เทพเซียนเจ้านครวิญญาณ - ตอนที่ 22 สุสานขนาดมหึมา
บทที่ 22 สุสานขนาดมหึมา
สุดยอดค่ายกลอนันต์ไม่ได้อยู่ในเขตเมืองวารีทมิฬเมื่อ 5 พันปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เขาลูกนั้นตั้งอยู่ในเมืองที่ 8 ภายใต้เขตของเมืองวารีแท้จริง
วันหนึ่งเมื่อ 5 พันปีก่อน ภูเขาได้ร่วงหล่นจากท้องฟ้า ลงมายังแห่งเมืองนี้ จากนั้นมันก็ปล่อยค่ายกลประหลาดออกมาไม่มีที่สิ้นสุด จนทำให้ผู้คนมากมายต้องล้มตาย และตอนนี้มันก็ยังคงตั้งอยู่ ณ ที่ที่เมืองนั้นเคยรุ่งโรจน์
ก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้น เขตสนธยาเองก็ไม่ได้แตกต่างจากเขตอื่นในมณฑลหลางเซียเทียน พวกเซียนเต๋ามีมากมาย แต่ก็ไม่อาจเทียบได้เท่ากับเมืองวารีแท้จริงเคยมี แต่ก็ยังมีในจำนวนที่พอใช้ได้อยู่
เหตุการณ์ที่ทำลายเมืองในครั้งนั้น มันได้ทำให้เกิดยุคแห่งการปฏิเสธเขตสนธยา ปราณในธรรมชาติเริ่มสูญหายและผู้คนต่างก็ฝึกฝนวิชาได้ช้าลง หลังจากการตายของยู่อิง เจ้าเมืองคนที่ 8 แห่งเขตสนธยาเมื่อหนึ่งพันปีก่อน เพียงชั่วข้ามคืนที่นี่ก็กลายเป็นที่รกร้างและไร้ประโยชน์ที่สุดในมณฑลหลางเซียเทียน
เรื่องราวของโม่วยี่เกี่ยวกับภูเขาทำเอาหัวใจของลู่หยุนรู้สึกตื่นเต้น ที่ใต้สุสานมีเมืองโบราณอยู่! อะไรก็ตามที่ถูกเลือนหายไปตามกาลเวลาย่อมเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนักขุดสุสานอย่างลู่หยุนเป็นธรรมดา
“ท่านดูสนใจมันน่าดูเลยนะ” โม่วยี่สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของลู่หยุน
ลู่หยุนยิ้ม “เป็นเจ้าไม่ดีใจหรือไงที่จะได้ขุดคุ้ยเปิดเผยในสิ่งที่ถูกประวัติศาสตร์และกาลเวลากลืนกินหายไป?”
โม่วยี่พยักหน้าหลังจากหยุดชั่วคราว “ จริงอยู่ที่ว่าโลกแห่งเซียนนั้นสั่นคลอนจากสงครามครั้งใหญ่ และโลกแห่งนี้เองก็ต้องอาศัยการฟื้นตัวด้วยสิ่งประดิษฐ์และวัตถุบางอย่างจากสุสานโบราณ“ นางถอนหายใจเบาๆ “อย่างไรก็ตามสุสานเองก็มีอันตรายอยู่มากเช่นกัน ในนั้นมักจะนำมาซึ่งความสูญเสียให้กับผู้คนที่เข้าไป”
“ถูกต้อง” ลู่หยุนพยักหน้าเห็นด้วย “ยิ่งอันตรายยิ่งได้รับสมบัติมากขึ้นด้วย”
สุสานเซียนโบราณนั้นอันตรายจริง ๆ ยกตัวอย่างสุสานของยู่อิง มันเป็นเพียงสุสานเซียนธรรมดาทั่วไป หากแต่ในนั้นก็มีสิ่งที่น่ากลัวอยู่ภายใน เช่น ผีดิบอายุพันปี แมลงวันศพ และวิญญาณศิลา
“ระวังท่านทูตด้วย” โม่วยี่ก็ส่งเสียงพึมพำ “เขาล้มเหลวในการสังหารท่าน ครั้งนี้ เพราะงั้นเขาอาจจะลงมือในภูเขานี้ก็ได้”
ลู่หยุนหยุดชั่วคราว “เจ้าแน่ใจเหรอว่าเป็นเขา?”
โม่วยี่พยักหน้า “เมืองหลวงหลางเซียเทียนต้องการให้ท่านตาย รวมไปถึงคนในตระกูลท่านเองก็ต้องการให้เป็นแบบนั้นด้วย”
ลู่หยุนเงียบไป เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะมีอะไรมากกว่านี้ที่คิด มันอาจจะมีอะไรมากกว่าแค่การปลดเขาลงจากตำแหน่งเจ้าเมืองสนธยา
“ท่านชายต้องการจะไปยังค่ายกลนั่นหรือ? ให้ข้าคนนี้ไปด้วยเถิด!” เก้อหลงอาสาพร้อมด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ขะ ข้ารับใช้คนนี้ก็จะไปกับท่านด้วยได้ไหมเจ้าคะ” แม้ว่าว่านเฟิงจะกลัวแต่นางก็อาสาไปด้วยเช่นกัน
“เก้อหลงจะไปกับข้า ส่วนเจ้านะอยู่ที่นี่ไปนะ” ลู่หยุนลูบหัวสาวรับใช้ตัวน้อยของตนและหัวเราะเบา ๆ “ ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเก้อหลงตายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นเจ้า ข้าคงเจ็บปวดใจแย่เลย”
“ตามที่ท่านบัญชาเจ้าค่ะ” ใบหน้าของว่านเฟิงแดงไปจนถึงปลายหู เสียงของหยิงสาวเบาบางดั่งปีกยุง
“ปากหวานเสียจริง” โม่วยี่แสดงความไม่พอใจ “เช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่าท่านเจ้าผู้ครองแคว้นสนธยาเป็นพวกเสื้อผู้หญิงสินะ ระวังไว้ล่ะสาวน้อย อย่าให้เขาหลอกเจ้าได้เชียว”
สีหน้าของลู่หยุนเปลี่ยนไป
“นี่พี่สาว นายท่านน่ะไม่ใช่พวกเสื้อผู้หญิงอย่างที่เจ้าบอกหรอกนะ ขะ เขาน่ะ ยังบริสุทธิ์อยู่เลย!” หลังจากจัดการความวุ่นวายในหัวของตัวเองทิ้งไปหมดแล้ว ว่านเฟิงก็พูดขึ้นมา
ลู่หยุนได้แต่นิ่งเงียบ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และบังคับให้ตัวเองออกห่างจากโม่วยี่
“เจ้าสวยมากเลยนะ” ว่านเฟิงพูดอย่างอยากรู้อยากเห็น “ ทำไมเจ้าถึงแต่งตัวเป็นชายล่ะ?”
โม่วยี่สวมเสื้อผ้าผู้ชายโดยไม่ต้องแต่งหน้า แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะปกปิดภาพลักษณ์และความสง่างามของนางได้ หญิงสาวส่ายหัวโดยเลือกที่จะใช้ความเงียบเป็นการตอบคำถาม
เมื่อเตรียมพร้อมแล้ว ลู่หยุนก็ออกเดินทางพร้อมกับเก้อหลง โม่วยี่ และคนอื่น ๆ ชายหนุ่มไม่ได้พายู่อิงไปด้วยเพราะนางยังคงฟื้นฟูร่างกายไม่เต็มที่ ยังไงนางก็สามารถไปหาลู่หยุนได้ตลอดเวลาผ่านทางประตูนรก ซึ่งนี่จะเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเขา
ชายหนุ่มในชุดดำยังไม่ได้บอกชื่อของเขา คนที่ยืนข้างเขาก็คือหลี่ยูวไฉ และขุนนางอีกหกคนในเขตสนธยา พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกตนระดับดับปราณดั้งเดิม คนพวกนี้รู้ว่าลู่หยุนเป็นใครแต่ก็ไม่ได้ให้ความเคารพเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้นับหน้าถือตาเจ้าเมืองหนุ่มคนนี้เท่าไหร่
“เจ้าอยู่ที่นี่แล้วโม่วยี่!” ขุนนางหนึ่งในหกเมืองนั้นเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นโม่วยี่ และเอื้อมมือไปแตะหญิงสาว เขาคือเจ้าเมืองวารีนภา คนที่นางหมั้นหมายโดยไม่ได้ถามหาความสมัครใจ
โม่วยี่ยกมือของนางออกไปให้พ้นทาง
“เจ้า!” ความโกรธพุ่งผ่านใบหน้าขุนนางคนนั้น เขามองลู่หยุนด้วยสายตาจริงจัง
“พอได้แล้ว” บรรยากาศที่เปลี่ยนไปทำให้สีของชายหนุ่มในชุดดำดูไม่พอใจ “ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ก็ไปกันเถอะ”
“รับทราบ” ขุนนางที่เป็นคู่หมั้นทำได้แค่ยอมรับคำสั่ง
ที่แท้โม่วยี่เองก็แกล้งทำเป็นอ่อนแอกว่าทุกคน ไม่มีใครรู้เลยว่าหญิงสาวเป็นเซียน แปลกนะ ทำไมข้าถึงเห็นทะลุปรุโปร่งแบบนี้กันล่ะ?
ลู่หยุนบอกได้เลยว่าโม่วยี่เป็นเซียน และเป็นระดับสูงส่งซะด้วย เซียนนั้นแท้จริงแล้วมีด้วยกัน 6 ระดับคือ เซียนแท้จริง เซียนชั้นฟ้า เซียนสูงส่ง เซียนทองคำ เซียนลึกลับ และเซียนไร้เทียมทาน
สิ่งที่ทำให้ลู่หยุนประหลาดใจก็คือหลี่ยูวไฉเองก็เป็นเซียนเช่นกัน ถึงจะไม่เท่าโม่วยี่แต่ก็อยู่ในระดับชั้นฟ้าเลยทีเดียว
ชายหนุ่มในชุดดำ ลู่หยุนไม่สามารถรับรู้ได้ถึงระดับพลังของเขา จะเห็นก็แต่เงาแปลก ๆ รอบตัวของเขา ถ้าคนคนนี้ไม่ปลดปล่อยรัศมีออกมาก็ไม่มีใครรับรู้ได้ว่าอยู่ในขั้นไหน
โม่วยี่น่าจะถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในเขตนี้แล้ว ไม่มีเซียนทองคำอยู่แถวนี้ และเซียนสูงส่งเองก็มีแค่หญิงสาวเพียงคนเดียว ทำให้ในตอนนี้ระดับขั้นนั้นถือได้ว่าสูงที่สุดแล้ว ถึงแม้จะดูห่างไกล แต่สักวันนึงข้าคนนี้จะต้องไปถึงจุดนั้นได้อย่างแน่นอน! ลู่หยุนคิดในใจ
เห็นได้ชัดว่าหลียูวไฉคิดว่าโม่วยี่เป็นลูกไก่ในกำมือ เพราะว่าด้วยระดับเซียนชั้นฟ้ามันจึงทำให้เขาคิดว่าตัวเองมีพลังที่สูงกว่า อย่างไรก็ตามหญิงสาวเองยอมรับกฎข้อนี้ตามที่ราชสำนักตั้งไว้ นางไม่อาจแหกกฎนี้ได้โดยไม่จำเป็น
เรือป้อมปราการอันโอ่อ่าและหรูหราตัดผ่านท้องฟ้าเดินทางไปยังภูเขาที่อยู่ห่างประมาณห้าร้อยไมล์จากเมืองวารีทมิฬ
“นี่หรือ?” ลู่หยุนจ้องมองไปที่ภูเขาสูงขึ้นไปบนก้อนเมฆอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความกลัว
“ถูกต้อง” โม่วยี่พยักหน้า “ข้าเองก็ตะลึงไม่ต่างจากท่านตอนที่ได้เห็นมันครั้งแรก”
สุ้มเสียงที่แสดงความประหลาดใจและความซาบซึ้งดังขึ้นจากคนอื่น ๆ โดยรอบเช่นกัน ภูเขาลูกนี้สูงตระหง่านขึ้นไปในอากาศกว่า 1,000 เมตร หมอกจาง ๆ ปรากฏรอบตัวมัน
สุดยอดค่ายกลอนันต์? เหอะ มันก็แค่ค่ายกลบ้า ๆ บอนับพันเสียมากกว่า ! มีทั้งเมืองถูกฝังอยู่ข้างใต้ภูเขาบ้านี่! ไม่สิ…เดี๋ยวก่อน ความหนาวสั่นผ่านสันหลังของลู่หยุน นี่มันคือสุสานขนาดมโหฬาร! ทั้งเมืองโบราณถูกฝังอยู่ข้างใต้สุสานขนาดมหึมาที่สูงเทียมฟ้าแห่งนี้!