เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 502 ตำนานของปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งวัดเส้าหลิน
“เทียนเฉินอย่าไป อันตรายเกินไป นิสัยของหลีเจี่ยนดุดันบ้าเลือดมาก อาจจะฆ่านายก็ได้” ซูเฟยเฟยมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความร้อนใจ วิ่งมาดึงแขนเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ไปสิ ไปเลย บางทีนายอาจไม่ตายง่ายขนาดนั้น ถ้านายมีชีวิตรอดกลับมาฉันคนนี้จะให้นายจับก้นฉันเลยเป็นไง?”
ยังไม่รอให้เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูดอะไร ฟ่านรั่วเซวียนที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยเจตนายั่วยุ ราวกับว่าถ้าเย่เทียนเฉินไปพบหลีเจี่ยนกับหวังเฟิงในครั้งนี้จะไม่ได้กลับมาแน่นอน จะต้องตายแน่ๆ มิฉะนั้นฟ่านรั่วเซวียนที่เป็นลูกคุณหนูคงไม่พูดแบบนี้ออกมา คงไม่ยอมเดิมพันแบบนี้แน่
ที่สำคัญก็คือซูเฟยเฟยและฟ่านรั่วเซวียนต่างก็เป็นคนจากตระกูลใหญ่ ย่อมเคยได้ยินเรื่องนิสัยดุเดือดบ้าเลือดของผู้อาวุโสหลีเจี่ยนแห่งตระกูลหลีมาบ้าง ถ้าโกรธขึ้นมาแม้แต่พระเจ้าก็ไม่กลัว นิสัยแบบนั้นไม่ใช่บ้าเลือกธรรมดาแล้วจริงๆ รวมกับที่เขาเป็นชายชราที่มีชีวิตรอดกลับมาจากสงครามแห่งการฆ่าฟัน ยังมีนิสัยที่บอกจะฆ่าก็ฆ่าหลงเหลืออยู่ เขามีหลีซิ่นเป็นหลานชายเพียงคนเดียว แต่เกือบถูกเย่เทียนเฉินสังหารแล้ว จินตนาการได้เลยว่าหลีเจี่ยนจะปฏิบัติต่อเย่เทียนเฉินอย่างไร เรื่องนี้ยากจะจบสวยจริงๆ ในความคิดของคนส่วนใหญ่ ต่อให้เย่เทียนเฉินไม่ตายก็เกรงว่าจะต้องมีชีวิตราวกับตกนรกไปทั้งชาติ
“เธอพูดจริงเหรอ?” เย่เทียนเฉินมองไปยังฟ่านรั่วเซวียน จงใจหรี่ตามองก้นเธอแล้วเอ่ยถาม
ฟ่านรั่วเซวียนหน้าแดง ที่เธอพูดคำนั้นออกมาเพราะเชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะกลับมาไม่ได้แน่นอน แต่ตอนนี้เจ้าหมอนี่ถึงกับมองก้นเธอโดยไม่สนใจใคร ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหน้าแดง จากนั้นจึงกรอกตาใส่เย่เทียนเฉิน กล่าวอย่างดุดันว่า “แต่ไหนแต่ไรฉันคนนี้พูดคำไหนคำนั้น ขอเพียงนายรอดกลับมายืนต่อหน้าฉันได้ ฉันจะทำตามสัญญา”
“คำไหนคำนั้นนะ ถึงตอนนั้นก็ล้างก้นรอให้สะอาดล่ะ ฉันชอบก้นที่ทั้งใหญ่ทั้งขาว…” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“ไปตายซะ!” ฟ่านรั่วเซวียนด่าออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปทางซูเฟยเฟยแล้วพูดขึ้นว่า “โทษทีนะคนสวย วันนี้รับรองได้ไม่ดี หวังว่าคราวหน้าจะรับรองเธอให้ดีกว่านี้ ให้ฉันเลี้ยงข้าวเธอตามลำพังเป็นไง?”
ในตอนนี้ซูเฟยเฟยมองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยท่าทีน้ำตาคลอเบ้า เดิมทีเธอก็มีความรู้สึกเป็นมิตรกับเย่เทียนเฉินอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อคิดถึงว่าหลีเจี่ยนที่มีนิสัยดุเดือดบ้าเลือดที่สุดในหมู่คนระดับสูงของทางการจะลงมือกับเย่เทียนเฉิน ถึงกับส่งกองกำลังของตนทั้งหมดมาจับตัวเย่เทียนเฉิน เพียงแค่คิดก็ทำให้รู้สึกไม่ดีแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์แบบนี้เลย
“เจ้าทึ่ม อย่าไป อันตรายเกินไป…” ซูเฟยเฟยน้ำตาคลอเบ้า มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“วางใจเถอะ ใครๆ ก็บอกว่านิสัยของหลีเจี่ยนดุเดือดบ้าเลือด พอดีเลย นิสัยของฉันก็ไม่ได้ดีอะไร บางทีพวกเราอาจเข้ากันได้ดีก็ได้?” เย่เทียนเฉินพูดอย่างผ่อนคลาย
“แต่ว่า…” ซูเฟยเฟยยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เย่เทียนเฉินกลับกล่าวขัดคำพูดของเธอ
“กลับไปเถอะ วันหน้าฉันค่อยโทรหาเธอ จะเลี้ยงข้าวเธอตามลำพัง”
เย่เทียนเฉินตบไหล่มนของซูเฟยเฟย จากนั้นจึงเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง อย่างไรก็ตามยังยื่นหัวออกมาโบกมือให้ทุกคนด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม เพียงแต่เย่หย่วนซาน ฟ่านชิงอวี่และซูเฟยเฟยต่างไม่มีใครยิ้มออกแม้แต่คนเดียว มีแต่ฟ่านรั่วเซวียนที่ยู่ปาก มองด้วยสายตาไม่พอใจ ในใจคิดสาปแช่งว่าต่อให้เย่เทียนเฉินคนนี้ไม่ตาย อย่างน้อยก็ต้องอยู่เหมือนตกนรกไปช่วยชีวิต ไม่งั้นจะปล่อยให้เขาจับก้นตนจริงๆ เหรอ?
เมื่อเข้ามานั่งในรถ เย่เทียนเฉินก็นั่งที่เบาะหลัง ส่วนหวังเฟิงนั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินขึ้นรถมา หวังเฟิงก็ยัดมือทั้งสองที่บวมเป็นซาลาเปาของตนเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ในดวงตายังเจือไปด้วยความไม่พอใจ คิดในใจว่าไอ้หนูนี่มีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ
“หัวหน้าหวัง หมัดหนักจริงๆ มือฉันเขียวช้ำไปหมดแล้ว!”
ตอนนี้เองเย่เทียนเฉินถึงได้ดึงมือที่สอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงของตนออกมา พบว่ามือทั้งสองของเขามีรอยนูนเขียวช้ำ เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บจากการประทะ แน่นอนว่าไม่ได้สาหัสเท่ากับหวังเฟิง อย่างไรก็ตาม นี่เพียงพอจะทำให้เย่เทียนเฉินตื่นตะลึงแล้ว แต่ไหนแต่ไรตนให้ความใส่ใจกับการบ่มเพาะและฝึกฝนกายเนื้อมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้นหมัดอัสนีสวรรค์ก็เป็นเพลงหมัดที่รุนแรง การต่อสู้กับหวังเฟิงเมื่อครู่นี้สู้กันอย่างจริงจัง เป็นครั้งแรกที่มีคนอักจนร่างกายของเขาบาดเจ็บได้ นี่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหวังเฟิงจริงๆ
“หมัดของนายก็แข็งจริงๆ วิชาอะไร?” หวังเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความแปลกใจ สามารถปะทะกับฝ่ามือตั๊กม้อได้ บนโลกนี้มีแค่ไม่กี่วิชา
“วิชาที่สร้างขึ้นเอง ไม่คู่ควรให้พูดถึงหรอก ดูแล้วหัวหน้าหวังก็คงไม่ใช่แค่ทหารที่ออกมาจากกองทัพเท่านั้น วิชาฝ่ามือเหมือนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณเลยนะ?” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม…”
“หัวหน้าหวังของพวกเราเคยเป็นลูกศิษย์ของหอธรรมแห่งวัดเส้าหลิน ไอ้หนูอย่างแกจะเทียบได้รึไง?” ไม่รอให้หวังเฟิงเอ่ยปาก ทหารที่ขับรถอยู่ด้านข้างก็มองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วพูดอย่างไม่พอใจ
“อย่าเสียมารยาท คุณเย่อยากรู้ พวกเราย่อมต้องคุยกันให้ดี” หวังเฟิงเผยรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างหาได้ยากก่อนจะกล่าวออกมา
นี่เป็นความรู้สึกวีรบุรุษเสียดายฝีมือวีรบุรุษ บ่อยครั้งหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ของยอดฝีมือจบไปแล้วต่างรู้สึกนับถือในความสามารถของอีกฝ่าย ไม่เพียงแต่ไม่กลายเป็นศัตรูคู่แค้น แต่ยังกลายเป็นสหายร่วมตายอีกด้วย หวังเฟิงและเย่เทียนเฉินสู้กันในเวลาสั้นๆ ไม่ถึง 2 นาที แต่ทั้งสองก็นับถือฝีมือของอีกฝ่าย รวมกับที่ระหว่างทางไม่มีอะไรทำอยู่เเล้ว คุยเล่นกันสักหน่อยก็ไม่เลว ต้องทราบว่าการพูดคุยกันของยอดฝีมือทำให้ได้ประโยชน์ไม่น้อย
“ที่แท้หัวหน้าหวังก็เคยเป็นศิษย์ของหอธรรมแห่งเส้าหลินนี่เอง ผมอยากจะไปดูที่วัดเส้าหลินมาโดยตลอด เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวลามากนัก ไม่รู้ว่าวิชาฝ่ามือเมื่อกี้เป็นเคล็ดวิชาจากวัดเส้าหลินเหรอ?” เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม
“ฝ่ามือตั๊กม้อ!” หวังเฟิงกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย
“ฝ่ามือตั๊กม้อ?” เย่เทียนเฉินถามอย่างสงสัย
“ถูกต้อง ฝ่ามือตั๊กหมอสร้างโดยปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งวัดเส้าหลิน จนกระทั่งวันนี้ ท่านเป็นคนเดียวในวัดเส้าหลินที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาทั้ง 72 วิชาของวัดเส้าหลินจนครบ หลังจากสร้างฝ่ามือตั๊กม้อ เพื่อจะสร้างพระนักสู้มาปกป้องวัดเส้าหลิน ตอนนั้นปรมาจารย์ตั๊กม้อจึงถ่ายทอดให้กับเจ้าหอธรรม ว่ากันว่าตอนนั้นปรมาจารย์ตั๊กม้อมีอายุ 101 ปีแล้ว” หวังเฟิงไม่ได้ปิดบังอะไร ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ไม่ใช่ความลับ ขอเพียงเป็นคนที่ศึกษาเรื่องวิชาของวัดเส้าหลินสักหน่อยก็จะรู้ ดังนั้นบอกเย่เทียนเฉินไปก็ไม่เป็นไร
แต่เย่เทียนเฉินกลับรู้สึกตื่นตะลึงในใจ ตั้งแต่ที่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ก็มีหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่าโลกใบนี้เคยเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการบ่มเพาะเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพลังหลิงชี่จึงแห้งเหือดถึงขั้นนี้ได้ ขาดแคลนพลังหลิงชี่ที่ผู้บ่มเพาะต้องการ ทำให้ตอนนี้หลายคนไม่สามารถฝึกฝนได้ชั่วชีวิต ไม่สามารถเดินบนเส้นทางการบ่มเพาะได้ และในช่วงเวลาของปรมาจารย์ตั๊กม้อคงเป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองของการบ่มเพราะสิ่งที่เรียกว่ายอดฝีมือแห่งโลกวรยุทธ ความจริงก็คือคนที่เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะจำนวนหนึ่งที่ได้รับพลังที่น่าเหลือเชื่อมา สามารถเหาะเหินเดินอากาศ ป่นภูผาทลายหิน
ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยโบราณหรือจะล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ ปรมาจารย์ตั๊กม้อก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงสูงส่งเป็นอย่างมากในบันทึกวรยุทธโบราณแห่งประเทศจีน ยิ่งไปกว่านั้นยังผ่านการพิสูจน์อื่นๆ ทางประวัติศาสตร์มาแล้วด้วย ถ้าสิ่งที่หวังเฟิงพูดเป็นเรื่องจริง ถ้าตอนที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อมีอายุ 101 ปีก็สร้างฝ่ามือตั๊กม้อออกมาได้แล้ว และตอนนั้นเขาก็รวบรวมเคล็ดวิชาทั้ง 72 ของเส้าหลินเอาไว้ในร่างกาย ทั้งยังมีเคล็ดวิชาพุทธอันลึกล้ำ ดังนั้นฝ่ามือตั๊กม้อจะต้องเป็นวิชาที่ร้ายกาจแน่นอน มิน่าล่ะถึงได้ปะทะกับหมัดอัสนีสวรรค์ของตนได้
ถ้างั้นสุดท้ายปรมาจารย์ตั๊กม้อท่านนี้ไปอยู่ที่ไหน? เย่เทียนเฉินสงสัยว่าเขาคงเดินทางไปที่ดาวจักรพรรดิเช่นกัน ดาวจักรพรรดิเป็นการดำรงอยู่ที่ลึกลับ หลังจากที่เย่เทียนเฉินรู้เรื่องนี้ก็ได้รู้ว่าที่นั่นมีความลับของเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวอยู่ สำหรับผู้บ่มเพาะแล้ว การมีชีวิตยืนยาวนับเป็นเป้าหมายสุดท้าย เกรงว่าผู้ที่เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะทั่วทั้งจักรวาลต่างเสาะหาเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวทั้งสิ้น เพียงแต่หลายคนไม่อาจสัมผัสได้ ไม่มีความสามารถที่จะสัมผัสมันจนกระทั่งตัวตาย เพียงแต่นี้ไม่สามารถขัดขวางไม่ให้ผู้บ่มเพาะตามหาการมีชีวิตยืนยาว
จากที่จางอีเต๋อพูดและจากที่เย่เทียนเฉินได้ข้อพิสูจน์บางอย่างมาจากปรมาจารย์กระบี่ บนดาวจักรพรรดิจะต้องมีความลับที่ทำให้ผู้บ่มเพาะใจเต้นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นบนโลกยังมีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังดาวจักรพรรดิอยู่ แน่นอนว่าขอเพียงเป็นยอดฝีมือระดับสูงก็สามารถใช้ค่ายกลได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้พังไป ถ้าเช่นนั้นยอดฝีมือก่อนหน้านี้ล่ะ? เหล่าผู้มีชื่อเสียงมากมาย เหล่าคนที่มีข้อพิสูจน์ว่ามีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์จีนอย่างแท้จริง แต่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังหาที่ฝังศพของพวกเขาไม่พบ ไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย เหมือนกับพวกเขาหายไปกับอากาศอย่างไรอย่างนั้น คนยอดเยี่ยมเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนกันแน่? จางซานเฟิง ซีเหมินชุยเสวี่ย ปรมาจารย์ตั๊กม้อ คนเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน? การคาดเดาของเย่เทียนเฉินมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือพวกเขาเดินทางไปยังดาวจักรพรรดิเพื่อตามหาความลับของชีวิตยืนยาว จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ จางซานเฟิง ซีเหมินชุยเสวี่ย ปรมาจารย์ตั๊กม้อ คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่จนถึงอายุหลายร้อยปี แต่สุดท้ายจะอยู่ถึงอายุเท่าไหร่ก็ไม่มีใครรู้ และคนที่อยู่มาจนถึงอายุเช่นพวกเขาก็ไม่มีห่วงอะไรอีก ญาติมิตรต่างก็ตายไปหมดแล้ว ส่วนตนเองก็บ่มเพาะจนถึงขั้นสูง จะต้องเดินทางไปยังดาวจักรพรรดิที่ว่ากันว่ามีเส้นทางแห่งชีวิตยืนยาวอยู่แน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นฝ่ามือตั๊กม้อนี่เอง ไม่รู้ว่าที่เส้าหลินมีบันทึกเรื่องหลุมฝังศพของปรมาจารย์ตั๊กม้อหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ คุณเย่ ดูเหมือนจะรู้เรื่องประวัติศาสตร์จีนไม่เยอะนะ? แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหรอ?” หวังเฟิงอดไม่ได้ที่จะชะงักไป คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนเฉินจะถามเรื่องนี้ออกมา
“ไม่รู้จริงๆ ขอให้หัวหน้าหวังชี้แนะด้วย” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเรียบเฉย เขามาจากดาวสิ้นโลก จะรู้เรื่องความลับทางประวัติศาสตร์บนโลกใบนี้มากมายได้อย่างไร
หวังเฟิงพยักหน้า จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ที่วัดเส้าหลินมีบันทึกนี้อยู่จริงๆ บอกว่าคืนที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อสร้างวิชาฝ่ามือตั๊กม้อแล้วถ่ายทอดให้เจ้าหอธรรมแล้วก็หายไปในสายฟ้า ไม่รู้ร่องรอยและไม่ได้กลับมาอีก…”