เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 439 ขอบเขตจักรพรรดิปะทะเฮยเมี่ยน
เย่เทียนเฉินพยักหน้า มองไปยังสมาชิกของกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์ สีหน้าของทุกคนไม่เลวจริงๆ ดูแล้วช่วงที่ตนไม่อยู่พวกเขาคงจะตั้งใจบ่มเพาะ ตอนที่เขาไม่อยู่ คนที่รับผิดชอบกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์เป็นหลักก็คืออู๋เสวี่ยและหวังเจี๋ย พวกเขาสองคนเป็นผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม ขณะเดียวกันก็สามารถร่วมมือส่งเสริมกันได้ดี
ไม่จำเป็นต้องคิด ถึงแม้ดูผิวเผินเหมือนเย่เทียนเฉินจะสบายๆ ในทุกเรื่อง แต่ความจริงเขาใคร่ครวญมาแล้ว อู๋เสวี่ยมีฐานะเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของเมืองหลวง มีฝีมือแข็งแกร่งห้าวหาญเป็นอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีข้อสงสัยเลย เขาเป็นนักฆ่ามาหลายปี ทำการบ่มเพาะจิตใจให้มั่นคงและเย็นชามานานแล้ว เมื่อเกิดเรื่องอะไรก็จะไม่ตื่นตระหนก มีความสามารถในการนำกลุ่มที่ดี ส่วนหวังเจี๋ย ถึงแม้ฝีมือจะไม่อ่อนแอไปกว่าอู๋เสวี่ย แต่นิสัยของหมอนี่มุทะลุและชอบต่อยตี เป็นบุคคลผู้มีความสามารถในการรักษาความสงบ เป็นผู้มีความสามารถที่ห้าวหาญ มีพวกเขาสองคนคอยดูแลกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์นับเป็นการจัดการที่ดีที่สุดแล้ว
“อืม ช่วงที่ฉันไม่อยู่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินนั่งลงบนเก้าอี้ตรงกลาง มองไปยังกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
อู๋เสวี่ยมองไปยังเย่เทียนเฉินผู้เป็นพี่ใหญ่ เดินก้าวมาหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยปากรายงานว่า “พี่ใหญ่ สิบกว่าวันที่คุณไม่อยู่ พูดไปแล้วก็แปลกจริงๆ เมืองหลวงคลื่นลมสงบอย่างแปลกประหลาด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย พวกเราเตรียมตัวรับการต่อสู้กับคนจากสำนักโฮคุชินอิตโตริว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเข้ามาในเมืองหลวง!”
“งั้นทางด้านคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเจออะไรบ้างหรือเปล่า?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ไม่มีเหมือนกัน!” อู๋เสวี่ยส่ายหน้าตอบ
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปากแล้วพูดว่า “เตรียมตัวต่อสู้ครั้งใหญ่อยู่ตลอดล่ะ ยิ่งสงบก็ยิ่งเป็นสัญญาณว่าคลื่นลมครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง!”
“ครับพี่ใหญ่!” อู๋เสวี่ยเอ่ยตอบพลางพยักหน้า
หลังจากพี่น้องในกลุ่มสิบสามจ้าวสวรรค์จากไปแล้ว เย่เทียนเฉินก็นอนอยู่บนเก้าอี้เอนข้างสระว่ายน้ำเพียงลำพัง ใคร่ครวญถึงช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึง เขาได้ประสบการณ์มากมายจากพรรควรยุทธโบราณ แต่เรื่องชีวิตในเมืองก็ต้องจัดการให้ดี สำนักโฮคุชินอิตโตริวรับมือไม่ง่ายเลย ตนเองฆ่าซาโต้ไป จะต้องมีคนมาแก้แค้นแน่นอน ที่สำคัญก็คือคุณชายใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิงเป็นพวกอันตราย ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะไม่เคยพบคุณชายใหญ่มาก่อน และไม่เคยต่อสู้กับเขามาก่อน แต่ดูจากวิธีการกระทำเรื่องราวต่างๆ ของคนคนนี้และลูกน้องยอดฝีมือของเขา นับได้ว่าลึกล้ำไม่อาจหยั่งจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเห็นคุณชายใหญ่เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ลอบรู้สึกว่าช่วงเวลาที่คนทั้งสองจะได้ดวลกันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว
ฟิ้ว!
เงาคนร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์ของเย่เทียนเฉิน ฝีมือว่องไวเป็นอย่างมาก เพียงมองก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือชั้นสูง ไม่ใช่แข็งแกร่งธรรมดาๆ เย่เทียนเฉินสัมผัสได้ดี ความสามารถของเขาในตอนนี้ไปถึงขอบเขตพลังพิเศษในระดับจักรพรรดิแล้ว อีกทั้งยังมีกระบี่เทพบรรพกาลทั้งสามเล่ม ความสามารถไม่อาจเทียบได้กับเมื่อก่อนจริงๆ อย่างไรก็ตามเขากลับไม่ได้ลงมือเนื่องจากบรรยากาศอันแข็งแกร่งนั้นคุ้นเคยมาก คงจะเป็นคนรู้จัก
“เย่เทียนเฉิน ในที่สุดแกก็กลับมาแล้ว ท่านผู้นำต้องการพบ!” คนคนนั้นเดินมาด้านหลังเย่เทียนเฉิน พูดออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“คุณเป็นใคร? ชางหลางงั้นเหรอ? ฟ้าก็ยังไม่มืดเท่าไหร่ ทำไมถึงมองไม่เห็นล่ะ หรือคุณจะดำเกินไป?” เย่เทียนเฉินหันหัวไป แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไร
“แก…ไอ้หนู…ฉันคือเฮยเมี่ยน เฮยเมี่ยน!” เดิมทีคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่เทียนเฉินก็ไม่อยากสนใจเขานัก แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเย่เทียนเฉินก็รู้สึกโมโหขึ้นมาจนแทบจะกระทืบเท้า ตะโกนออกไปด้วยความโกรธ
ตอนนี้เฮยเมี่ยนรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ตนเองเป็นขุนพลในระดับทัพฟ้า เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศจีน ทุกเรื่องที่กระทำมีแต่เรื่องยิ่งใหญ่ เดิมทีก็มีลักษณะเคร่งขรึมและเยือกเย็นมาก ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับเย่เทียนเฉินลักษณะของเขาก็ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ขุนพลคนอื่นๆ เห็นเขาต่างก็เรียกเขาว่า “ทารกดำ” ถ้าเฮยเมี่ยนตอบรับ ในใจรู้สึกไม่พอใจ แต่จะไม่ตอบรับก็รู้สึกไม่ดี เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็อยากจะบีบคอเย่เทียนเฉินให้ตายไปซะ
“อ้อ ถึงว่า ผมถึงมองไม่เห็น!” เย่เทียนเฉินพูดอย่างเข้าใจกระจ่างแจ้ง
“แก…ยืนขึ้น ตามฉันไปพบท่านผู้นำ!” เฮยเมี่ยนโกรธจนปอดแทบระเบิด พยายามอดกลั้นความคิดที่อยากจะซัดหมัดเอาไว้
เย่เทียนเฉินหาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วจึงบิดขี้เกียจ มองไปยังเฮยเมี่ยนครั้ง จากนั้นจึงหมุนตัวนอนลงบนเก้าอี้เอนอย่างสบายอารมณ์ พูดอย่างเรียบเฉยว่า “ช่างมันเถอะ คุณก็ไม่ดูเวลาบ้าง ท่าทางคุณคงลำบากมาก ผมมีเหล้าดีๆ อยู่หลายขวด จะลองดูสักหน่อยไหม?”
“ลองอะไรของแก คนที่ท่านผู้นำอยากพบ ต่อให้เป็นตอนกลางคืนดึกดื่นแค่ไหนก็ต้องไป ตามฉันมาซะ!” เฮยเมี่ยนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนที่เขารำคาญเย่เทียนเฉินที่สุดก็คือไอ้หมอนี่ไม่มีระเบียบวินัยและการปฏิบัติตามกฎองค์กรเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาโกรธจริงๆ
“ไม่ไป!” เย่เทียนเฉินพูดสองคำนี้ออกมาอย่างเฉยเมย
“เย่เทียนเฉิน ฉันจะบอกแกตามตรง ฉันทนแกไม่ไหวแล้ว ไม่อยากเสียเวลาไปกับแกอีก ถ้าแกยังไม่ลุก ก็อย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจ…” เฮยเมี่ยนพูดอย่างดุดัน
“ถ้าคุณไม่เกรงใจก็ลองดูหน่อยเป็นไง?” เย่เทียนเฉินหันไปมองเฮยเมี่ยนแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เฮยเมี่ยนมองเย่เทียนเฉินครู่หนึ่ง ในดวงตาปรากฏเจตนาต่อสู้ออกมา ระหว่างเขากับเย่เทียนเฉินยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกัน การดวลหมัดครั้งที่แล้วของทั้งสองเฮยเมี่ยนแพ้อยู่เล็กน้อย นี่ทำให้ในใจของเขามีปมมาโดยตลอด รู้สึกไม่พอใจมาก อยากจะตัดสินแพ้ชนะกับเย่เทียนเฉินอย่างแท้จริงอีกครั้ง ตอนนี้เขาได้รับคำสั่งมาจากท่านผู้นำให้มาพาตัวเย่เทียนเฉินไป แต่ไอ้หมอนี่กลับไม่ไป ถ้างั้นก็เป็นการขัดคืนคำสั่ง ถ้าตนลงมือกับเขาก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ไม่ผิดกฎของขุนพลระดับทัพฟ้า
“ได้ นี่เป็นสิ่งที่แกพูดเอง พวกเราสู้กันมาหลายครั้งแต่ก็ยังตัดสินแพ้ชนะกันไม่ได้ วันนี้จะได้ทำให้ความปรารถนาในใจของฉันเป็นจริงสักที!” เฮยเมี่ยนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทำท่าทางเตรียมต่อสู้
ฟุ่บ!
เย่เทียนเฉินเองก็ทะยานขึ้นจากบนเก้าอี้เอนในเวลาเพียงชั่วพริบตา วินาทีที่ลงถึงพื้นก็หันไปมองเฮยเมี่ยน ในดวงตาเต็มไปด้วยความกระหายการต่อสู้ ความสามารถของเฮยเมี่ยนแข็งแกร่งมาก หากกระตุ้นพลังออกมาเต็มที่อาจจะเหนือกว่าชางหลางด้วยซ้ำ นี่ไม่ได้จะกล่าวว่าชางหลางจะไม่เหมาะกับฉายาหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน เพียงแต่จะอย่างไรชางหลางก็แก่แล้ว อายุ 40 กว่าปีแล้ว เทียบไม่ได้กับเฮยเมี่ยนที่เพิ่งจะอายุ 30 ปี สังขารร่างกายของมนุษย์จะแก่ลงเป็นเรื่องธรรมดา
หลังจากที่ขอบเขตความสามารถทะลวงไปถึงระดับจักรพรรดิ นอกจากจะสู้กับเสี้ยวหย่วนแล้ว เย่เทียนเฉินก็ได้สู้กับเสียม๋ออีกคนหนึ่ง เสี้ยวหย่วนพ่ายแพ้ สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะจิตใจของเขาแปรปวนไม่ใช่ตัวของตัวเอง ส่วนความสามารถของเสียม๋อก็แข็งแกร่งมาก เย่เทียนเฉินเอาชนะไม่ได้ ดังนั้นจึงคิดจะใช้ความสามารถของเฮยเมี่ยนมาสู้กันดีๆ สักครั้ง เพื่อจะได้ประเมินความสามารถของตนว่าอยู่ในระดับไหนกันแน่ เขาต้องการการต่อสู้ที่รุนแรงยิ่งขึ้นเพื่อมาทำความเข้าใจตนเอง นับว่าเย่เทียนเฉินเป็นคนที่มีแผนการและความคิดคนหนึ่ง
“หึ ฉันบอกแกได้เลย ก่อนหน้านี้หลายครั้งฉันมีภารกิจอยู่กับตัว ไม่สามารถสู้กับแกเต็มกำลังได้ ครั้งนี้ฉันจะต้องอัดแกให้เละแน่นอน!” เฮยเมี่ยนมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดันแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“งั้นเหรอ? งั้นผมก็จะบอกคุณสักหน่อย ผมในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว คุณระวังเถอะ ผมจะอัดคุณให้ตาเขียว!” เย่เทียนเฉินเองก็พูดอย่างเรียบเฉย
ต่อจากนั้นเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ทั้งสองต่างลอบโคจรพลังในร่างกายของตัวเอง พริบตานั้นเสื้อผ้าของพวกเขาโบกสะบัดทั้งๆ ที่ไม่มีลม กระทั่งน้ำในสระน้ำด้านข้างก็เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก ในใจของเย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจ เฮยเมี่ยนพูดไม่ผิดจริงๆ ที่ผ่านมาเขาไม่ได้ลงมือเต็มที่ นี่จะเป็นการต่อสู้เพื่อตัดสินแพ้ชนะของเย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยน
หลายคนอาจไม่รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าการลงมือเต็มที่ มันคือการที่คนคนหนึ่งต่อยหมัดออกไปด้วยพลังที่รุนแรงที่สุดหรือเปล่า? นี่เป็นความเข้าใจผิด ยอดฝีมือที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าลงมือเต็มที่ หากพูดกันตามปกติ ศักยภาพของคนคนหนึ่งสามารถพัฒนาได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ร้ายกาจขนาดไหนก็ยังสามารถพัฒนาศักยภาพของตนได้ เมื่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง สู้กันจนเลือดเดือดพล่าน พลังการต่อสู้ของคนคนนั้นจะเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดจนเพิ่มไม่ได้อีกต่อไป สามารถใช้พลังความสามารถที่ยามปกติใช้ไม่ได้ออกมาได้ นั่นถึงจะเรียกว่าการลงมือเต็มที่ ก็เหมือนกับการที่เย่เทียนเฉินบีบบังคับตัวเองในตอนที่อยู่ในสถานการณ์เป็นตาย จำเป็นจะต้องสู้ข้ามขอบเขตนั่น คือสภาวะลงมือเต็มที่ของเขา
ฟิ้ว!
ฟิ้ว!
เย่เทียนเฉินและเฮยเมี่ยนคล้ายกับจะหายไปจากบริเวณเดิมพร้อมกัน ระดับความเร็วของทั้งสองทะยานจนถึงขีดสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนกลางคืน คล้ายกับว่าทั้งสองคนจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น ในอากาศมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้นอย่างรุนแรง แต่ละครั้งก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับอากาศถูกสั่นสะเทือน ทุกเสียงที่ดังขึ้นทำให้หัวใจของคนต้องเต้นระรัว จินตนาการได้เลยว่าการปะทะกันในครั้งนี้จะรุนแรงแข็งแกร่งขนาดไหน
เสียงการต่อสู้ที่มองไม่เห็นตัวคนเช่นนี้ดำเนินไปเกือบ 5 นาที ก้อนหินที่อยู่ข้างสระน้ำกลายเป็นผุยผงไม่รู้มากน้อยแค่ไหนแล้ว น้ำในสระก็ถูกกระทบจนพุ่งขึ้นสูง พลังอันบริสุทธิ์นี้ปะทะเข้าด้วยกัน แข็งแกร่งมากจริงๆ
ตู้ม!
เสียงหนึ่งดังสนั่น คนที่ปรากฏตัวขึ้นภายใต้แสงจันทร์เป็นคนแรกก็คือเฮยเมี่ยน พบว่ามือทั้งสองของเขายื่นไปด้านหน้า ใบหน้าของเขาปรากฏสีแดง ฝ่ามือทั้งสองปะทะเข้ากับฝ่ามือของเย่เทียนเฉิน ถูกเย่เทียนเฉินผลักจนถอยหลังไปไม่หยุด ให้ความรู้สึกคล้ายกับจะหยุดไว้ไม่ได้ นี่ทำให้เฮยเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในกลุ่มขุนพลระดับทัพฟ้า ถึงแม้ความสามารถของตนจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดแต่ก็ไม่ได้อ่อนแอที่สุด กายเนื้อของเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากเทียบกับตอนที่ทั้งสองดวลหมัดกันครั้งที่แล้วยังแข็งแกร่งกว่ามาก คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันสิบกว่าวัน ความสามารถไอ้หนูนี่จะเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้
“ย้าก!”
เฮยเมี่ยนตะโกน ออกแรงที่ฝ่ามือทั้งสอง พลังภายในอันมหาศาลเอ่อล้นออกมาจากฝ่ามือ เขาต้องการกระแทกให้เย่เทียนเฉินกระเด็นออกไป แต่ดูเหมือนว่าเย่เทียนเฉินจะคาดเดาถึงจุดนี้ได้นานแล้วจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า
“ทารกดำ หน้าของคุณเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง ควรจะเรียกคุณว่าทารกแดงดีหรือเปล่า?”
………………………..