เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - บทที่ 482 จางอีเต๋อไม่ช่วยเย่เทียนเฉิน?
“คนหนุ่มหนอ คุณไม่รับฟังความเห็นของหมอเลยจริงๆ ผมเห็นว่าความสามารถของคุณไม่เลว ยังมีอนาคตให้พัฒนาได้ถึงได้เตือนคุณ แต่ในเมื่อคุณไม่ทุกข์ร้อน งั้นก็แล้วแต่ลิขิตฟ้าเถอะ!” จางอีเต๋อมองไปยังหวังเจี๋ยแล้วส่ายหน้าพูด
“หมอเทวดาจาง พี่ใหญ่ของผมหมดสติไปเก้าวันเก้าคืนแล้ว หวังว่าหมอเทวดาจางจะช่วยรักษา!” อู๋เสวี่ยพูดกับจางอีเต๋อด้วยความเคารพ
จางอีเต๋อมองไปยังอู๋เสวี่ยแต่ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาทำสมาธิต่อไป จะอย่างไรก็ไม่ยอมไปดูเย่เทียนเฉินแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่บอกว่าอาการบาดเจ็บของเย่เทียนเฉินจะรักษาให้หายดีได้หรือไม่ จะไม่ให้พวกอู๋เสวี่ยร้อนใจได้อย่างไร ต้องการสอบถาม จางอีเต๋อก็ไม่ยอมเอ่ยปาก ต้องการลงมือบีบบังคับ จางอีเต๋อก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสามารถเก่งกาจ จะเอาชนะเขาได้หรือไม่ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจรู้
ความร้อนใจที่ต้องรอคอยก็เป็นเช่นนี้เอง แต่ละคนล้วนมีความจนใจของตน ล้วนมีความรู้สึกไร้พลังของตน ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดไหน ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาขนาดไหน พวกเขาก็ล้วนมีช่วงเวลาที่ไม่อาจรับมือได้ แล้วคนธรรมดาและชาวบ้านทั่วไปล่ะ? ยกตัวอย่างเช่นในสังคมเมือง ต่อให้เป็นคนที่มีเงินมากขนาดไหนหรือเป็นคนที่มีตำแหน่งฐานะมากแค่ไหน ในตอนที่เห็นญาติมิตรตายไป ความรู้สึกสิ้นหวังไร้ทางช่วยและความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงไร้หนทางเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนรับมือได้ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น คุณทำได้เพียงมองครอบครัวค่อยๆ แก่ตาย วนเวียนอยู่ในการเกิดแก่เจ็บตาย สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือมองดูเขา มองดูเขาจากคุณไป มีฟากฟ้าขวางกั้น การร้องไห้ไม่ใช่วิธีการแสดงออกที่ดีที่สุดอีกต่อไป อารมณ์ลึกๆ ในใจคือความเจ็บปวดอย่างแท้จริง เจ็บปวดจนไม่สามารถบรรยายได้ด้วยคำพูด
หวังเจี๋ยมองจางอีเต๋อ จากนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าจางอีเต๋อ ชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า “ตาแก่จาง ผมเคารพคุณเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง คุณอย่ามาทำให้ผมโกรธ ตกลงคุณมีความสามารถรักษาพี่ใหญ่หรือเปล่า? ถ้าหากไม่มีผมคงทำได้แค่โยนคุณออกไปนอกคฤหาสน์ อยู่ที่นี่ก็ขวางหูขวางตา!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเจี๋ย เดิมทีอู๋เสวี่ยคิดจะหยุด แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร เขาไม่มีวิธีแล้ว ขอร้องก็ขอร้องแล้ว พูดดีๆ ด้วยก็แล้ว แต่จางอีเต๋อก็ยังไม่ยอมเคลื่อนไหว ยังคงนอนหลับตาทำสมาธิอยู่บนเก้าอี้เอนอยู่ตลอด คล้ายกับวางตัวอยู่ด้านนอกไม่เห็นเรื่องนี้เกี่ยวกับตัวเอง จะให้พวกอู๋เสวี่ยไม่ร้อนใจได้อย่างไร ผ่านไปเก้าวันเก้าคืนแล้ว พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะยังไม่ฟื้น ลมหายใจกลับอ่อนแอลงเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำอย่างไรดี? จางอีเต๋อมาถึงสองวันแล้ว เดิมทีทุกคนคิดว่าเย่เทียนเฉินมีทางช่วยแล้ว ทว่าตั้งแต่ที่ชายชราคนนี้มาถึงคฤหาสน์ก็ไม่เคยพูดว่าจะไปรักษาเย่เทียนเฉิน ทั้งยังไม่ไปดูเย่เทียนเฉินสักครั้ง ราวกับเขาไม่ได้มารักษาแต่มาเพื่อพักผ่อน ชายชราคนนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ทำให้คนอื่นมองไม่ออกเลยจริงๆ
“โยนผมออกไป? กลัวก็แต่ว่าคุณจะไม่มีความสามารถแบบนั้น!” จางอีเต๋อยิ้มเล็กน้อย กล่าวขึ้นโดยไม่แม้แต่จะมองหวังเจี๋ย
หวังเจี๋ยขมวดคิ้ว กัดฟันแน่น สะบัดฝ่ามือเป็นกรงเล็บมังกรโจมตีไปที่ไหล่ของจางอีเต๋อ อู๋เสวี่ย หลินตวน เปาเทียนหลง ชางหลางและเฮยเมี่ยนต่างจับจ้องภาพนี้ ความสามารถของหวังเจี๋ยไม่อ่อนแอเลย ไม่ว่าจะสู้กับใครในหมู่พวกเขาทั้งห้าก็สู้ได้ แต่ใครจะเก่งใครจะอ่อนก็ยังไม่รู้ เรื่องของการต่อสู้นั้น นอกจากความสามารถแล้วยังมีเรื่องของประสบการณ์และเวลากับสถานที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การโจมตีกรงเล็บมังกรของหวังเจี๋ยมีพลังมากเพียงพอที่จะบีบเหล็กจนป่นเป็นผง คว้าจับไปยังไหล่ของจางอีเต๋อโดยตรง
จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว ในตอนที่มือขวาของหวังเจี๋ยโจมตีคว้าจับไปที่ไหล่ของจางอีเต๋อ จางอีเต๋อก็พลิกตัวจากเก้าอี้เอนก่อนจะทะยานตัวขึ้นมา ชี้นิ้วโจมตีไปยังตำแหน่งกลางฝ่ามือขวาของหวังเจี๋ย หวังเจี๋ยพลันสัมผัสได้ถึงความชาบริเวณมือขวาของตน ตามมาด้วยความการสูญเสียความรู้สึกที่มือขวา ยิ่งไปกว่านั้นความชายังแผ่ขยายไปไม่หยุด พริบตาเดียวร่างกายซีกขวาก็ชาจนขยับไม่ได้ ทำให้หวังเจี๋ยตื่นตะลึงจนต้องขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าจางอีเต๋อจะร้ายกาจขนาดนี้
หวังเจี๋ยยังคงกัดฟันโจมตีจางอีเต๋อต่อไปโดยไม่สนใจว่าร่างกายซีกขวาจะชาไปทั้งซีกแล้ว เพียงแต่น่าเสียดาย เขาเพิ่งจะทะยานไปเบื้องหน้าสองก้าว มือขวาของจางอีเต๋อก็บีบลงที่ลำคอของเขา เพียงแค่ออกแรงเล็กน้อยหวังเจี๋ยก็คงสิ้นชีพ
หวังเจี๋ยแพ้แล้ว แพ้อย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แพ้อย่างว่องไวโดยสิ้นเชิง ทำให้พวกอู๋เสวี่ยที่เหลือทั้งห้าคนต่างรู้สึกตื่นตะลึงหาใดเปรียบ จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าหวังเจี๋ยจะแพ้เช่นนี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจางอีเต๋อได้เลย ชายชราที่ดูผิวเผินหนวดเคราขาวโพลนไปหมดถึงกับแข็งแรงเพียงนี้เชียว พริบตาเดียวก็จัดการหวังเจี๋ยจนอยู่หมัด ทำให้คนอื่นไม่กล้าเชื่อ ไม่อยากเชื่อว่าจางอีเต๋อที่เป็นชายชราอายุมากขนาดนี้ แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับรวดเร็ว กระบวนท่าของเขาไม่ได้ช้าไปกว่าหวังเจี๋ยเลย
“ผมแพ้แล้ว คุณฆ่าผมได้เลย แต่ผมไม่ยอมเชื่อฟังคุณแน่ เซียนแพทย์เทวะอะไรกัน เสียชื่อเสียงจริงๆ !” หวังเจี๋ยพูดอย่างไม่พอใจ
“เจ้าหนู อย่าได้บุ่มบ่ามแบบนี้ ความสามารถของคุณไม่ด้อยไปกว่าผม คุณแพ้เพราะความบุ่มบ่ามของตัวเอง ความบุ่มบ่ามก็เหมือนกับปีศาจร้าย!” จางอีเต๋อพูดด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
ความจริงแล้วความสามารถของจางอีเต๋ออาจพอๆ กับพวกอู๋เสวี่ย แต่อย่าได้ดูถูกเป็นอันขาด เดิมทีจางอีเต๋อเป็นผู้มีพลังพิเศษสายรักษา ซึ่งเดิมทีความสามารถของผู้มีพลังพิเศษสายรักษาจะอ่อนแอมาก แต่วิชาแพทย์กลับอันแข็งแกร่งนับเป็นพรสวรรค์ ในตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินก็เคยพบกับผู้มีพลังพิเศษสายรักษามาบ้าง ความสามารถส่วนตัวของพวกเขาไม่แข็งแกร่ง กระทั่งต้องให้คนอื่นคอยปกป้องด้วยซ้ำ
จางอีเต๋อเป็นผู้มีพลังพิเศษสายรักษาจึงมีขีดจำกัดด้านการบ่มเพาะ รวมกับที่โลกใบนี้ไม่เหมาะกับการบ่มเพาะนานแล้ว แต่จางอีเต๋อยังสามารถพัฒนาไปถึงขอบเขตผู้มีพลังพิเศษระดับจอมราชันได้ นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกนับถือมาก เป็นชายชราที่ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ
เดิมทีหวังเจี๋ยไม่ควรแพ้อย่างอนาถขนาดนั้น ความสามารถของเขาไม่ด้อยไปกว่าอู๋เสวี่ย มากพอที่จะสู้กับจางอีเต๋อ เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาบุ่มบ่ามเกินไป เขาดูถูกชายชราอายุมากคนนี้ คิดว่าถ้าตนใช้กระบวนท่ากรงเล็บมังกรโจมตีเต็มที่ จางอีเต๋อจะต้องหลบไม่ได้แน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่าจางอีเต๋อจะร้ายกาจขนาดนี้ ไม่เพียงแต่จะหลบกรงเล็บมังกรของตนได้ ทั้งยังโจมตีเขาจนพ่ายแพ้ในพริบตาอีกด้วย คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
ในหมู่ทุกคนที่นี่ คนที่เข้าใจสาเหตุมีเพียงจางอีเต๋อคนเดียว เขารู้ว่าความสามารถของหวังเจี๋ยไม่อ่อนแอ เดิมทีไม่ควรจะพ่ายแพ้ง่ายดายขนาดนี้ แต่เป็นเพราะเขาบุ่มบ่ามเกินไป เขาดูถูกตนเองเกินไปจึงถูกจางอีเต๋อถือโอกาสใช้นิ้วสกัดจุดชีพจรบนมือขวาของหวังเจี๋ย ส่งพลังพิเศษของผู้มีพลังพิเศษสายรักษาผ่านฝ่ามือเข้าไปในร่างกายของ ทำให้หวังเจี๋ยชาไปทั้งตัวจนไร้ความรู้สึก คิดจะโจมตีก็ไม่ได้แล้ว ความจริงขอเพียงหวังเจี๋ยสังเกตเล็กน้อยคงไม่ถูกจางอีเต๋อโจมตีไปกลางฝ่ามือขวาแน่นอน
“หมอเทวดาจางลงมือไว้ไมตรีด้วยครับ เป็นสหายคนนี้บุ่มบ่ามเกินไป หากล่วงเกินโปรดอภัยด้วย!” อู๋เสวี่ยรีบเดินเข้ามากล่าว
จางอีเต๋อไม่ได้ฆ่าอีกฝ่าย เขากับหวังเจี๋ยไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกัน และเขาก็เข้าใจความรู้สึกของหวังเจี๋ยดี เย่เทียนเฉินสลบไปเก้าวันเก้าคืนเป็นตายก็ยังไม่รู้ กลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ของพวกเขาเป็นเหมือนมังกรไร้หัว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าคนคงเอาใจออกห่างแล้ว
“ช่างเถอะ พวกคุณก็อย่ามารบกวนผมเลย ให้ผมนอนสักหน่อย!” จางอีเต๋อปล่อยมือจากคอของหวังเจี๋ยแล้วพูดขึ้น
“นี่…หมอเทวดาจาง อาการของพี่ใหญ่…” อู๋เสวี่ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
เมื่อได้ยินคำพูดของอู๋เสวี่ย จางอีเต๋อก็ไม่ได้สนใจ หลับตาลงหาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วหลับไปต่อหน้าต่อตาพวกอู๋เสวี่ย
“โธ่เว้ย ไอ้แก่นี่กวนโมโหจริงๆ รู้อย่างนี้ไม่ควรคาดหวังอะไรกับเซียนแพทย์เทวะตดหมาอะไรนี่เลย ไอ้แก่นี่แม่งไม่รักษาให้พี่ใหญ่แน่ พวกเราส่งเขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใหญ่เถอะ!” เปาเทียนหลงนับว่าเป็นคนสุขุมคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินสลบไสลไม่ได้สติ จางอีเต๋อก็มาถึงสองวันแล้วแต่ไม่ยอมไปตรวจดู ในใจก็รู้สึกไม่พอใจมาก
“ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่เหรอ? แกลืมคำพูดของพี่ใหญ่ไปแล้วหรือไง? พี่ใหญ่บอกว่าให้ส่งเขากลับไปที่ห้องแล้วจัดให้เขานั่งท่าขัดสมาธิ ถ้าหาจางอีเต๋อไม่เจอก็อย่าขยับเขา!” หลินตวนก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน
“หาจางอีเต๋อไม่พบก็อย่าขยับเขา แต่ตอนนี้ไอ้แก่นี่โผล่หัวออกมาเองแล้วแต่ไม่ยอมไปรักษาพี่ใหญ่ หรือพวกเราจะต้องรออยู่แบบนี้ต่อไป?” หวังเจี๋ยพูดอย่างดุดัน เนื่องจากเพิ่งแพ้จางอีเต๋อมา ในใจจึงไม่พอใจมาก
“พวกแกสามคนสงบกันหน่อยได้หรือเปล่า คิดหาวิธีอื่นเถอะ การเอาความหวังทั้งหมดไปวางไว้กับคนอื่นไม่สู้พยายามด้วยตัวเองหรอก!” ในที่สุดอู๋เสวี่ยก็ระเบิดโทสะ ตะโกนออกมาเสียงดัง
อู๋เสวี่ยตะโกนเช่นนี้ทำให้เปาเทียนหลง หลินตวนและหวังเจี๋ยต่างเงียบลงทันที จะอย่างไรความสามารถของอู๋เสวี่ยก็แข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความสามารถในการเป็นผู้นำสูง รวมกับตอนที่พี่ใหญ่เย่เทียนเฉินไม่อยู่หลายครั้งล้วนมีอู๋เสวี่ยเป็นผู้ดูแลกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ ซึ่งอู๋เสวี่ยก็ทำได้ไม่เลวจริงๆ ในใจของคนอื่นยังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง ทุกคนค่อนข้างเกรงใจ ดังนั้นในตอนที่เย่เทียนเฉินไม่อยู่นับว่าอู๋เสวี่ยเป็นหัวหน้า
“ไม่มีวิธีอะไรให้คิดแล้ว แม้แต่เซียนแพทย์เทวะอย่างจางอีเต๋อก็ไม่ยอมลงมือ ยังจะมีวิธีอะไรอีก?” ชางหลางส่ายหน้าพูด
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ความจริงชางหลางก็พูดได้มีเหตุผล บนโลกใบนี้ คนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งที่สุดเกรงว่าจะต้องนับรวมจางอีเต๋อผู้มีฉายาเซียนแพทย์เทวะเข้าไปด้วยแล้ว กระทั่งเขาก็ไม่ยอมลงมือช่วยเย่เทียนเฉิน จะยังหาคนอื่นไปอีกทำไม? ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจางอีเต๋อจึงไม่ยอมช่วยเย่เทียนเฉิน ถ้าพูดกันตามเหตุผล ชายชราคนนี้ควรจะอยากช่วยเย่เทียนเฉินมากที่สุดถึงจะถูก จะอย่างไรเย่เทียนเฉินก็มีวาสนาได้เกี่ยวข้องกับจางรั่วถงที่เป็นหลานสาวของเขา แต่นี่กลับตรงกันข้าม จางอีเต๋อไม่ยอมลงมือช่วยเย่เทียนเฉิน เอาแต่นอนบนเก้าอี้เอนอย่างเงียบงันมาแบบนี้สองวันสองคืนแล้ว ต่อให้หวังเจี๋ยจะตะโกนร้องด่าอย่างไร จะลงมือโจมตีอย่างไร เขาก็ไม่ไปดูสักครั้ง นี่เพราะอะไรกันแน่?
ตอนนี้เอง เสี้ยวหยาและฉีหรูเสวี่ยเดินเข้าไปในห้องนอนของเย่เทียนเฉิน ตอนนี้พวกเธอจับมือกัน มองไปยังพวกอู๋เสวี่ยแล้วพูดว่า “ให้พวกเราลองดูเถอะ ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องขอร้องจางอีเต๋อให้ช่วยเทียนเฉินให้ได้!”