เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 88 ชายคนนี้ไม่อาจหาเรื่องได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำให้ผู้คนตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เย่เทียนเฉินปล่อยหมัดไปในอากาศ แต่กลับต่อยถูกคนคนหนึ่งจนปลิวออกไปได้ นี่ช่างทำให้หลิ่วหรูเหมยที่เห็นชัดๆ ด้วยตาของตนเองถึงกับยืนอึ้งอยู่กับที่ ไม่รู้จะพูดอะไรดี หรือไม่ก็อยากจะพูดแต่ก็พูดอะไรไม่ออก
นี่เป็นฉากที่น่าเหลือเชื่อฉากหนึ่ง ถึงกับสามารถปล่อยหมัดใส่อากาศ กลับไปซัดโดนคนคนหนึ่งเข้าได้ คนคนนี้เป็นใคร มาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครมองเห็นเลยสักคน ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย หรือว่านี่คือมนุษย์ล่องหน?
“อย่าขยับมั่วๆสิ ฉันจะไปช่วยหย่งชุนไม่เอง” เย่เทียนเฉินพูดกับหลิ่วหรูเหมยประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงพุ่งไปทางฝั่งหย่งชุนไท่ หากว่าให้หย่งชุนไท่รับมือกับยอดฝีมือทั้งแปดตัวคนเดียวค่อนข้างจะกินแรงอยู่บ้างจริงๆ
“เย่เทียนเฉิน…” หลิ่วหรูเหมยได้สติกลับมาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไป
“หือ? มีอะไร?” เย่เทยนเฉินหันมาถาม
หลิ่วหรูเหมยชะงักอยู่กับที่ มองไปยังเย่เทียนเฉิน พลันนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี เมื่อสักครู่นี้ตนเองเพิ่งด่าผู้อื่นไป แต่ผ่านไปเพียงพริบตา เย่เทียนเฉินก็ลงมือช่วยชีวิตเธอ ทำให้เธอดูเหมือนจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง
“ระวังตัวด้วย” หยุดชะงักไปครึ่งวัน หลิ่วหรูเหมยเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงกล่าวคำเหล่านี้ออกมาเสียงแข็ง
“อย่าตกหลุมรักฉันซะล่ะ พวกเราสองคนไม่เหมาะสมกัน” เย่เทียนเฉินยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไปตายซะ!” หลิวหรูเหมยกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินพลางด่าออกไปอย่างโหดร้าย
เย่เทียนเฉินพยักหน้ายิ้มๆ เขาเพียงแค่อยากจะทำลายบรรยากาศอันเคร่งเครียดในตอนนี้ลงสักหน่อยก็เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่น จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปยังชายชุดดำที่ถูกตนเองอัดใส่กลางอากาศ
ความจริงแล้ว ตอนที่พวกแซนเบเกอร์ขับรถบัสพุ่งเข้ามา เย่เทียนเฉินก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังของพลังพิเศษสายหนึ่ง เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี ทำให้เขาหยุดคิดไม่ได้ สิ่งที่เขาสามารถแน่ใจได้ก็คือมีคนแอบเข้ามา เพียงแต่ใช้วิธีการใดก็ไม่อาจคิดออกได้ในเวลาเพียงชั่วครู่
ดังนั้น ตอนที่สิบปีศาจบุกทะลวงเข้ามา เย่เทียนเฉินจึงยังไม่ลงมือ ยังคงนอนกินผลไม้อย่างสบายใจบนเก้าอี้หวาย ความจริงเขาได้ขับเคลื่อนพลังพิเศษแห่งการรับรู้ไว้เรียบร้อยแล้ว และคอยสังเกตการเคลื่อนไหวทุกอย่างในคฤหาสน์ตระกูลหลิ่ว เขาเดาว่าจะต้องมีผู้มีพลังพิเศษแอบเข้ามาเพื่อรอเวลาทำการบางอย่าง และเป้าหมายก็คือหลิ่วหรูเหมย
ผู้ที่เป็นหัวใจสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลลับในครั้งนี้ก็คือหลิ่วหรูเหมย มีเพียงเธอที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่อีกฝ่ายนำมาได้ว่าเป็นของจริงหรือไม่ ดังนั้นเป้าหมายที่ศัตรูต้องการลงมือย่อมต้องเป็นหลิ่วหรูเหมยแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เสียงตะโกนฆ่าฟันรอบด้านจะดังเพียงใด เย่เทียนเฉินก็ยังคงนอนบนเก้าอี้หวายไม่เคลื่อนไหว ควบคุมพลังพิเศษแห่งการรับรู้อยู่เงียบๆ เพื่อสำรวจบริเวณรอบๆ ทั้งหมด กระทั่งหลิ่วหรูเหมยร้อนใจจนด่าว่าตนเองก็ยังคงไม่ลงมือ จนกระทั่งชั่วเวลาเมื่อสักครู่นี้ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานเบื้องหน้าหลิ่วหรูเหมย มีคนต้องการลงมือฆ่าเธอ ดังนั้นเขาจึงกระโดดจากเก้าอี้หวายแล้วปล่อยหมัดโจมตีออกไป
กล่าวได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่งยวด ความสามารถของผู้มีพลังพิเศษที่ลอบเข้ามาโจมตีผู้นั้นไม่อ่อนแอเลย เข้ามาถึงเบื้องหน้าของหลิ่วหรูเหมยอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง จากนั้นใช้กริชอันคมกริบเล่มหนึ่งแทงไปยังหัวใจของเธอ แต่ในช่วงที่ผู้มีพลังพิเศษคนนั้นกำลังยินดีก็ถูกเย่เทียนเฉินซัดเข้าที่หน้าอกจนกระเด็นออกไป สูญเสียการควบคุมและคุ้มครองจากพลังพิเศษและปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้า
ผู้มีพลังพิเศษที่ถูกเย่เทียนเฉินอัดปลิวคนนั้น เป็นชายชาวต่างชาติร่างเตี้ยที่ผอมบางคนหนึ่ง ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยชุดของผู้ทำงานสายมืด ดำมืดไปทั้งตัว กระทั่งดวงตาของเขาก็เป็นสีดำทั้งหมด ไม่มีลูกตาขาว ไม่ทราบว่าทำได้อย่างไร หลังจากที่ถูกเย่เทียนเฉินซัดจนกระเด็นตกไปไกลสิบกว่าเมตร ก็เพียงพอแล้วที่จะเห็นได้ถึงความแข็งแกร่งของหมัดของเขา ผู้มีพลังพิเศษคนนั้นพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นมา แต่กลับมีเลือดพุ่งออกมาจากปาก มองไปยังเย่เทียนเฉินด้วยความอาฆาต รู้สึกทั้งตกตะลึงและไม่ยินยอมพร้อมใจ
เย่เทียนเฉินเดินไปเบื้องหน้าของชายต่างชาติร่างเตี้ย เขาเดาได้บ้างแล้วว่าคนคนนี้อาจจะเป็นคนของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษที่มาเพื่อลอบโจมตีและสำรวจสถานการณ์
“ฉันถามอะไรแก แกก็ตอบมา จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” เย่เทียนเฉินกล่าว
“NO ไอ้หมูตะวันออก ครั้งนี้พวกแกต้องตายกันหมด” ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยตัวเล็กคนนั้นมองเย่เทียนเฉินอย่างโหดเหี้ยมชั่วร้ายพลางกล่าว
“อย่ามองฉันแบบนี้สิ สายตามันฆ่าคนไม่ได้หรอก…”
คำพูดเพิ่งออกจากปาก เย่เทียนเฉินก็ยกเท้าถีบลงไปยังมือซ้ายของเขา พลันนั้นก็เกิดเสียงเสียงดังขึ้น จนกระทั่งเย่เทียนเฉินยกเท้าออกไป มือซ้ายของเขาก็เหยียบจนใช้การไม่ได้ เลือดเนื้อผสมปนเปจนพร่ามัว ราวกับถูกเหยียบจนกลายเป็นแผ่นเนื้อเละๆ ก็มิปาน
“อ๊าก…มือฉัน…” ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยกรีดร้องออกมา มองไปยังมือของตนที่ถูกเย่เทียนเฉินเหยียบจนกระดูกแหลก เจ็บจนร้องออกมาอย่างไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
“ตอบคำถามฉันมาดีๆ จะดีที่สุดน่า…” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไปไม่ได้ พวกแกมันไอ้เชื้อโรคจากเอเชียตะวันออก ไม่มีทางรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้ตลอดกาล ไม่มีทางตลอดกาล…อ๊าก!”
ครั้งที่สอง เย่เทียนเฉินเหยียบมือขวาของผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยจนกระดูกแหลกเป็นผุยผง น่าสงสารผู้มีพลังพิเศษคนนั้นที่ต้องมาเจอกับเย่เทียนเฉิน คนคนนี้ยามได้เล่นสนุกก็เป็นดั่งอันธพาล ยามเข้มงวดก็เป็นดั่งมัจจุราช พอได้จริงจังขึ้นมาก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ จัดการคุณจนสาสม พูดมากก็ไม่ได้มีประโยชน์แม้แต่ครึ่งส่วน วิธีแห่งหมัดและเหล็กกล้าจึงจะเป็นเส้นทางของราชัน
ไม่รอให้ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยเล็กผู้คนร่ำไห้เสร็จ เย่เทียนเฉินก็ยกเท้าขวาขึ้น คราวนี้เป้าหมายอยู่ที่ศีรษะของเขา ความหมายก็ชัดเจนมาก หากว่ายังกล้าไม่ตอบคำถามตามจริง เท้านี้จะกระทืบลงไปที่หัวของเขาจนมีสภาพกลายเป็นดั่งแขนทั้งสอง น่าอนาถเกินทน มันสมองและเลือดสดๆ จะต้องกระจายออกมา
“ถ้ายังไม่พูดอีด ก็ไม่มีโอกาสแล้ว” เย่เทียนเฉินยังคงกล่าวกับผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยคนนั้นด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ ไม่ ผมพูด พูดแล้ว”
ในที่สุดผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยตัวเล็กก็หวาดกลัว แม้ว่าเขาจะไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่อยากให้หัวของตนถูกกระทบจนแตกกระจายดั่งแตงโม แบบนั้นมันจะอนาถเกินไปแล้ว เขาไม่มีวันคิดถึงเลยจริงๆ ว่าชายวัยรุ่นชาวตะวันออกตรงหน้า จะไม่เพียงแต่มีฝีมือแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทั้งยังนิยมิถีแห่งหมัดและเหล็กกล้า คืนนี้นับว่าเจอตอเข้าเสียแล้ว ต้องทุกข์ทนอย่างแสนสาหัส
“นี่สิถึงจะถูกต้อง ปกติแล้วฉันก็ไม่ได้ชอบเหยียบหัวผู้อื่นจนเละหรอกนะ แบบนั้นมันออกจะโหดร้ายไปหน่อย ใช่ไหม?”
เย่เทีนเฉินกล่าวพลางมองไปยังหย่งชุนไท่ที่กำลังหลั่งเลือดสู้รบอยู่ไม่ไกล อดไม่ได้ที่จะนับถือหญิงชราคนนี้ขึ้นมา อายุก็หกสิบกว่าแล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือจากพรรควรยุทธโบราณก็มีคนที่แข็งแกร่งเช่นเธอน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหัวกะทิทั้งแปดจากกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิต สิบปีศาจทั้งเจ็ดคน ยังสามารถต่อสู้ต่อไปได้ แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้างแต่ก็ไม่ร้ายแรงอะไร ไม่ถึงสิบนาทีก็โจมตีจนตายไปแล้วสาม ความสามารถเช่นนี้ แม้แต่เย่เทียนเฉินก็ต้องนับถือจากใจ
“แกเป็นคนของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษของประเทศM ใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่”
“รังของพวกแกอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ อยู่ใต้ดินของตึกโมเดิร์น” ผู้มีพลังพิเศษร่างเล็กไม่อยากพูด นี่ไม่ต่างกับการเปิดโปงฐานของหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษของประเทศM หากมีผู้แข็งแกร่งไปโจมตี จะทำให้พวกเขาต้องสูญเสียอย่างมหาศาล แต่ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชายผู้เป็นดั่งเทพแห่งความตาย เขาก็ไม่กล้าไม่พูดความจริง เมื่อสักครู่ที่เย่เทียนเฉินลงมือย่างโหดเหี้ยมก็ทำให้เขายอมสยบแล้ว
“ดีมาก ถ้าฉันเดาไม่ผิด แกเป็นผู้มีพลังพิเศษสายปิดซ่อนร่างกายสินะ” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ ไม่ผิด นาย นายรู้ได้ไง…” ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะมองออกว่าตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษ ทั้งยังรู้ว่าตนเองเป็นสายปิดซ่อนร่างกาย นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“นี่แกไม่จำเป็นต้องรู้ เดี๋ยวจะส่งแกไปสบายให้ก็แล้วกัน”
คำพูดของเย่เทียนเฉินเพิ่งออกจากปาก ผู้มีพลังพิเศษร่างเตี้ยคนนั้นก็รู้สึกว่าบริเวณหัวใจเกิดรูโหวงขึ้นรูหนึ่ง เขาถูกกริชในมือขวาของตนแทงจนทะลุ
เมื่อฆ่าผู้มีพลังพิเศษคนนี้แล้ว เย่เทียนเฉินก็เข้าใจข้อมูลข่าวสารต่างๆ มากขึ้น ดูท่าแล้วรัฐบาลประเทศM แม้จะว่าจ้างกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตมา แต่ก็ไม่เชื่อใจนัก หรืออาจกล่าวได้ว่าเพื่อไม่ให้มีข้อผิดพลาด จึงได้ออกคำสั่งไปยังหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษ
ตอนนี้หมัดทั้งสองของเย่เทียนเฉินกำแน่น กระตุ้นพลังการสู้รบในขอบเขตพลังพิเศษระดับจอมราชันออกมาจนถึงขีดสุด ก้าวเดินไปช้าๆ ทีละก้าวทีละก้าว ไปยังกลุ่มคนที่ล้อมโจมจีหย่งชุนไท่ ในขณะเดียวกันก็กล่าวเสียงดังด้วยความสนุกว่า “คนประเทศMอย่างพวกแกไม่ได้รับการสั่งสอนกันหรือ? ถึงกับลงไม้ลงมือรังแกคนแก่ ฉันจะลงทัณฑ์พวกแกแทนสวรรค์เอง”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูไม่น่าเชื่อถือของเย่เทียนเฉิน หลิ่วหรูเหมยก็มีเส้นขีดสีดำขึ้นเต็มหัว ความจริงเธอค่อนข้างนับถือนิสัยของคนคนนี้ ที่ดูราวกับว่าไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตขนาดไหน เขาก็สามารถทำเป็นเล่นได้ทั้งนั้น
เจ็ดปีศาจและแซนเบเกอร์ที่ล้อมโจมตีหย่งชุนไท่ มีหลายคนที่หยุดการโจมตีแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉิน เมื่อแซนเบเกอร์เห็นเย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหน้าชา กล่าวออกมาด้วยเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “ทะ ทำไมเป็นแก…”
“ทำไม่จะไม่ใช่ฉันล่ะ ตอนที่อยู่ที่ป่าหมอกดำแกวิ่งหนีไป คืนนี้ฉันจะขออะไรขากแกแค่อย่างเดียวก็พอ” เย่เทียนเฉินกล่าวกับแซนเบเกอร์ด้วยรอยยิ้ม
“ขออะไร?” หน้าผากของแซนเบเกอร์ปรากฏเหงื่อเย็นๆ ออกมาพลางกล่าวถามออกไปอย่างโง่งม
“ชีวิตแกไง!” ใบหน้าของเย่เทียนเฉินประดับไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอด แต่ยามเขากล่าวประโยคนี้ออกมา แซนเบเกอร์ก็หน้าซีดราวกับศพ
“มาให้ส่งวิญญาณอีกคนแล้ว พอดีเลย”
มีคนในสิบปีศาจอยู่ด้วย ทำให้ไม่เห็นเย่เทียนเฉินอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง กล่าวได้ว่าตอนนี้พวกเขามีกำลังเหนือกว่า คฤหาสน์ตระกูลหลิ่วถูกโจมตีในฉับพลัน นอกจากหลิวอวี่ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋น บอดี้การ์ดถือปืนคนอื่นๆ ล้วนแต่ไม่ใช่คู่มือของพวกเขา ทั้งหมดถูกพวกเขาฆ่าไปแล้ว เพียงแค่ต้องมาเจอหญิงชราที่แข็งแกร่งอยู่บ้างเท่านั้น แต่จะอย่างไรก็ไม่อาจขวางพวกเขาไว้ได้นาน ดังนั้นคนที่จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างเย่เทียนเฉิน ก็ไม่แยแสโดยสิ้นเชิง
ฟิ้ว!
มีคนพุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉิน ต้องการจะฆ่าเขาด้วยการโจมตีครั้งเดียว แซนเบเกอร์เห็นก็ตกใจแทบสิ้นสติรีบตะโกนออกมาว่า “กลับมา อย่าไปหาเรื่องเขา…”
เพียงแต่น่าเสียดาย คำพูดของแซนเบเกอร์ยังไม่ทันจบ คนที่พุ่งเข้าไปหาเย่เทียนเฉินก็ถูกหักคอไปเรียบร้อยแล้ว ตายราวกับสุนัขที่ถูกรถลาก ถูกเย่เทียนเฉินโยนลงไปที่พื้นอย่างไม่ใส่ใจ หวาดกลัวจนสองตาเบิกกว้าง จะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าตนเองที่เป็นหนึ่งในสิบปีศาจแห่งกลุ่มทหารรับจ้างมารโลหิตจะมิอาจรับการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียวเช่นนี้ กระทั่งถูกชายวัยรุ่ยชาวตะวันออกฆ่าตาย
……………………………………………………………