เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 37 หนอนหน้าปีศาจ
บทที่ 37 หนอนหน้าปีศาจ
“ในที่สุดเจ้าก็เผยตัวตนของเจ้าออกมาจนได้” ลู่หยุนไม่แปลกใจเมื่อได้ยิน
ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่ทุกครั้งต่างหากที่ภาพหลอนมักนำพาให้พวกเขาต้องตกอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งเคราะห์ดีที่เขาสามารถรอดมาได้ทุกครั้ง
เมื่อใบหน้าของเจ้าของเสียงปรากฏกายขึ้น ภาพตรงหน้าเกือบทำให้เขากลั้นลมหายใจ หัวใจเต้นโครมครามต่อความงดงามที่เห็น
เส้นผมสีเงินยวง ยาวตรงพาดผ่านบ่าจวบจนสะโพก รูปกายงดงามแทบจะกระชากวิญญาณให้ออกจากร่างได้ทีเดียว ผ้าคลุมยาวปกปิดร่างสูงผอม ทว่ายืดหยุ่นนุ่มนวล นับว่าเป็นภาพงดงามไร้ที่ติมากที่สุดเท่ามีมีในโลก จนไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาบรรยาย ทั้งยู่อิง หรือโม่หยี่ ก็ไม่อาจเทียบ ผิวพรรณไร้ใฝฝ้า ไม่เป็นที่สอง ไม่มีเทียมทัน…
เป็นบ้าอะไร มันเป็นชายนะ ลู่หยุนสูดลมหายใจเข้าปอด
ที่แท้จริงแล้ว ภาพหลอนที่ปรากฏแสดงตนมีหน้าตาสะสวยชวนลุ่มหลง เป็นชายหนุ่มรูปงาม
“นายท่าน มันปรากฏตัวออกมาหรือไม่” ยู่อิงร้องถาม นางรู้แก่ใจว่าภายในสุสานร้างแห่งนี้ สามารถสร้างภาพหลอนได้ต่างนานา แต่ยังไม่แสดงออกมาให้ปรากฏเท่านั้น
“เจ้าไม่เห็นมันดอกหรือ” ลู่หยุนพยายามตั้งสติ
ยู่อิงส่ายหน้า ขมวดคิ้ว
“ไม่มีใครมองเห็นข้าดอก แม้แต่ผีเซียน แต่ทำไมเป็นเจ้าที่มองเห็นข้า” เสียงทุ้มนุ่มพูดดุจละเมอ
“เจ้าไม่ใช่ผี แล้วเจ้าเป็นอะไร” ลู่หยุนจนปัญญาจะนึกได้
“ข้านั่นหรือ” ชายหนุ่มชะงัก ได้แต่ส่ายหน้าอย่างสิ้นคำพูด “ข้าไม่รู้เหมือนกันว่า ข้าเป็นอะไร ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่” เขานิ่วหน้า ด้วยไม่อาจหาคำตอบ
“เจ้าชื่ออะไร” ถามพลางเอื้อมมือออก หากเขาคว้าได้แต่อากาศธาตุ บุรุษผู้นี้ไร้เนื้อหนัง ประดุจเงาเลือนรางของชีวิต
“ชื่อของข้า งั้นหรือ น่าจะชื่อว่า เมียว” ท่าทีไม่แน่ใจแม้แต่ชื่อของตนเอง “ข้ารู้แต่เพียงว่า นานมากแล้ว มีคนเคยเรียกชื่อของข้า แต่คิดว่าจะชื่อ เมียว”
“เจ้าสองคน มีใครเคยได้ยินชื่อ เมียว บ้าง” ลู่หยุนหันไปถามทั้งยู่อิงและเยี่ยเสิน แต่ทั้งสองสั่นหน้าปฏิเสธ
“กลับไปเสีย” คนชื่อเมียวร้องขัด “ในเมื่อเจ้าได้ในสิ่งที่ประสงค์ มาทางไหน จงกลับไปทางนั้น” ฉับพลันบรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยนดุจคลื่นลมโถมใส่ ภาพเลือนลางตรงหน้าลู่หยุน เหมือนหนทางนำไปสู่สรวงสวรรค์แท้เทียว
“หยุดสร้างภาพลวงตาหลอกข้าเสียที!” ลู่หยุนคำรามก้อง
เมียวหวาดกลัวจนตัวสั่น พลันภาพหลอนอันตรธานไป
ท่าทีของลู่หยุนอ่อนลง “เจ้าทำได้แค่นี้สินะ ใช่หรือไม่”
เมียวยิ้มออกบ้าง ภาพลวงตาของเขาเกือบจะไร้ที่ติ เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในสุสานเมื่อเวลาผ่านจึงกลายเป็นประวัติศาสตร์ ทุกคนต่างมีจุดจบคือความสัยสนเพราะกลลวงของเขา เมื่อมีผู้มาเยือนและจากไป คงเหลือไว้เพียงร่องรอยให้พานพบ
เสียงประหลาดที่เพรียกหาเขา แต่มันไม่อาจทำอะไรเขาได้เลย
“เจ้าจงกลับออกไป” เมียวยังคงบอกเสียงเข้มเครียด ขณะที่ยังจับตาดูลู่หยุน “ถ้าเจ้ายังจะฝีนเดินต่อ เจ้าจะต้องพบจุดจบ ข้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ข้าต้องค้นหาตำราค่ายกลให้เจอ” ลู่หยุนตอบ “ถ้าเจอแล้ว ข้าจะไป”
เขาชะงักเมื่อได้ฟังคำตอบ พลันริมฝีปากแย้มออก “อย่างนั้นก็ดี อะไรที่เจ้าเรียกว่าตำราค่ายกล ไม่ได้เก็บไว้ในที่เต็มไปด้วยอัตรายเช่นนี้ดอก แต่ข้ารู้ว่าอยู่ที่ใด”
ลู่หยุนเพ่งมอง สายตาคลางแคลงสงสัย
ทั้งรู้แก่ใจของเมียว ว่าชายหนุ่มช่างกล้าหาญชาญชัย เขายังไม่วายอธิบายให้ฟังด้วยความกังวลใจ “เจ้ากำลังเดินลึกเข้าสู่ใจกลางของสุสาน มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่ หากข้ายอมให้เจ้าทำเช่นนั้น คงไม่ดีแน่ รวมทั้งตัวข้าเองด้วย”
ลู่หยุนคล้อยตาม “ได้สิ ถ้าเช่นนั้นเจ้านำทางข้าไป แต่อย่ามาลูกไม้กับข้า มิฉะนั้นข้าจะทำทุกวิถีทางจัดการเจ้าให้จงได้”
เครื่องรางกระดาษปรากฏบนฝ่ามือ วัตถุชนิดนี้หาใช่วัตถุที่มีในโลกแห่งเซียนไม่ หากเป็นเครื่องรางป้องกันภูตผีที่ติดตัวเขามาจากโลกมนุษย์นั่นเอง เขาวาดขึ้นด้วยเปลวเพลิงดำที่จุดตันเถียน ใช้ปราบภูตผีปีศาจได้ทุกชนิด และเป็นพลังหยินด้วย
เพียงแค่เห็น เมียวให้รู้สึกหวาดกลัวเครื่องรางเสียแล้ว เขาบอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาจึงกลัว แต่เขาก็กลัว
อุโมงค์มากมายวกวนตามแนวหน้าผาสูงชัน ทำให้ระลึกไปถึงรังมดใต้ชั้นดินแต่มีรูเหนือผิวดิน เมียวเลือกเดินเข้าไปในอุโมงค์ช่องหนึ่ง
“เจ้ารู้หรือไม่ ร่างของผู้ใดถูกฝัง ณ ที่แห่งนี้” ลู่หยุนถาม เขาเดินตามชายหนุ่มโดยมียู่อิงตามมาติดๆ เยี่ยเสินในคราบหลี่ยูวไฉ รั้งท้ายเป็นกองระวังหลัง
เมียวส่ายหัวปฏิเสธ “สถานที่แห่งนี้ฝังร่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดหรือแม้แต่ปีศาจ พวกมันต่อสู้กันไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อใดที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกสังหาร จะมีฝ่ายอื่นเข้ามาแทนที่ ไม่มีใครรู้ว่าฝ่ายไหน หรือใครที่ถูกฝังเป็นรายแรก”
“ตัวของเจ้าเองเล่า มาที่นี่ได้อย่างไร” ลู่หยุนให้แปลกใจครามครัน หากการประลองกำลังกัน จะเหมือนการต่อสู้ของมังกรกับเสือหรือไม่
สูญเสีย เมียวสั่นหัว “ข้าไม่รู้ เจ้านี่ช่างน่าแปลก” ขณะยกมือลูบบนใบหน้า ด้วยความลุ่มหลงในรูปกายตนเอง “เจ้าไม่หลงไหลในรูปลักษณ์ของข้าแม้แต่น้อย”
“ไม่ว่าจะรูปกายเจ้างดงามสักเพียงใด สำหรับข้า เจ้าคงเป็นเพียงชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเท่านั้น” ลู่หยุนชักฉุน
“เจ้า…เอ่อ เจ้าพูดกับใคร” เสียงอ่อนละโหยดังมาจากหลังของชายหนุ่ม ฉิงฮั่นเพิ่งได้สติคืนมา
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ” ลู่หยุนหันไปยิ้มให้
หน้าแดงก่ำ ฉิงฮั่นเริ่มหวาดระแวงจึงร้องสั่ง “วางข้าลงเดี๋ยวนี้!”
“อ๋อ จริงสิ เจ้าเดินไหวหรือ” ลู่หยุนหยุดเดิน เขาค่อยวางหนุ่มน้อยสูงศักดิ์ลง
ทันทีที่เหยียบพื้น เข่าทรุดฮวบ ลู่หยุนมีปฏิกิริยาตอบสนองไว เขาคว้าตัวฉิงฮั่นไว้ทันก่อนหน้าคว่ำลงกับพื้นอุโมงค์
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า” ฉิงฮั่นร้องเสียงหลง
ความโกรธเคืองเริ่มก่อตัว ลู่หยุนจึงล่าถอย พลางเอ่ยเรียกยู๋เฉิง “เจ้าอ้วน มาช่วยประคองเขาด้วย”
เยี่ยเสินที่ภายใน หากภายนอกคือหลี่ยูวไฉ เดินซวนเซตรงไปที่ฉิงฮั่น
“เจ้าก็ด้วย ไปให้พ้นข้า!!” ฉิงฮั่นสติแตกแล้ว เขาหันไปทางยู่อิงพลางเอ่ย “มาช่วยพยุงข้าที”
“เจ้าคิดอะไรกับสาวใช้ของข้าหรือ!” ไม่พอใจ กระชากดึงฉิงฮั่นยกขึ้นใส่หลังของตนเองเช่นเดิม “จะให้ข้าแบกเจ้า หรือจะให้เจ้าอ้วนนั้น เลือกเอา”
คิดทำรุ่มร่ามกับยู่อิงหรือไง ฝันไปเถอะ!
ฉิงฮั่นไร้เรี่ยวแรงจะดิ้นรน จำต้องนิ่งบนหลังของลู่หยุน พร้อมกับพยายามหักห้ามความรู้สึกอย่ากร้องไห้ออกมาอย่างเต็มที่ แน่ล่ะ อย่างไรเสีย เขาต้องเลือกลู่หยุน เป็นคนเสนอทางเลือกให้นี่นา
ลู่หยุนเคยคิดว่าจะสลัดเจ้าหนุ่มน้อยสูงศักดิ์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหลี่ยูวไฉเสียที แต่ภาระกิจนี้ยังกลับมาตกเป็นของเขาเช่นเคย ทั้งยังต้องต่อสู้กัลความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาอีก ซึ่งมีเพียงเขาที่รู้ดี เขาไม่อยากทอดทิ้งฉิงฮั่น คนที่ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
พลั่ก!
ภาพวาดแห่งความว่างเปล่าหลุดจากอ้อมแขนฉิงฮั่นหล่นลงพื้น ยิ่งสะท้อนภาพเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวนที่เกิดขึ้น ลู่หยุนก้มลงเก็บโดยไม่ลังเล
“นี่เจ้า—เจ้าจะให้ อย่างนั้นหรือ” เด็กหนุ่มจ้องลู่หยุนจากด้านหลังอย่างไม่เชื่อถือ
“เจ้าตามหามันมิใช่หรือ” ความจริงเป็นเช่นนั้น “เจ้าเอาไปซี”
“ภาพวาดนี้เป็นสมบัติของเซียนชั้นเก้า ต่างหาก!” ฉิงฮั่นคิดว่าตนเองหูฝาดไปแน่ แม้จะมีสิ่งเร้นลับและเซียนผู้เยี่ยมยุทธ ต่างต่อสู้กันเพื่อช่วงชิงสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้
“หุบปาก เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว และเก็บมันเอาไว้” ลู่หยุนคำราม
ฉิงฮั่นจึงสงบปากลง และพยามเก็บภาพวาด หากแต่เขาอ่อนกำลังจนแม้แต่จะยกแขนเสื้อเพื่อซุกภาพวาด ยังทำไม่ได้
“ข้าว่าตอนนี้เจ้ายังไร้เรี่ยวแรงจะยกดาบนี่ ข้าขอยืมใช้ก่อนก็แล้วกัน”ลู่หยุนดึงดาบพิฆาตโลกันต์หมับจากเอวของหนุ่มน้อย นำมาเก็บไว้เอง แล้วพยักหน้าหงึกหงึก
“เจ้าอมอะไรไว้ จึงมีกลิ่นหอมเช่นนี้” ลู่หยุนถามไม่มีปี่มีขลุ่ย
เด็กหนุ่มสะดุ้ง “เจ้าว่าอะไรนะ”
“ดีที่ปากเจ้าไม่เหม็น” ลู่หยุนบ่น
ใบหน้าแดงก่ำของฉิงฮ่ำ อยู่แนบข้างใบหูของลู่หยุน ลมหายใจจึงปะทะเข้ากับแก้มและใบหูของชายหนุ่มตลอดเวลา ลมหายใจของเขาส่งกลิ่นหอมอ่อน ปนหวาน แม้ลู่หยุนไม่เคยนึกฝัน จะดมลมหายใจของผู้ชายหรือแม้ว่าจะไม่มีกลิ่นสกปรกเลยสักน้อย
“เฮ่อ” เมียวหันมามองชายหนุ่มทั้งสอง จึงได้แต่ยกมือขึ้นเกาหน้าผาก
“ถอนใจทำไม” ลู่หยุนถาม
หน้ายังแดงก่ำจากคำพูดของชายหนุ่มไม่หาย หนุ่มน้อยรู้สึกสับสน ถามสวนขึ้นทันควัน “ข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย”
“ไม่ได้ถามเจ้า” ลู่หยุนพูดหน้าตาเฉย “ข้าถามคนอีกคนที่อยู่นี่ต่างหาก เจ้ามองไม่เห็นเอง”
ฉิงฮั่นชักหวาดจนตัวสั่นน้อยๆ
“กลับไปเมื่อใด เจ้าต้องขยันฝีกฝนให้มากนะ คุณชายฉิงฮั่น” ลู่หยุนเอ่ย
“ฝีกฝน อะไรกัน” หนุ่มน้อยงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าเมืองหนุ่มพยายามจะบอกอะไร
“เกิดเป็นชาย ร่างกายต้องมีมัดกล้ามที่แข็งแรงดั่งเหล็กกล้า แต่ดูเจ้าซี เนื้อหนัง หยุ่นนิ่ม ออกอย่างนี้ ไหน มัดกล้าม แผงอกเล่า โดยเฉพาะตรง—โอ๊ะ! นี่ เจ้ากัดข้าทำไม!” ลู่หยุนหยุดสาธยายเพราะใบหูโดนฉิงฮั่นกัดหมับให้ “ปล่อย ปล่อยซี! พอที!” เขาโยกหัวหลบวุ่นวาย
ฉิงฮั่นไม่ยอมเลิกรา คงพยายามกัดต่อไป
“อย่างกับเจ้ามีมัดกล้ามเสียนักนี่!” หนุ่มน้อยคำราม
ลู่หยุนเลือดขึ้นหน้า แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่ค่อยได้ฝึกฝนร่างกาย ทว่ามัดกล้ามของเขาน่าจะมากกว่าเจ้าหน่มน้อยคนนี้ถ้าไม่ได้เพราะพลังชี่ เห็นที่เขาคงไม่ทนแบกหนุ่มน้อยได้นานเท่านี้ น้ำหนักคงจะไม่มากนัก หากเกินสี่สิบกิโลกรัมลู่หยุนคงยากจะแบกไว้ได้นาน
“ข้าพอจะรู้จักกรมกองที่มีการฝึกฝนอยู่บ้าง ไว้พวกเราออกไปจากที่นี่ได้เมื่อใด เจ้าจะไปฝึกด้วยกันกับข้า ก็ไม่ปฏิเสธ แล้วเรามาดูกันว่าใครจะมีมัดกล้ามแข็งแกร่งก่อน” ลู่หยุนเยาะเย้ย
ฉิงฮั่นเข่นเขี้ยวกัดฟันกรอด เย้ยกลับบ้าง “ฝีกฝนด้วยกันหรือ เจ้าจะไปเป็นข้ารับใช้ฉิงหงเชิง หรืออย่างไร หา เจ้ามันศัตรูตัวฉกาจ ไม่กลัวเขาจะจับเจ้าบั่นคอหรือไฉน”
“ฉิงหงเชิง หรือ” ลู่หยุนพ่นลมออกจมูกหยามหยัน “มันก็แค่หนูสกปรกตัวเดียว มีลิ้นเป็นตะขอเกี่ยวเงิน มันทำได้ทุกอย่างถ้ามีข้อเสนอที่พอใจ ทำไมคนอย่างเจ้าจึงไปอยู่กับมัน ข้าคิดว่ามันชอบสร้างภาพเท่านั้น”
หนุ่มน้อย นิ่งเงียบไป
“ทำไมต้องแบกไอ้คนน่าสะอิดสะเอียน นั่นด้วย” เมียวถามเสียงแผ่วเมื่อทั้งสองเว้นการทุ่มเถียง “ข้าว่ามันไร้ค่า มีแต่จะเป็นภาระเจ้า”
ต่างฝ่ายเงียบเสียงลง ลู่หยุนตอบว่า “ เขาช่วยชีวิตข้า ข้ามิอาจลืมบุญคุณครั้งนี้ จนไม่อาจละทิ้งให้เขาตายอยู่ที่นี่”
“ขังยังไม่เข้าใจอยู่ดี” เมียวท้วง ยังมิวายสับสน “เขาช่วยเจ้าเพียงหนึ่งครั้ง แต่เขาอาจทำให้เจ้าต้องมาตายไปเพราะเขาก็ได้”
“นี่ละมนุษย์” ลู่หยุนพูดเรื่อยๆ “แล้วทำไมเจ้าจึงบอกไม่ได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว เจ้าเป็นอะไร”
จู่ๆท่าทีของเมียวเปลี่ยนเป็นกังวลอย่างเห็นได้ขัด
อารมณ์สาระพัดแสดงออกในดวงตาฉิงฮั่น ขณะฟังลู่หยุนพูดยอบโต้ “เจ้าพูดกับใครที่ไม่มีตัวตนอีกแล้วหรือ”
“ข้าชื่อเมียว” ชายหนุ่มไร้เงาแก้ตัว
“เขาบอกว่าชื่อเมียว” ลู่หยุนบอกแทน “เขาว่าเจ้าเป็นตัวน่าสะอิดสะเอียน”
ยิ่งเดินลึกเข้าไปภายใน พื้นน้ำยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดหัวเข่าของลู่หยุนก็จมอยู่ในน้ำ
“เจ้าเตรียมรับมือได้เลย อย่างไรเสียต้องเผชิญกับบางสิ่งข้างหน้าแน่” เมียวเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง เขาหยุดเดิน หันมาย้ำ “เจ้าอาจจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ หรือไม่ก็โชคร้ายของข้าเอง”
“เจ้าหมายถึงแม่มดผีดิบ งั้นหรือ” ลู่หยุนหรี่ตาลง “เดี๋ยว พวกมันโดนกำจัดหมดแล้วนี่นา ข้างหน้าโน่น หนอนหน้าปีศาจ!!”
ความประหวั่นพรั่นพรึงฉายชัดบนใบหน้า สิ่งที่จะเผชิญต่อไป จะต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากพบเจอมากที่สุด