เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 86 ศัตรูมาหาถึงประตูแล้ว
“ฉันจะรอแกอยู่ข้างห้องฟิตเนส อย่าลืมเตรียมแว่นตากับผ้าปิดปากซะล่ะ เดี๋ยวจะไม่มีหน้าออกไปเจอผู้คน”
หลิวอวี่หัวเราะเสียงเย็น กล่าวกับเย่เทียนเฉินจบก็เดินออกไปจากห้องโถงด้วยตนเอง เดินมุ่งไปยังบริเวณด้านข้างของห้องฟิตเนสด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ จะอย่างไรเขาก็ไม่คิดว่าเด็กรุ่นหลังที่อายุไม่เกินยี่สิบปีคนหนึ่ง ต่อให้ฝีมือแข็งแกร่งกว่านี้ แล้วจะสามารถแข็งแกร่งแกว่าตนเองได้เชียวหรือ? ต่อให้เย่เทียนเฉินฆ่าร็อคกี้แบร์ ทำให้คนอื่นๆ ตกตะลึง แต่ในสายตาของหลิวอวี่ นั่นเป็นการลอบฆ่าและความโชคดีเท่านั้น
เย่เทียนเฉินรู้ดีว่าเหตุใดหลิวอวี่จึงยั่วยุตน นั่นก็เพราะเขาลำพองใจในตัวเอง คิดว่าตนเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดของคฤหาสน์จระกูลหลิ่ว ทั้งยังเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างสังหาร ถูกยกย่องว่าเป็นยอดฝีมือที่สามารถเป็นราชันนักรบคนที่สี่ของจีนได้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเย่เทียนเฉินไม่ฟังคำสั่ง ปฏิบัติกับเขาอย่างไม่แยแส ก็รู้สึกทนไม่ได้เป็นอย่างมาก อยากจะลงมือสั่งสอนสักหน่อย
เย่เทียนเฉินกัดน่องไก่ไปคำหนึ่ง นำกระดูกไก่ทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร แล้วจึงดื่มเหล้าแดงตรงหน้ารวดเดียวหมดแก้ว เรอออกมาอย่างสบายใจ จากนั้นจึงลุกขึ้น ในปากคาบบุหรี่มวนหนึ่งเดินมุ่งหน้าไปยังด้านข้างของห้องฟิตเนส ในเมื่อหลิวอวี่คนนี้ยั่วยุตน หากไม่ได้ตามต้องการก็ไม่ยอมหยุด เช่นนั้นยังจะมีอะไรต้องพูดอีก สู้กันสักตั้งก็แล้วกัน
เบื้องหน้าหลิวอวี่เดินเข้าไปข้างห้องฟิตเนส ด้านหลังเย่เทียนเฉินสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ปากคาบบุหรี่มวนหนึ่งเดินตามไป ยามนี้ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นมาเห็นฉากนี้เข้าพอดี ทั้งสองพลันคิดออกว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบตามไปเงียบๆ
แต่เมื่อเย่เทียนเฉินเดินเข้าไปในห้องฟิตเนส หลิวอวี่ก็ปิดประตู เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นจึงมิอาจมองเห็นสถานการณ์ภายในได้
“แม่งเอ๊ย มองไม่เห็น ไปเถอะ!” เฟยอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ
“อย่าเพิ่งสิ รอก่อน พวกเรารอดูกันเถอะว่าเย่เทียนเฉินจะถูกอัดจนเละขนาดไหน…” เจียงเหมิงหัวเราะอย่างชั่วร้ายพลางกล่าว
เฟยอวิ๋นพยักหน้า เดิมทีเขาก็อยากจะลงมือกับเย่เทียนเฉินเพื่อสั่งสอนที่มาดูหมิ่นกองทัพเหยี่ยว แต่หลิวอวี่ยอดฝีมือคนนี้ลงมือ ฝีมือของเขาแข็งแกร่งกว่าตนเอง ดังนั้นจะต้องสามารถอัดเย่เทียนเฉินจนโง่งมได้แน่นอน
“ดี พวกเรารออยู่ตรงนี้ พอถึงเวลาจะได้พูดฉีกหน้าเจ้าคนโอหังนี่สักหน่อย” เฟยอวิ๋นเปิดปากกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
เจียงเหมิงยิ้มอยู่กับเฟยอวิ๋นกันสองคน นั่งลงบนเก้าอี้เอนไม่ไกลเพื่อรอเย่เทียนเฉินถูกอัดจนโง่งม รอชมเรื่องน่าหัวเราะของเจ้าหมอนี่
ไม่ถึงห้านาที ประตูห้องฟิตเนสถูกเปิดออก เจียงเหมิงกับเฟยอวิ๋นรีบยืนขึ้นแล้วมองไป เห็นเพียงเย่เทียนเฉินยังคงไม่มีการบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ในปากคาบบุหรี่ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง เดินฮัมเพลงออกมา เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นเห็นดังนั้นก็อึ้งจนปากอ้าตาค้าง ตกใจจนคางแทบหลุด
“นี่…”
“เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าหลิวอวี่แพ้?”
เฟยอวิ๋นและเจียงเหมิงอดไม่ได้จะพึมพำกับตัวเอง จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ ฝีมือของหลิวอวี่ยังเหนือกว่าพวกเขา ถ้าหากกระทั่งเขายังไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน ก็อธิบายได้อย่างเดียวว่าความสามารถของเย่เทียนเฉินลึกล้ำเกินหยั่งถึงจริงๆ คำพูดของหัวหน้าเหยียนหลงเดาได้ไม่ผิดเลยจริงๆ
เย่เทียนเฉินที่รู้ว่าเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นกำลังรอดูเรื่องสนุกอยู่ ก็ไม่ได้สนใจพวกเขาสองคน กินดื่มจนอิ่มหนำ ทั้งยังได้ออกกำลังกายเล็กน้อย ตอนนี้รู้สึกง่วงแล้ว เตรียมจะไปพักผ่อนให้ดีๆ เสียหน่อย ตอนที่เกิดการซุ่มโจมตีเมื่อสักครู่เป็นการอุ่นเครื่อง การต่อสู้ตอนกลางคืนถึงจะเป็นการต่อสู้อันนองเลือดและยากลำบากอย่างแท้จริง
หลังจากที่เย่เทียนเฉินเดินไปไม่นาน ก็เห็นหลิวอวี่สวมแว่นตาและผ้าปิดปากเดินออกมาจากห้องฟิตเนสด้วยความโกรธจนกำหมัดทั้งสองแน่น จากไปด้วยร่างกายอันสั่นเทาเล็กน้อย
เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นชะงักไปชั่วครู่ ผลลัพท์เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าหลิวอวี่แพ้ คำพูดโหดร้ายต่างๆ นานาที่เขาพูด ทั้งหมดต่างประทับอยู่บนร่างกายของเขา เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าจินตนาการถึงก็คือ ด้วยความสามารถของหลิวอวี่ เวลาเพียงไม่ถึงห้านาทีก็ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนแพ้ ตกลงแล้วไอ้หนูนี่แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่?
เย่เทียนเฉินเดินเข้าไปยังห้องนอนที่เตรียมไว้ให้ตนเอง หาวครั้งหนึ่งแล้วจึงล้มตัวลงนอนบนเตียง ขยับข้อมือขวาของตนเองเบาๆ เมื่อสักครู่เขาก็ถูกหลิวอวี่ต่อยเข้าที่ไหล่ขวาเช่นกัน ก็เพราะจ่ายค่าตอบแทนเช่นนี้ออกไปถึงจะอัดหลิวอวี่จนจมูกเขียวหน้าบวมได้ ตาเขียวทั้งสองข้างตามที่เคยกล่าวไว้
นี่ทำให้เย่เทียนเฉินอยากสู้กับชางหลางมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเขาจะชนะหลิวอวี่แต่ก็อดหวั่นอยู่ในใจไม่ได้ หลิวอวี่ที่เคยได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถเป็นราชันนักรบคนที่สี่ของจีนได้ ย่อมไม่ได้ชื่อเสียงมาเสียเปล่า ภายในห้องฟิตเนส คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เย่เทียนเฉินนั้นเข้าใจกระจ่างเป็นอย่างมาก ตนเองใช้เวลาในการต่อสู้อย่างรวดเร็ว พอเริ่มลงมือก็สำแดงความสามารถของพลังพิเศษระดับจอมราชันออกมาและลงมือโจมตี ทั้งยังใช้เวลาไปห้านาทีถึงจะสามารถล้มหลิวอวี่ได้ แถมไหล่ขวายังถูกหลิวอวี่ซัดไปหนึ่งหมัด ดังนั้นความสามารถของหลิวอวี่ย่อมไม่อ่อนแอ กระทั่งเย่เทียนเฉินยังนับถืออยู่ในใจ
หลิวอวี่สวมแว่นกันแดดและผ้าปิดปาก ในใจทั้งโกรธทั้งอายถึงขีดสุด ตนเองพูดจาร้ายกาจกับเย่เทียนเฉิน บอกให้เขาเตรียมแว่นกันแดดและผ้าปิดปากไปให้ดี ตอนนี้ทั้งหมดถูกใช้กับตนเอง โกรธจนปอดแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
เมื่อสักครู่ตอนที่อยู่ในห้องฟิตเนส ตัวหลิวอวี่เองคิดจะสั่งสอนเย่เทียนเฉินให้หนักๆ สักหน่อย คิดว่าต่อให้เจ้าเด็กนี่จะร้ายกาจมากกว่านี้ก็ไม่ใช่คู่มือของตนเอง ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างมากขอแค่ตนเองลงมือเต็มที่ก็สามารถเก็บกวาดเย่เทียนเฉินได้แน่นอน ไหนเลยจะรู้ว่า พอเข้าไปในห้องฟิตเนส เจ้าเด็กเย่เทียนเฉินนี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้ามาหาตนเองราวสายฟ้าฟาด สองหมัดโจมตีมาไม่หยุด บีบให้เขาต้องถอยหลัง กระทั่งโอกาสที่จะโจมตีกลับก็ยังไม่มี
ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะต่อยโดนไหล่ของเย่เทียนเฉินอย่างเต็มกำลัง แต่ก็นี่ทำให้ตนเองถูกโจมตีติดๆ กันห้าหมัดจนจมูกเขียวหน้าบวมไปหมด หากไม่สวมแว่นกันแดดและผ้าปิดปากออกไปคงไม่มีหน้าไปพบผู้คน ย่ำแย่เป็นที่สุด
“แม่งเอ๊ย ไอ้เด็กนี่ลงมือหนักจริงๆ” หลิวอวี่คลึงสันจมูกของตนที่เกือบจะหักอยู่ร่อมร่อพลางกล่าวด่า
“พี่หลิว นี่…มันเกิดอะไรขึ้นครับ?” เฟยอวิ๋นเดินออกไปด้วยความตกตะลึง มองไปยังหลิวอวี่พลางกล่าวถาม
หลิวอวี่มองเฟยอวิ๋นครู่หนึ่ง รู้ดีว่าคนคนนี้เองก็อยากจะสั่งสอนเย่เทียนเฉิน จากนั้นจึงส่ายหัวและกล่าวทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวก่อนเดินจากไป
“ไอ้เด็กเย่เทียนเฉินแข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาด ฉันขอเตือนพวกนายว่าอย่าไปหาเรื่องเขาจะดีกว่า”
เฟยอวิ๋นยืนมองหลิวอวี่เดินจากไปด้วยความตะลึงงันอยู่ที่เดิม พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ตอนที่อยู่บนเครื่องบิน ตนเองโวยวายว่าจะสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ตอนนี้เห็นจุดจบของหลิวอวี่ที่ไปยั่วยุเย่เทียนเฉินแล้วจึงรู้ได้ว่าตนเองช่างคุยโวโอ้อวดเสียเหลือเกิน ทั้งยังประเมินความสามารถของเย่เทียนเฉินต่ำไปมาก ถ้าหากคนที่เข้าไปในห้องฟิตเนสคือเขาเองล่ะก็ เกรงว่าจะต้องคลานออกมาสิไม่ว่า
“ไปเถอะ ภารกิจของพวกเราคือคุ้มครองคุณหนูหลิ่ว ส่วนเย่เทียนเฉินคงต้องให้หัวหน้าลงมือด้วยตัวเอง” เจียงเหมิงกล่าวพลางตบบ่าเฟยอวิ๋น
เฟยอวิ๋นทำได้เพียงพยักหน้า เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เทียนเฉินโดยเด็ดขาด คำพูดที่พูดบนเฮลิคอปเตอร์เหล่านั้นล้วนแต่โอหังอวดดี หากว่าตอนนั้นเย่เทียนเฉินลงมือกับตน คงเละเป็นโจ๊กไปแล้ว
ตอนที่เย่เทียนเฉินตื่นฟ้าก็มืดแล้ว เขาเดินออกไปจากห้องนอน ไปยังบิรเวณบ่อน้ำใหญ่ของคฤหาสน์ เห็นว่าพวกหลิ่วหรูเหมย หย่งชุนไท่ เจียงเหมิง เฟยอวิ๋น และหลิวอวี่ที่สวมแว่นกันแดดและผ้าปิกปาก กำลังปรึกษากันอยู่ที่นี่นานแล้ว การแลกเปลี่ยนข้อมูลลับในคืนนี้อีกฝ่ายจะต้องส่งยอดฝีมือมาโจมตีแน่นอน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาแผนการรับมือที่แน่ใจว่าจะไม่พลาด
“ว้าว พี่หลิว เป็นอะไรไปน่ะครับ? เล่นเป็นหน้ากากโซโรเหรอครับ?” เย่เทียนเฉินจงใจเดินไปเบื้องหน้าหลิวอวี่แล้วแส้รงทำเป็นถามด้วยความประหลาดใจ
“แก…” หลิวอวี่โกรธจนปวดฟัน ไอ้เจ้าเย่เทียนเฉินนี่มันตั้งใจยั่วโมโหตนเองชัดๆ
“นี่ หลิ่วหรูเหมย นี่เป็นวิธีรับแขกของเธอเหรอ? มืดแล้ว ยังไม่เตรียมอาหารเย็นให้กินอีก?” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางมองหลิ่วหรูเหมยอย่างไม่สบอารมณ์
“นายเป็นตือโป๊ยก่ายกลับชาติมาเกิดรึไง อาหารกลางวันเต็มโต๊ะถูกนายกินหมดคนเดียว ไม่ท้องแตกตายก็บุญแล้ว” หลิ่วหรูเหมยใช้ดวงตาอันงดงามมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางกล่าว
“แค่อาหารเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นยังไม่พออุดฟันเลย อย่าบอกนะว่าตระกูลหลิ่วไม่มีปัญญาเลี้ยงอาหาร น่าขายหน้าเกินไปแล้ว” เย่เทียนเฉินพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม
“ฉันขี้เกียจสนใจนายแล้ว เฮอะ!” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนกระทืบเท้า เดินไปยังด้านหนึ่งโดยไม่สนใจเย่เทียนเฉิน
หย่งชุนไท่มองเย่เทียนเฉิน ในใจก็ยิ่งมองหนุ่มคนดีในแง่ดีมากยิ่งขึ้น การะประลองของหลิวอวี่และเย่เทียนเฉินนั้นเธอเองก็ทราบดี ทำให้ยิ่งเชื่อมั่นว่า หากต้องการสำเร็จภารกิจในครั้งนี้จะขาดเย่เทียนเฉินไปไม่ได้
“เทียนเฉิน ที่นี่มีผลไม้อยู่ เอาไปกินเถอะ เธอไม่ร่วมประชุมก็ช่างเถอะ ไปฟังพวกเราปรึกษาแผนการอยู่ข้างๆ ก็ได้” หย่งชุนไท่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับหย่งชุนไท่”
เย่เทียนเฉินรับจานผลไม้ที่หย่งชุนไท่ส่งมา หันไปทำหน้าทะเล้นใส่หลิ่วหรูเหมยครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปยังเก้าอี้หวายที่อยู่ไม่ไกล นอนเอนอย่างสบายอารมณ์พลางกินผลไม้อย่างพออกพอใจ
“เจ้าหมอนี่…” หลิ่วหรูเหมยโกรธจนกำมือแน่น หากไม่ใช่ว่าใกล้จะปฏิบัติการแล้ว ก็อยากจะอัดหมอนี่สักหลายหมัดจริงๆ
หลิวอวี่ เจียงหมิงและเฟยอิ๋น ทั้งสามแม้จะไม่พอใจกับท่าทีลอยชายของเย่เทียนเฉินเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปหาเรื่องอีก หลิวอวี่ถูกเย่เทียนเฉินอัดจนแพ้ เขาย่อมรู้ดีว่าเย่เทียนเฉินร้ายกาจขนาดไหน คนคนนี้ดูท่าทางลูกคุณหนู แต่ฝีมือกลับล้ำลึกเกินหยั่ง ส่วนเจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นยิ่งไม่กล้าไปหาเรื่องเข้าไปใหญ่ ขนาดหลิวอวี่ยังไม่ใช่คู่มือของเย่เทียนเฉิน หากพวกเขาเข้าไปยั่วโมโหไม่ใช่ว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?
“เอาล่ะ แผนการในครั้งนี้ก็คือ เจียงเหมิงและเฟยอวิ๋นอยู่ปกป้องคฤหาสน์ เพื่อป้องกันศัตรูมาลอบโจมตีที่นี่จนส่งผลให้พวกเราไม่มีที่ให้กลับ ฉันกับหลิวอวี่จะออกไปก่อนเพื่อเปิดทางพวกที่ซุ่มโจมตีด้านนอก ส่วนเย่เทียนเฉินก็พาคุณหนูไปยังสถานที่แลกเปลี่ยน” หย่งชุนไท่เปิดปากกล่าวอย่างจริงจัง
“แผนพวกนี้ไม่จำเป็นแล้วล่ะครับ เพราะผู้อื่นเขามาหาถึงประตูแล้ว!” เย่เทียนเฉินโยนองุ่นเม็ดหนึ่งเข้าปากแล้วกล่าวเรียบๆ
“เฮอะ คิดว่าตัวเองเป็นหมอดูผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ รึไง? ถ้ามีคนมาหาถึงที่พวกเราจะไม่รู้ได้ไง” เจียงเหมิงกล่าวเสียงเย็น
“อย่านึกว่าตนเองมีความสามารถแล้วจะมาอวดเบ่งอะไรก็ได้นะ” เฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่เชื่อ
หย่งชุนไท่ หลิ่วหรูเหมยและหลิวอวี่ ทั้งสามเองก็มองไปยังรอบๆ คฤหาสน์ด้วยความสงสัย สุดท้ายจึงมองไปยังเทียนเฉิน คิดว่าคนคนนี้เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก เนื่องจากทั้งนอกและในคฤหาสน์มีแต่ความเงียบสงัด เย่เทียนเฉินบอกว่าศัตรูมาหาถึงที่แล้ว ทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยแม้แต่น้อย?
“สาม…”
“สอง…”
“หนึ่ง…”
ตู้ม!
เย่เทียนเฉินนับถอยหลัง คำวาหนึ่งยังไม่ทันกล่าวจบก็เกิดเสียงดังสนั่น ประตูรั้วเหล็กของคฤหาสน์ตระกูลหลิ่วกระเด็นออกไป…
………………………………………………