เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 261 จัดไปสักหลายดอก
ตอนนี้คนของพรรคคุณชายส่วนใหญ่มาจากลูกหลานนักการเมืองในสมัยก่อน ถึงแม้ช่วงสองปีนี้จะมีหญิงชายคนใหม่เข้าร่วมมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังรู้จักเย่เทียนเฉิน ต่อให้จะจำคนที่เคยเป็นคนไม่สำคัญนี้ได้ไม่เท่าไหร่ แต่หลังจากที่ได้ยินข่าวครึกโครมในเมืองหลวงระยะนี้ จะมากจะน้อยก็ยังให้ความสนใจ
คนที่สนใจเรื่องของเย่เทียนเฉินมากที่สุดในพรรคคุณชายจะเป็นใครไม่ได้นอกจากไป๋อู่ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขากับเย่เทียนเฉินเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อปีนั้นเรื่องที่เย่เทียนเฉินแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ ตัวเขาเองก็ไม่อาจสลัดเรื่องนี้พ้น
ความจริงต่อให้เย่เทียนเฉินกลับมาเมืองหลวงแล้ว ไป๋อู่ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด สาเหตุนั้นง่ายดายมาก นั่นเป็นเพราะเขาไป๋อู่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่ใช่ไป๋อู่ที่ถูกคนอื่นตบตีด่าทอแบบเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นนายท่านสองของพรรคคุณชายที่สูงส่ง ในด้านฐานะและตำแหน่งก็พัฒนาขึ้นมาก กล่าวคือ ต่อให้เย่เทียนเฉินคิดจะมาแก้แค้น คิดจะมาสู้กับไป๋อู่ในตอนนี้ ก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ เพียงแขนเดียวของไป๋อู่ก็สามารถกดให้เย่เทียนเฉินตายได้แล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่า หลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมาจากกองทัพ ทุกเรื่องที่กระทำจะสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นเรื่อยๆ แต่ละเรื่องยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ทั้งหลายในเมืองหลวงต้องตื่นตะลึง อดไม่ได้ที่จะตกใจจนต้องส่งคนไปตรวจสอบอย่างลับๆ ไม่รู้แน่ชัดว่าลูกหลานตระกูลเย่คนนี้ที่เคยเป็นตัวตลกของทั่วทั้งเมืองหลวง เป็นเศษสวะและลูกหลานไม่เอาไหนที่โด่งดัง มีการเปลี่ยนแปลงอะไรกันแน่
ตอนแรกไป๋อู่ก็ไม่ได้สนใจ ถึงอย่างไรเขาก็มีความกล้าหาญมากพอ ได้เป็นนายท่านสองของพรรคคุณชายมาสองปีกว่า ชี้นิ้วบงการประเทศ ทำให้เขาผงาดขึ้นมาอย่างช้าๆ ยิ่งไปกว่านั้นอำนาจของลูกพี่ใหญ่แห่งพรรคคุณชายที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้คนตกใจ เขาเองก็ได้รู้มาจากเส้นทางบางแห่งโดยบังเอิญเท่านั้น หลังจากที่ได้รู้แล้วก็ต้องตกใจจนสั่นไปทั้งตัว จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า คนแบบนี้จะเป็นลูกพี่ใหญ่ของพรรคคุณชาย ด้วยความสามารถของเขา เกรงว่าแค่การควบคุมก็คงยังไม่เพียงพอ
แต่หลังจากคืนนั้นที่เรียกได้ว่าเย่เทียนเฉินกำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่วไปแล้ว ไป๋อู่ก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา แม้ในฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่ไม่มีอำนาจและตระกูลใดคอยสนับสนุนอยู่อยู่เบื้องหลัง ไม่เพียงแต่จะสามารถกำจัดตระกูลฉินและตระกูลลั่วได้ อีกทั้งยังสามารถกดสองเรื่องนี้ให้เงียบไปได้อีกด้วย นี่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านจนต้องให้ความสำคัญ
พริบตาเดียวไป๋อู่ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา หลังจากที่เย่เทียนเฉินปลดประจำการกลับมาที่เมืองหลวง ก็เหมือนถอดเนื้อเปลี่ยนกระดูกอย่างไรอย่างนั้น มีแนวโน้มที่จะผงาดขึ้นมามาก ดูเหมือนว่าจะไม่มีเค้าของคนที่เคยเป็นคุณชายโง่งมไม่เอาไหนคนนั้นอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นผู้ชายที่เฉลียวฉลาดและทรงอำนาจเอาแต่ใจเป็นอย่างยิ่ง
เย่เทียนเฉินคงไม่ตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเมื่อปีนั้นหรอกใช่ไหม? คงจะไม่ตรวจสอบมาถึงตนใช่ไหม? ไป๋อู่ยังคงรู้สึกกังวล จะอย่างไรเย่เทียนเฉินในตอนนี้ก็ไม่เหมือนเย่เทียนเฉินเมื่อปีนั้น ไม่ใช่คนที่หลอกง่ายรังแกง่ายอีก ถึงแม้ในใจของไป๋อู่จะมีความกล้าและมีไพ่ตายอยู่บ้าง คิดว่าต่อให้เย่เทียนเฉินจะเปลี่ยนไปร้ายกาจขนาดไหนก็ไม่กล้ามาอะไรกับตนแน่ เพราะตอนนี้หากพูดถึงอำนาจของไป๋อู่ก็มากเพียงพอที่จะทำให้เย่เทียนเฉินหายไปในชั่วพริบตา เขาคิดว่าเย่เทียนเฉินจะต้องคิดถึงตรงนี้แน่นอน
“เย่เทียนเฉิน? ไอ้โง่ที่ออกมาจากตระกูลเย่คนนั้นน่ะเหรอ?” วัยรุ่นที่ถือแก้วเหล้าเอ่ยถามแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา
“เรื่องของไอ้หมอนี่ฉันเองก็เคยได้ยิน ฉันว่าคงจะอยู่ได้ไม่นานหรอก ก็แค่ไอ้โง่คนหนึ่งเท่านั้น”
“หรือว่าพี่อู่จะกังวลเรื่องไอ้หมอนี่? ไม่จริงน่ะ ก็แค่ขยะเท่านั้น”
“ให้ตายเถอะ พอคิดแล้วฉันก็โกรธขึ้นมา ไอ้โง่นี่ถึงกับไปแอบดูหลิ่วหรูเหมยอาบน้ำ อยากจะควักลูกตาของมันออกมาจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋อู่ ทายาทตระกูลใหญ่ที่อยู่รอบๆ ก็บ่นด่ากันออกมา แสดงท่าทางไม่พอใจและดูถูกอย่างยิ่งยวด ประการแรกเป็นเพราะเย่เทียนเฉินในสมัยก่อนก็เป็นแค่คนไร้ค่าที่ถูกรังแกก็เท่านั้น ประการที่สองเป็นเพราะหลายปีมานี้ตระกูลเย่ไม่มีทีท่าว่าจะผงาดขึ้นมาได้ กลับตกต่ำจนไม่อาจฟื้นคืน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีใครเห็นตระกูลเย่อยู่ในสายตาอีกด้วย ประการที่สามซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านี้ยโสโอหัง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบความลำบากอะไรมาก่อน และไม่มีใครกล้าทำอะไรพวกเขา ต่อให้ในหมู่คนเหล่านี้จะมีคนรู้ว่า ทุกการกระทำของเย่เทียนเฉินหลังจากกลับมาที่เมืองหลวง ไม่มีการกระทำไหนเลยที่ทำให้รู้สึกเหยียดหยามดูถูกก็ตาม แต่จะอย่างไรพวกเขาก็คิดว่าตัวเองใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน ลำพองใจในตัวเองจนถึงขั้นสุด
“ไม่ใช่ว่าฉันกังวล แต่กำลังคิดว่ามันจะกลับมาที่พรรคคุณชายของพวกเราหรือเปล่า!” ไป๋อู่พูดด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะบอกคนพวกนี้ว่าสิ่งที่เขากังวลจริงๆ คืออะไร นี่ไม่ใช่นิสัยของเขาไป๋อู่ เขาได้ตอนนี้พัฒนาขึ้นมามากแล้ว ความมั่นใจในตัวเองก็มีมากพอ และยังฉลาดลึกล้ำกว่าทายาทตระกูลใหญ่ที่โง่งมพวกนี้ด้วย
“ชิ ไอ้โง่นั่น ฉันจะลืมมันไปแล้วกัน!”
“ไม่ อาจจะมีโอกาสกลับมา แต่แบบนี้ก็แค่มีคนที่จะให้พวกเราเรียกใช้เพิ่มมาอีกคนก็เท่านั้น”
“ใช่แล้ว มีคนให้ด่าให้ว่าก็ดีไม่เลว!”
“ถ้าไอ้ขยะนี่ก็ปรากฏตัวออกมาต่อหน้าฉันล่ะก็ ฉันจะตบหน้ามันจนแม่มันจำไม่ได้เลย…” วัยรุ่นอายุสิบแปดสิเก้าปีคนนั้นยโสโอหังเป็นที่สุด และยังพูดออกมาด้วยเสียงดังที่สุดด้วย
ปัง!
เสียงหนึ่งดังสนั่น ในห้องส่วนตัวที่หรูหราที่สุดและใหญ่ที่สุดในชั้นสามแห่งนี้ และเป็นห้องที่มีเพียงคนของพรรคคุณชายถึงจะเข้ามาได้ ประตูใหญ่ของห้องถูกถีบจนกระเด็น มันไม่ได้ถูกถีบให้เปิดออกแต่ถูกถีบจนกระเด็นออกไปจนตกอยู่บนพื้น ทุกคนต่างตกตะลึง มองไปบริเวณประตูด้วยท่าทางอึ้งๆ พบว่ามีเงาร่างของคนสูงผอมคนหนึ่งปรากฏตัวบริเวณประตู มองมายังพวกเขาด้วยรอยยิ้ม มือทั้งสองล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ที่มุมปากคาบซิก้าเอาไว้มวนหนึ่ง ท่าทางผ่อนคลายและสบายอารมณ์เป็นอย่างมาก เหมือนกับมาเที่ยวเล่นอย่างไรอย่างนั้น
“แก…แกคือ…” ในหมู่พวกเขามีคนที่จำเย่เทียนเฉินได้ จึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นระริก
“สหายทุกคน ไม่ได้เจอกันนาน ฉันคิดถึงพวกนายจริงๆ กลับมานานขนาดนี้แล้วยังไม่ได้เจอหน้าเพื่อนๆ เลยสักครั้ง เป็นฉันที่ไม่ดีเอง!”
“แกเป็นใครถึงได้กล้ามาที่นี่? รีบไสหัวออกไปซะ ไม่งั้นก็ตาย!” วัยรุ่นอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีที่ดื่มเหล้าจนเมา ยังคงจำคนที่ยืนอยู่ตรงประตูไม่ได้ เอ่ยปากออกมาด้วยความยโสโอหัง
“ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีบางคนไม่ต้อนรับฉัน หรือว่าฉันจะมาผิดที่?” เย่เทียนเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาพูดพลางเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวสุดหรู แล้วนั่งลงบนโซฟา ระหว่างนั้นเขาปรายตามองไป๋อู่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ เท่านี้ก็เป็นการแสดงท่าทางของเขาได้แล้ว
“เย่เทียนเฉิน นายมาเที่ยวอะไร? อยากจะเที่ยวให้ตัวเองตาย อยากจะเที่ยวให้ตระกูลเย่ตายรึไง?” มีคนเอ่ยถามออกมาแล้วแค่นเสียงเย็น
“เที่ยวอะไร? อีกแปบพวกแกก็รู้เอง ตอนนี้เริ่มประชุมกันได้หรือยัง? ไม่ได้เข้าประชุมมาหลายปีแล้ว รู้สึกคิดถึงจริงๆ นายท่านรองไป๋อู่ แกว่าจริงไหม?” สุดท้ายเย่เทียนเฉินจึงมองไปยังไป๋อู่แล้วพูดขึ้น
ไป๋อู่ขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืนจากโซฟา มือสังหารชั้นยอดสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาคิดจะลงมือแต่กลับถูกไป๋อู่ยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด จากนั้นไป๋อู่ก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้ก็เป็นสหายเทียนเฉินนี่เอง ยินดีต้อนรับ!”
“ยินดีต้อนรับเหรอ? ทำไมฉันไม่รู้สึกเลย? ไม่เห็นมีเสียงตบมือสักนิด?” เย่เทียนเฉินนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
ในตอนนี้เอง เขาสัมผัสได้ว่าทายาทตระกูลใหญ่ที่ยโสโอหังกลุ่มนี้ ต่างโกรธเหมือนกับอยู่ในกองเพลิง จ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตาแดงก่ำ เกรงว่าที่นี่จะไม่เคยมีใครกล้ามาทำตัวกำเริบเสิบสานขนาดนี้มาก่อน ในสายตาของคนเหล่านี้ เย่เทียนเฉินก็เป็นแค่คนไร้ค่าคนหนึ่ง เป็นคนไร้ค่าที่จะด่าจะลงมือลงไม้ยังไงก็ได้เท่านั้น ตอนนี้ถึงกับกล้ามาวางท่าขนาดนี้ กล้าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ทายาทตระกูลใหญ่ที่ไม่ร่ำเรียนเหล่านี้ไหนเลยจะรับไหว โกรธจนอยากจะฆ่าเย่เทียนเฉินให้ตายไปซะเดี๋ยวนั้น
“เย่เทียนเฉิน แกยังอยากจะได้เสียงตบมืออีกหรือไง รนหาที่ตายใช่ไหม?”
“เชื่อไหมว่าบิดาจะจะทำให้แกอยู่ไม่สู้ตายตอนนี้เลย?”
“ก็แค่ไอ้สวะโง่เท่านั้น กล้ามาอวดเบ่งที่นี่อีก ไม่รู้จักที่ตายเลยจริงๆ”
ทุกคนตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ต่างรู้สึกไม่พอใจเย่เทียนเฉิน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครกล้ามาทำแบบนี้กับทายาทตระกูลใหญ่ของพรรคคุณชายอย่างพวกเขา ก่อนหน้านี้เย่เทียนเฉินก็เป็นแค่คนที่พวกเขาทำให้อับอายก็เท่านั้น ตอนนี้จะให้พวกเขายอมรับได้อย่างไรไหว?
ตอนนี้เอง วัยรุ่นที่ตะโกนด่าเสียงดังที่สุดและยโสที่สุด เดินถือแก้วเหล้ามาเบื้องหน้าเย่เทียนเฉิน พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เย่เทียนเฉิน บิดาจะนับถึงสาม รีบคุกเข่าโขกหัวให้บิดาซะ แบบนี้ฉันจะหักขาสุนัขทั้งสองข้างของแก แล้วโยนแกออกไปเท่านั้น ถ้าไม่งั้นตระกูลเย่ของแกทั้งหมดก็รอตายให้ฉันได้เลย!”
เย่เทียนเฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย มองไปยังวัยรุ่นอายุสิบแปดสิบเก้าปีคนนี้ คนคนนี้ยังพอจะอยู่ในความทรงจำของเขาบ้างเล็กน้อย ดูเหมือนจะชื่อหวังป๋ออะไรสักอย่าง พ่อของเขาเป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ ดูเหมือนจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในพรรคคุณชาย แต่ก็หยิ่งยโสที่สุดด้วย ยโสโอหังมาโดยตลอด คิดว่าบิดาเป็นใหญ่ในแผ่นดินอย่างไรอย่างนั้น
“อ้อ? งั้นก็ลองนับดูเป็นไง?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“แม่งเอ้ย แกรนหาที่ตายจริงๆ บิดาจะเล่นงานกันแน่ หนึ่ง…สอง…สาม…”
หวังป๋อมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน เขาไม่เชื่อว่าเย่เทียนเฉินจะพลิกฐานะอะไรขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่พรรคคุณชายเขาก็เคยสั่งสอนเย่เทียนเฉินบ่อยๆ เย่เทียนเฉินก็แค่ต้องทนรับเท่านั้น ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม หรือตอนนี้เศษสวะคนนี้จะกล้าต่อต้านตนขึ้นมา?
พลั่ก!
พลั่ก!
โครม!
ทุกคนมองได้ไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเย่เทียนเฉินลงมืออย่างไร จนกระทั่งพวกเขาได้สติกลับมา หวังป๋อก็ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเย่เทียนเฉินแล้วกรีดร้องออกมาอย่างอนาถเรียบร้อยแล้ว นั่งคุกเข่าทั้งสองอยู่กับพื้น มีรอยเลือดปรากฏออกมา ทั้งยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
“หึ พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรือไง คอยดูฉันแล้วกัน น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่พ่อแก…”
เพี๊ยะ! ตบหน้าหนึ่งครั้ง!
เพี๊ยะ! ตบหน้าสองครั้ง!
เพี๊ยะ! ตบหน้าสามครั้ง!
เพี๊ยะ…
เพี๊ยะ…
ไม่รู้ว่าตบหน้าไปแล้วกี่ครั้ง หวังป๋อที่ยโสโอหังจนทะลุฟ้าสลบลงไปกับพื้นนานแล้ว ใบหน้าที่ถูกเย่เทียนเฉินตบบิดเบี้ยวจนเปลี่ยนรูปร่างไป บนใบหน้าของเย่เทียนเฉินยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มไร้พิษภัยอยู่ตลอด ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตกตะลึงจนต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ ต่อให้พวกเขาจะโอหังและหยิ่งยโสขนาดไหน ก่อนหน้านี้จะดูถูกเย่เทียนเฉินขนาดไหน แต่ตอนนี้ก็ต้องรู้สึกเย็นสันหลังวาบ ไม่กล้าเอ่ยปากด่าออกมาอีก
………………