ้าก็แล้วกันนะ” เมียวตอบ หลังจากเมียงมองหลุมชั่วครู่
“ได้ ลงไปกัน!” ลู่หยุนกัดฟันกรอด หันไปพยุงฉิงฮั่นขึ้นบนหลัง ก่อนจะกระโดดหายลงไปในหลุมลึกโดยไม่ลังเล