เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 492 มาตรฐาน
สิ่งที่ทำให้เย่หย่วนซานและซูเฟยเฟยคิดไม่ถึงก็คือ สุดท้ายฟ่านชิงอวี่ยังยื่นมือไปจับมือกับเย่เทียนเฉินเข้าจริงๆ ราวกับไม่เพียงจะไม่โกรธเรื่องความไร้มารยาทของเย่เทียนเฉิน แต่กลับมีท่าทีชื่นชมอีกด้วย ไม่รู้ว่าฟ่านชิงอวี่ฝืนทำออกมาหรือถูกความ “ใจกว้าง” ของเจ้าหมอนี่ทำให้รู้สึกสนใจเข้าจริงๆ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรฟ่านชิงอวี่ก็เป็นคนใจกว้างโดยไม่ต้องสงสัยเลย นี่ทำให้เย่เทียนเฉินต้องเปลี่ยนมุมมอง คนระดับผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะฉลาดหลักแหลมแถมยังเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อีกด้วย นอกจากนี้มีระดับความอดทนมากกว่าชนรุ่นหลังอายุน้อยทั้งหลายมาก
“เป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ ไม่เลวๆ!” ฟ่านชิงอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณฟ่านชมเกินไปแล้ว พบหน้าครั้งแรกต้อนรับได้ไม่ดี โปรดอภัยด้วยนะครับ” เย่เทียนเฉินเองก็พูดด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้หากฟ่านรั่วเซวียนอยู่ที่นี่อาจทำให้เย่เทียนเฉินแปลกใจก็เป็นได้ เพียงแต่ฟ่านรั่วเซวียนเพิ่งเดินไปพอดี ความจริงการที่ฟ่านรั่วเซวียนเดินจากไปเพราะต้องการทำให้เจ้าคนที่กล่าวว่าเธอเป็นผู้หญิงอัปลักษณ์คนนี้ต้องตื่นตะลึงครั้งใหญ่ นับเป็นการตบหน้าเย่เทียนเฉินอย่างแรง ทำให้ผู้อื่นรู้สึกคาดหวังอยู่บ้างจริงๆ ในตอนที่ฟ่านรั่วเซวียนปรากฏตัวเบื้องหน้าเย่เทียนเฉินอีกครั้งจะมีท่าทีอย่างไร? ส่วนเย่เทียนเฉิน หลังจากเห็นฟ่านรั่วเซวียนแล้วจะแสดงท่าทีอย่างไรออกมา?
“ถ้างั้นปู่คุยกับคุณฟ่านไปเถอะครับ ผมจะพาเฟยเฟยไปเดินเล่นที่อื่นสักหน่อย” เย่เทียนเฉินเอ่ยปากพูด
“อืม อีกไม่นานพิธีกรจะเริ่มพูดแล้ว อย่าไปไกลนักล่ะ!” เย่หย่วนซานพยักหน้ากล่าว
เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงพาซูเฟยเฟยเดินจากไป เย่หย่วนซานมองไปยังซูเฟยเฟยที่เดินคล้องแขนเย่เทียนเฉิน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ เขาย่อมต้องดีใจแน่นอนอยู่แล้ว ซูเฟยเฟยคือหลานสาวของซูเทียนเหอ ตระกูลซูเป็นตระกูลการค้าอันดับหนึ่งในประเทศ หากพูดให้ตรงไปตรงมาสักหน่อยก็คือมีธนบัตรใช้ไม่สิ้นสุด ส่วนใหญ่การมีเงินเท่ากับมีอำนาจ ทางการต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลใหญ่เหล่านี้ไม่น้อย ดังนั้นอำนาจของตระกูลซูย่อมไม่ใช่ธรรมดา หากเทียบกับตระกูลใหญ่ทั่วไปยังมีอำนาจกว่ามาก กล่าวอีกอย่างก็คือถ้าเย่เทียนเฉินแต่งงานกับซูเฟยเฟยย่อมได้ประโยชน์มากกว่าแต่งงานกับฟ่านรั่วเซวียนเล็กน้อย
“ไม่เลว ไม่เลว คุณเย่ ที่แท้เย่เทียนเฉินหลานของคุณก็คบหาอยู่กับซูเฟยเฟยแห่งตระกูลซูนานแล้ว มิน่าล่ะถึงไม่สนใจรั่วเซวียนของพวกเรา นับว่าสมเหตุสมผล” ฟ่านชิงอวี่กล่าวอย่างเรียบเฉย
“ฮ่าๆ พี่ฟ่านกำลังล้อเล่นเหรอครับ? ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก รั่วเซียนเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นเทียนเฉินของตระกูลเราที่ไม่มีวาสนามากกว่า!” เย่หย่วนซานรีบพูดด้วยรอยยิ้ม
“ช่างเถอะครับ เรื่องของหนุ่มสาว คนแก่อย่างพวกเราอย่าไปยุ่งเลย ให้พวกเขาพยายามกันเองเถอะ” ฟ่านชิงอวี่กล่าว
“ใช่แล้ว เด็กๆ โตหมดแล้วคงมีความคิดเป็นของตนเอง บีบบังคับไปคงไม่ได้อะไร” เย่หย่วนซานพูดจาแฝงความหมาย
ตอนนี้เอง คนที่หดหู่ที่สุด หดหู่จนแทบจะระเบิดออกมา หดหู่จนอยากจะอัดคนสักหน่อยคงหนีไม่พ้นซูเฟยเฟย เนื่องจากเมื่อครู่นี้เย่เทียนเฉินเดินไปกินไป เดิมทีคิดว่าเขาพาตนออกมาเพราะจะพาไปเยี่ยมชมบ้านเดิมตระกูลเย่จริงๆ ไหนเลยจะรู้ว่าเจ้าหมอนี่กลับหาขนมกินต่อไป ตอนนี้กำลังเลือกขนมอย่างพิถีพิถัน ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเย่เทียนเฉินก็กินแก้วมังกร แตงโม ขาหมูตุ๋นสามขา น้องเป็ดย่างสามน่อง ตอนนี้ยังเริ่มกินขนมเค้กเข้าไปอีก เจ้าหมอนี่เป็นผีหิวตายกลับชาติมาเกิดหรือไง?
“นายเป็นผีหิวตายกลับชาติมาเกิดใช่หรือเปล่า ไม่ได้กินข้าวมาหลายชาติแล้วหรือไง?” ซูเฟยเฟยเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
“จะมีเรื่องแบบนั้นได้ยังไง กินอะไรสักหน่อยก็ไม่เลว” เย่เทียนเฉินหันไปหยิบเค้กชิ้นเล็กใส่ปาก กินไปพลางกล่าวไปพลาง
“นาย…พาฉันไปเยี่ยมชมบ้านเดิมตระกูลเย่ของนายหน่อยได้หรือเปล่า?” ซูเฟยเฟยเอ่ยถามด้วยท่าทีทอดถอนใจ
“เยี่ยมชมหรอ ความจริงเป็นความคิดไม่ดีเท่าไหร่หรอก ฉันมาที่นี่แค่ไม่กี่ครั้ง อาจหลงทางก็ได้” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน
“ไปตายซะ…”
ในที่สุดซูเฟยเฟยก็ระเบิดโทสะออกมา เดินจากไปด้วยท่าทีโกรธเคือง เย่เทียนเฉินเห็นดังนั้นก็รู้สึกอับจนคำพูดเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง เขาไม่ได้พูดโกหก ครอบครัวของเขาย้ายออกจากบ้านเดิมตระกูลเย่ตั้งแต่เขาเด็กๆ แล้ว ตอนนั้นลุงใหญ่และลุงรองกดดันครอบครัวของพวกเขามากจึงทำได้เพียงย้ายออกไป จนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินได้กลับมาบ้านเดิมตระกูลเย่แค่ไม่กี่ครั้ง ย่อมไม่คุ้นเคยกับที่นี่ บ้านเดิมตระกูลเย่มีพื้นที่ไม่น้อย อาจหลงทางได้จริงๆ
แต่เมื่อซูเฟยเฟยได้ยินกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอคิดว่าเย่เทียนเฉินเป็นตัวตะกละตะกลาม เอาตนมาเป็นแฟนสาวปลอมๆ ของเขาเพื่อไม่ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนเท่านั้น ตอนนี้แค่จะพาเธอไปเยี่ยมชมบ้านเดิมตระกูลเย่ก็ยังไม่ยอมพาไป จะไม่ให้ซูเฟยเฟยรู้สึกโกรธได้อย่างไร ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ รู้สึกอดรนทนไม่ไหวอยากอัดเย่เทียนเฉินแรงๆ สักยก จะไม่มีอีคิวเกินไปแล้ว
เมื่อเห็นซูเฟยเฟยโกรธจนเดินจากไปเย่เทียนเฉินก็ทำได้เพียงไหวไหล่เล็กน้อย เขารู้สึกอับจนหนทางอยู่บ้าง ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้อารมณ์ร้ายนัก อยู่ดีๆ คิดจะโกรธก็โกรธ?
“เอาเค้กเนยสดให้ผมอีกชิ้นครับ…” เย่เทียนเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย หมุนตัวไปกล่าวกับพนักงานด้านข้าง
เวลาเที่ยงตรง เรียกได้ว่าที่บ้านเดิมตระกูลเย่มีคนมากมายประหนึ่งมหาสมุทร อย่างน้อยก็มีเกือบพันคน ในหมู่คนเหล่านั้นมีคนระดับผู้อาวุโสของตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่มาด้วยตัวเอง แน่นอนว่าย่อมมีคนที่มีตำแหน่งต่ำที่หน้าด้านมาด้วยเช่นกัน หวังจะสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนเช่นไร ผู้มาเยือนก็คือแขก จำเป็นต้องต้อนรับให้ดี ตระกูลเย่ส่งคนเข้ามาต้อนรับและจัดการมากมาย เพียงไม่นานก็ถึงเวลากลางวัน
“แขกผู้รับเชิญทุกท่าน แขกรับเชิญทุกท่าน ขอบพระคุณทุกท่านที่เจียดเวลาอันมีค่ามาร่วมงานวันเกิดอายุครบ 75 ปีของผู้อาวุโสเย่หย่วนซานแห่งตระกูลเย่ในวันนี้ ตอนนี้กระผมขอเป็นตัวแทนคนตระกูลเย่ทั้งหมด โค้งคำนับให้ทุกท่านเพื่อแสดงความขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ!”
พิธีกรงานวันเกิดพูดบนเวที เริ่มดึงดูดทุกคนให้มารวมตัวนั่งบริเวณที่นั่งด้านข้าง แถวหน้าสุดย่อมเป็นที่นั่งของคนใหญ่คนโต คนเหล่านี้ต่างเป็นผู้อาวุโสของตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งหมด ต่างก็เป็นบุคคลที่เคยมีผลงานมาก่อน อย่างไรก็ตามตำแหน่งด้านหน้าสุดยังมีที่ว่างอยู่ตำแหน่งหนึ่ง มีชื่อติดเอาไว้ว่าหลีซิ่น
จนกระทั่งตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนตระกูลเย่คนอื่นหรือจะเป็นคนใหญ่คนโตที่อยู่ในงานก็ยังไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินทำร้ายหลีซิ่นไปแล้ว แต่หลีซิ่นไม่ได้ออกจากบ้านเดิมตระกูลเย่ เขากำลังรอให้บอดี้การ์ดทั้งสี่คนของเขาเดินทางมา ขอเพียงบอดี้การ์ดทั้งสี่คนของเขามาถึง หลีซิ่นจะก่อเรื่องใหญ่ที่ตระกูลเย่ต่อหน้าคนมากมายแน่นอน และจะทำลายงานวันเกิดของเย่หย่วนซาน ทำให้เย่เทียนเฉินครึ่งเป็นครึ่งตาย นี่คือความคิดในการระบายความเกลียดชังของเขา
จินตนาการได้เลยทีเดียว งานนี้จัดเตรียมอย่างดี มีพิธีกรกล่าวขอบคุณแขกผู้มาร่วมงานทุกคน จนกระทั่งตอนเย็นยังมีงานเต้นรำมอบความสุขสนุกสนานให้ทุกคน ตำแหน่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดย่อมต้องมีชื่อติดอยู่หลังเก้าอี้เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกคนนั่งผิดที่เนื่องจากมีคนสำคัญหลายคน ที่สำคัญก็คือในหมู่คนที่มาร่วมงานวันเกิดของเย่หย่วนซานในคราวนี้มีคนใหญ่คนโตในระดับผู้อาวุโสเป็นจำนวนมาก พวกเขามาด้วยตัวเองก็นับว่าเป็นการไว้หน้าแล้ว ย่อมต้องมีที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด นี่เป็นปัญหาเรื่องของตำแหน่ง หากไม่แสดงให้ชัดเจนแล้วมีคนนั่งมั่วซั่ว ย่อมไม่ดีถ้าจะไล่คนออกไป จะอย่างไรผู้มาเยือนก็เป็นแขก
แต่ท่ามกลางตำแหน่งของคนระดับผู้อาวุโสที่อยู่แถวหน้าสุดยังจัดเตรียมที่สำหรับหลีซิ่นที่ยังอายุน้อยไว้ด้วย นี่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของตระกูลหลีได้เป็นอย่างดี มีน้อยคนที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
“ลำดับต่อไป ขอเชิญผู้อาวุโสเย่หย่วนซานแห่งตระกูลเย่ขึ้นเวทีมากล่าวสุนทรพจน์กับทุกท่านด้วยครับ” หลังจากพิธีกรพูดจาเกรงอกเกรงใจเสร็จก็เข้าสู่จุดประสงค์หลัก พูดด้วยเสียงดังกังวาน
เย่หย่วนซานลุกขึ้นยืน ทุกคนที่อยู่ในงานต่างพากันปรบมือ ไม่ว่าจะมาร่วมงานวันเกิดของเย่หย่วนซานด้วยความจริงใจหรือมาด้วยความเสแสร้งก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่าย ปรบมืออย่างเป็นมิตร เย่หย่วนซานค่อยๆ เดินขึ้นเวทีไป
“ขอบคุณทุกท่าน! ปีนี้ผมอายุ 75 ปีแล้ว ไม่ได้รู้สึกครึกครื้นแบบนี้มานานจริงๆ ทุกท่านมาร่วมงานวันเกิดคนแก่อย่างผมได้ ผมคงมีให้เพียงคำขอบคุณแล้วครับ” เย่หย่วนซานรับคำพิธีกรกล่าวขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเย่หย่วนซานก็กล่าวต่อไป “อายุ 75 ปีแล้ว นับว่าเหยียบเข้าฝาโลงไปแล้วครึ่งก้าว ดังนั้นหลังจากผ่านงานวันเกิดคราวนี้ไปผมก็คิดจะเกษียณแล้ว และไม่สนใจเรื่องทางโลกโดยอีกเลย จะพักผ่อนใช้เวลาอีกไม่กี่ปีที่เหลือให้ดี ดังนั้นผมขอประกาศ ณ ที่นี้ว่า เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ทั้งหมดของตระกูลเย่ในภายภาคหน้าจะขอมอบให้เย่เทียนเฉินหลานชายของผมมีอำนาจตัดสินใจทั้งหมด”
คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของใครหลายคนจริงๆ แน่นอนว่าหากคิดให้ละเอียดก็ยังเป็นเรื่องสมเหตุสมผล จะอย่างไรเย่หย่วนซานก็อายุมากแล้ว เคยเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงส่ง เพียงแต่น่าเสียดาย หลังจากเขาลงจากตำแหน่ง ตระกูลเย่ก็ไม่มีลูกหลานที่สามารถค้ำจุนตระกูลได้เลย ทำให้ตระกูลเย่ตกต่ำลงในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปีจนกลายเป็นตระกูลชั้นสาม
ตอนนี้ตระกูลเย่มีเย่เทียนเฉินโผล่ออกมาแล้ว ทุกเรื่องที่กระทำตั้งแต่ปลดประจำการกลับมายังเมืองหลวงล้วนกล่าวได้ว่าสั่นสะท้านไปทั่วทุกสารทิศ กระทั่งตระกูลใหญ่เช่นตระกูลฉินและตระกูลลั่วถูกเย่เทียนเฉินฆ่าล้างตระกูลไปแล้วก็ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ไม่ได้ลากตระกูลเย่มาเกี่ยวพัน จินตนาการได้เลยว่าชายหนุ่มอายุ 20 ปีคนนี้มีความสามารถและเบื้องหลังแข็งแกร่งขนาดไหน
ยิ่งไปกว่านั้นในหมู่บุคคลระดับผู้อาวุโสก็มีหลายคนที่เคยเป็นผู้มีความสามารถยิ่งใหญ่ ดังนั้นพวกเขาย่อมเคยได้ยินมาว่าเย่เทียนเฉินมีความสัมพันธ์กับท่านผู้นำสูงสุด ท่านผู้นำชอบชายหนุ่มคนนี้มาก
ท่านผู้นำสูงสุดเป็นบุคคลระดับไหนกัน นั่นไม่จำเป็นต้องพูดเลย หากจะกล่าวว่าสามารถตัดสินใจได้ทุกเรื่องก็คงไม่มากไปนัก สรุปแล้วเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงที่สุดของทางการซึ่งทุกคนไม่สามารถล่วงเกินได้ กระทั่งตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจใหญ่เหล่านี้ก็ทำได้เพียงประจบประแจงและสานสัมพันธ์ จะกล้าล่วงเกินได้อย่างไร
“เย่หย่วนซานชราแล้ว ต้องการเกษียณแล้ว!”
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ตระกูลเย่กลายเป็นตระกูลชั้นสาม ลูกหลานแต่ละคนก็ไม่เอาไหน แต่เย่เทียนเฉินที่ดูแล้วไม่สามารถสนับสนุนตระกูลเย่ได้มากที่สุดกลับผงาดขึ้นมาได้ โลกนี้มีเรื่องยากคาดเดามากจริงๆ”
“เย่หย่วนซานคงไม่เกษียณจริงๆ หรอก มันก็แค่คำพูด ยังไงซะเย่เทียนเฉินก็ยังเป็นแค่ลูกวัวหัดเดิน จะสนับสนุนตระกูลเย่ได้หรือเปล่าก็ยากจะพูด ต้องรอดูต่อไป”
ด้านล่างมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้น เย่หย่วนซานย่อมไม่สนใจ ทำเพียงกล่าวเสียงดังว่า
“ตอนนี้ก็ให้เย่เทียนเฉินหลานชายของผมขึ้นเวทีมากล่าวขอบคุณทุกท่านสักหน่อย หวังว่าต่อไปทุกท่านจะสนับสนุนและให้ความดูแลให้มาก”