เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 485 จางอีเต๋อสั่งเสีย?
“นี่ปู่ ตอนนี้ผมอยากรู้จริงๆ ตกลงร่างกายของรั่วถงเป็นยังไงกันแน่? พลังอบอุ่นที่เธอทิ้งไว้ในร่างกายของผมคืออะไรกันแน่?”
ภายในสวนของคฤหาสน์ที่เย่เทียนเฉินอาศัยอยู่เหลือเพียงเย่เทียนเฉินและจางอีเต๋อสองคน จางอีเต๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้เอน ยังคงหลับตาทำสมาธิ ส่วนเย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าจางอีเต๋อแล้วเอ่ยปากถาม ในใจของเขาเกิดสงสัยในสองอย่างนี้และอยากรู้คำตอบเป็นอย่างมาก ครั้งนี้ที่เขามีชีวิตรอดได้ล้วนอาศัยพลังอบอุ่นที่จางรั่วถงทิ้งไว้ในร่างกายของตน คอยรักษาบาดแผลไปทีละน้อยจนหายดีในที่สุด
จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน ไม่ได้ตอบคำถามเขาทันที ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างสระน้ำ เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเดินตามไป เขาเข้าใจนิสัยของจางอีเต๋อดี นี่คือเซียนแพทย์เทวะ เป็นพวกเอาแน่เอานอนไม่ได้โดยสิ้นเชิง หากยินดี เขาจะบอกเรื่องมากมายกับคุณ ถ้าเขาไม่ยินดี ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีใดเขาก็จะไม่พูดแม้แต่ครึ่งคำ
“ปู่…”
พลั่ก!
ประโยคที่สองของเย่เทียนเฉินยังไม่ทันออกจากปากจางอีเต๋อก็หมุนตัวซัดฝ่ามือไปยังหน้าอกของเย่เทียนเฉิน พลังฝ่ามือพลุ่งพล่าน อากาศสั่นไหว ไม่เหมือนล้อเล่นแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนต้องการซัดเย่เทียนเฉินให้ตายในฝ่ามือเดียว ฝ่ามือนี้จางอีเต๋อใช้พลังเต็มร้อยส่วนแน่นอน
พลั่ก! เย่เทียนเฉินเองก็ขยับฝ่ามือขวา ซัดเข้าไปเช่นกัน
ตู้ม!
เสียงดังสนั่น เย่เทียนเฉินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ส่วนจางอีเต๋อถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป จากขอบสระด้านหนึ่งถูกโจมตีจนกระเด็นไปถึงอีกด้านหนึ่ง แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บ
เงาร่างของเย่เทียนเฉินเลือนหาย สะกิดเท้าบนน้ำกลางสระครั้งหนึ่งจากนั้นจึงทะยานตัวไปถึงอีกฝั่งของสระน้ำ เมื่อมีพลังถึงขอบเขตการบ่มเพาะนี้แล้วย่อมไม่อาจใช้ตรรกะของคนธรรมดามาบรรยายได้อีก แน่นอนว่าหากคนธรรมดาจะได้เห็นภาพนี้ นอกจากจะเป็นคนใกล้ตัวเย่เทียนเฉินแล้ว คนอื่นที่เอาแต่ใช้ชีวิตเกิดแก่เจ็บตายไปทั้งชาติจะรู้ได้อย่างไร?
“ปู่ ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” เย่เทียนเฉินถามอย่าใส่ใจ เขาเคารพจางอีเต๋อมาก อีกฝ่ายบอกอะไรหลายอย่างกับตน นับเป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การเคารพผู้หนึ่ง
“นายทะลวงไปถึงขอบเขตผู้มีพลังพิเศษระดับจักรพรรดิแล้วจริงๆ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่านายไปพรรคสุสานโบราณครั้งนี้ได้อะไรมาบ้าง?”
ดวงตาทั้งสองของจางอีเต๋อเปล่งประกาย จ้องมองเย่เทียนเฉินเขม็ง เขารู้สึกเหนือคาดจริงๆ ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนเย่เทียนเฉินสามารถทะลวงพลังจากขอบเขตผู้มีพลังพิเศษระดับจอมราชันไปถึงระดับจักรพรรดิได้ นี่เป็นการก้าวกระโดดที่ทำให้เขาต้องรู้สึกตื่นตะลึง ต้องทราบว่าบนโลกใบนี้ไม่เหมาะกับเส้นทางการบ่มเพาะไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมพลังหลิงชี่ที่เหมาะกับการบ่มเพาะจึงแห้งเหือดไปแล้ว คนที่สามารถทะลวงขอบเขตการบ่มเพาะภายใต้สภาพเช่นนี้ได้เช่นนี้ได้ ล้วนเรียกขานได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง เป็นคนที่ดูถูกไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นการทะลวงพลังโดยไม่หยิบยืมพลังของฟ้าดินเหมือนเย่เทียนเฉิน ใช้เพียงพลังอันบริสุทธิ์ในร่างกายทะลวงขอบเขตไปได้ หากพูดไปจะทำให้คนที่ได้ยินต้องรู้สึกหวาดผวาขนาดไหน ทำให้ผู้คนไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่จางอีเต๋อรู้เกี่ยวกับเย่เทียนเฉินก็คือเขาถูกกักขังอยู่ภายใต้ความสามารถระดับสูงสุดของผู้มีพลังพิเศษระดับจอมราชันมาโดยตลอด และต้องการทะลวงพลังไปถึงระดับจักรพรรดิ เย่เทียนเฉินเคยนำความหวังไปวางไว้กับคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลิน เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีเวลาไปหา ตอนนี้เขายังไม่ได้ฝึกคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลินก็สามารถผสานปราณแท้ของเคล็ดวิชาโบราณกับพลังพิเศษเข้าด้วยกันได้สำเร็จแล้ว และสามารถทะลวงขอบเขตไปยังระดับจักรพรรดิได้ด้วย พลังการต่อสู้ก้าวกระโดดอย่างน่ากลัว จางอีเต๋อจะไม่ตื่นตะลึงได้อย่างไร
“คุณบอกผมมาเถอะว่ารั่วถงมีร่างกายยังไงกันแน่ แล้วผมจะบอกคุณว่าผมได้อะไรจากการไปพรรคสุสานโบราณในครั้งนี้บ้าง!” เย่เทียนเฉินพูดกับจางอีเต๋อด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าหนูถึงกับกล้าต่อรองกับฉันเชียวเหรอ นายคิดว่าฉันจะรับปากนายรึไง?” จางอีเต๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินแล้วเอ่ยถาม
“ไม่หรอก แต่คุณจะสนใจเรื่องของพรรคสุสานโบราณแน่นอน และผมก็มีความลับเกี่ยวกับการเดินทางไปดาวจักรพรรดิด้วย!” เย่เทียนเฉินยังคงพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
จางอีเต๋อมองเย่เทียนเฉิน พบว่าเจ้าหนูนี่ฉลาดอยู่บ้างจริงๆ ทันใดนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองไปยังพระจันทร์แล้วพูดว่า “หากตอนนี้ได้ดื่มเหล้าสักหน่อย คุยกับกับเจ้าหนูอย่างนายเรื่อยเปื่อย ฉันคิดว่าก็ไม่แย่นัก”
“ไม่มีปัญหา!”
ไม่นานเย่เทียนเฉินก็นำโต๊ะมาตัวหนึ่ง ทั้งยังมีอาหารและเหล้าจำนวนหนึ่ง อาหารเป็นจำพวกขาหมูตุ๋นหัวหมูอะไรเทือกนั้น ส่วนเหล้าคือเหล้ายี่ห้อเอ้อกั่วโถว หากพูดตามสไตล์จางอีเต๋อ ตอนนี้ด้านนอกมีเหล้ามีบุหรี่ยี่ห้อดังๆ อะไรก็ยังไม่สู้ของเรียบง่ายในอดีตพวกนี้
“นี่ปู่ ผมคารวะหนึ่งจอก!” เย่เทียนเฉินยกแก้วเหล้าแล้วพูดกับจางอีเต๋อ
จางอีเต๋อยกแก้วเหล้าไปทางเย่เทียนเฉิน ดื่มหมดในครั้งเดียว ทั้งสองอายุต่างกันมาก เรียกได้ว่าคบกันโดยไม่คำนึงถึงอายุ ดื่มสุราภายใต้แสงจันทร์เช่นนี้ให้ความรู้สึกไม่เลวเลยจริงๆ เพียงแต่ระหว่างทั้งสองยังมีบางสิ่งที่ทำให้เข้าหน้ากันไม่ติด นั่นก็คือจางรั่วถง
เย่เทียนเฉินรู้ดีว่าในใจของจางอีเต๋อโกรธตนเรื่องจางรั่วถง เขาเองก็รู้สึกผิด คิดไม่ถึงว่าจางรั่วถงจะเสียสละเพื่อตนเช่นนั้น ตอนนี้จางรั่วถงไปแล้ว เย่เทียนเฉินหวังจริงๆ ว่าจะหาเธอพบ เพียงแต่น่าเสียดายที่ตนมีเรื่องไม่หยุดหย่อน ผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้งจนหาเวลาปลีกตัวไปไม่ได้
“นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้ดื่มเหล้ากับนายแบบนี้!” จางอีเต๋อเงยหน้าขึ้นมองไปยังพระจันทร์แล้วเอ่ยปาก
“ปู่ครับ คุณหมายความว่ายังไง? ผมไม่เข้าใจ!” เย่เทียนเฉินชะงัก รีบเอ่ยปากถาม
“นายไม่ต้องเข้าใจหรอก ทุกคนต่างมีเรื่องที่ตัวเองต้องทำ ฉันก็มีเรื่องที่ฉันต้องทำ ที่ฉันมาในครั้งนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากจะไหว้วานนายสักหน่อย…” จางอีเต๋อพูด มองไปยังเย่เทียนเฉิน ในดวงตาฉายแววโดดเดี่ยว
“ปู่ครับ ผมว่าร่างกายของคุณยังแข็งแรงดี จะสั่งเสียเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน จางอีเต๋อก็ชะงักไป แต่เพียงไม่นานก็ส่ายหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ปากของนายพูดจาดีๆ ยากจริงๆ แต่ครั้งนี้นับว่าอัตราอยู่บ้าง ฉันอยากจะไหว้วานนายเรื่องรั่วถง!”
“เรื่องรั่วถง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ใช่ หลังจากที่ฉันจากไปแล้ว รั่วถงก็จะอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอถึงจะกลับมา ฉันอยากไหว้วานนายให้ดูแลเธอให้ดี อย่าทำให้เธอเสียใจ” จางอีเต๋อพูดอย่างจริงจัง
“ปู่ครับ คุณวางใจเถอะ ขอเพียงมีผมเย่เทียนเฉินอยู่ด้วย จะไม่ยอมให้ใครมารังแกรั่วถงแน่นอน แต่ผมอยากรู้เรื่องของคุณจริงๆ บางทีผมอาจช่วยคุณได้…”
เย่เทียนเฉินรับรู้อะไรบางอย่างจากคำพูดและสายตาของจางอีเต๋อ คราวนี้จางอีเต๋อคงจะไปทำเรื่องบางอย่าง และเรื่องนี้จะต้องอันตรายมากแน่นอน กระทั่งจางอีเต๋อก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาจึงมาหาตน ต้องการไหว้วานให้ตนดูแลจางรั่วถงผู้เป็นหลานสาวของเขา ส่วนเย่เทียนเฉินก็อยากจะช่วยจางอีเต๋อจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ชายชราคนนี้ก็ช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้งแล้ว เป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การนับถือคนหนึ่ง ต่อให้ต้องตอบแทนบุญคุณด้วยชีวิต เย่เทียนเฉินก็สมควรทำแล้ว
“นายไม่ต้องยุ่งเรื่องของฉันหรอก ขอแค่นายจำคำพูดที่ตัวเองพูดในวันนี้ให้ดีก็พอแล้ว!” จางอีเต๋อเทเหล้าให้ตัวเองอีกแก้วหนึ่ง ยกขึ้นดื่มก่อนจะพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินไม่ได้บีบบังคับ ในเมื่อจางอีเต๋อไม่ยอมพูดและไม่ให้ตนเข้าไปยุ่งเรื่องของเขา หากต้นฝืนช่วยไปจะทำให้จางอีเต๋อโกรธเสียเปล่าๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเหมือนที่จางอีเต๋อพูด ทุกคนต่างมีเรื่องที่ตนต้องกระทำ บางเรื่องจำเป็นต้องแก้ไขด้วยตัวเอง ต่อให้คนอื่นแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่อาจช่วยได้
“นี่ปู่ครับ ตกลงว่าร่างกายของรั่วถงเป็นยังไงกันแน่ คุณจะไม่บอกผมเหรอ?” เย่เทียนเฉินถามต่อไป
“นายเล่าเรื่องที่เจอในพรรคสุสานโบราณคราวนี้ให้ฉันฟังซะก่อน จะยังไงฉันก็เป็นผู้อาวุโส มีคุณสมบัติมากพอให้นายพูดก่อนใช่รึเปล่า?” จางอีเต๋อถามกลับ
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จางอีเต๋อพูดแบบนี้แล้ว เขายังจะไม่พูดได้อีกหรือ? เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจก็คือ เขาถามเรื่องร่างกายของจางรั่วถงหลายครั้งแล้ว ทำไมจางอีเต๋อยังยกเหตุผลต่างๆ นานามาอ้างไม่ยอมบอกตนอีก? ดูท่าทางเรื่องเกี่ยวกับจางรั่วถงคงมีความลับบางอย่าง
เย่เทียนเฉินดื่มเหล้าพลางเล่าเรื่องที่เขาไปยังพรรคสุสานโบราณในครั้งนี้ให้จางอีเต๋อฟัง ตั้งแต่พาตงฟางเมิ่งไปหาทางเข้าพรรคสุสานโบราณ จนสุดท้ายที่ฆ่าคนของพรรคท่องกระบี่ จากนั้นก็ถูกหลี่ชิงสุ่ยไล่สังหาร เล่าออกมาเป็นชุดๆ ในตอนที่เล่าถึงตอนที่ตนสาบานเป็นพี่น้องกับเถียนปอกวง จางอีเต๋อก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“ฮ่าๆ บนโลกใบนี้ คนที่กล้าสาบานเป็นพี่น้องกับเถียนปอกวง เกรงว่าจะมีแค่นายคนเดียวแล้ว คนปกติไม่มีความกล้าขนาดนั้นจริงๆ!” จางอีเต๋อพูดด้วยรอยยิ้ม
“ความจริงพี่เถียนไม่ได้เป็นแบบที่พวกคุณคิด จะพูดยังไงดีล่ะ? เขาเป็นที่แบ่งแยกความดีเลวชัดเจน ส่วนเรื่องมหาโจรชั่วช้าอะไรนั่น ผมว่าชื่อชั่วช้ายังเหมาะกับหลี่ชิงสุ่ยมากกว่าอีก!” เย่เทียนเฉินดื่มเหล้าไปอึกหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ถึงว่าทำไมนายถึงทะลวงขอบเขตไปถึงผู้มีพลังพิเศษระดับจักรพรรดิได้ หลังจากที่นายร่วมฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกกับตงฟางเมิ่ง ในร่างกายก็มีพลังฟ้าดินที่บริสุทธิ์ที่สุดเกิดขึ้น เดิมทีนายก็มีความสามารถอยู่ในระดับสูงสุดของผู้มีพลังพิเศษระดับจอมราชันอยู่แล้ว ที่ผ่านมานายกดข่มการทะลวงขอบเขตของตัวเองไว้ตลอด คงต้องการทำให้มันเสถียร ขณะเดียวกันบนโลกใบนี้ก็ไม่เหมาะสมกับเส้นทางการบ่มเพาะแล้ว นี่จึงเป็นข้อจำกัดความก้าวหน้าของนาย ในตอนที่สู้กับศิษย์ของพรรคท่องกระบี่ นายถึงกับกล้าเอาตัวเองไปทดลอง ใช้ปราณกระบี่ชั่วช้าแบบนั้นมากดดันร่างกายตัวเองเพื่อกระตุ้นศักยภาพที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายออกมาจนทะลวงไปถึงขอบเขตจักรพรรดิในรวดเดียว หากไม่ทำแบบนี้ เกรงว่าตอนนี้นายคงกลับมาไม่ได้แล้ว!” นับว่าจางอีเต๋อรู้สาเหตุที่เย่เทียนเฉินสามารถทะลวงไปยังขอบเขตผู้มีพลังพิเศษระดับจักรพรรดิแล้ว
จะอย่างไรผู้ที่เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะก็เป็นผู้ที่ฝืนชะตาฟ้าดิน หลายครั้งที่โอกาส ศักยภาพ และความกล้าหาญ เป็นตัวตัดสินว่าผู้ที่เดินบนเส้นทางการบ่มเพาะจะไปได้ไกลขนาดไหน ในตอนที่เย่เทียนเฉินทะลวงไปถึงขอบเขตผู้มีพลังพิเศษระดับจักรพรรดิเขามีสามสิ่งนี้ครบถ้วน จะไม่กลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิได้อย่างไร!
“นี่ปู่ ตอนนี้คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าร่างกายของรั่วถงเป็นยังไง?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามต่อไป