เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 149 ดีน้องสาวแกสิ!
“เห็นไหม น้องเสี้ยวหยามีมารยาทขนาดไหน ทำไมนายไม่เรียกฉันว่าพี่สาวอีกล่ะ?”
หลิงอวี่สวิ๋นมองเย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้นอย่างซุกซน เธออายุมากกว่าเย่เทียนเฉินหนึ่งปี เป็นนักศึกษาปีที่สองของมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว ดังนั้นย่อมมีคุณสมบัติที่จะให้เย่เทียนเฉินเรียกเธอว่าพี่สาว
“ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆ เธอเรียกฉันว่าพี่ชายนี่ ตอนนี้ทำไมไม่มีพี่มีน้องแล้ว อยากถูกตีก้นหรือไง?” เย่เทียนเฉินมองหลิงอวี่สวิ๋นแล้วพูดขึ้นอย่างหยอกล้อ
ในขณะที่พูด เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะมองก้นของหลิงอวี่สวิ๋น เธอสวมกางเกงยีนส์ที่ค่อนข้างรัดรูปตัวหนึ่ง ทำให้ก้นที่งอนงามอยู่แล้วยิ่งถูกขับให้โดดเด่นมากขึ้น เดิมทีเย่เทียนเฉินก็ชอบผู้หญิงก้นใหญ่อยู่แล้ว เมื่อเห็นรูปร่างเช่นนั้นก็มีอารมณ์เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นก้นใหญ่ๆ สามารถให้กำเนิดลูกชายได้!
“ไอ้บ้า ถ้ากล้าพูดจามั่วซั่วอีก ฉันจะอัดนายจริงๆ ด้วย! ” เธอพูด ใบหน้าของหลิงอวี่สวิ๋นอดไม่ได้ที่จะแดงระเรื่อ ถลึงดวงตาสวยๆ ของเธอใส่เย่เทียนเฉินแล้วจึงยู่ปากเล็กๆ อันเซ็กซี่
“ได้ ถือว่าฉันกลัวเธอก็แล้วกัน!”
เย่เทียนเฉินจำหลิงอวี่สวิ๋นซึ่งเป็นคู่หูที่เล่นกันตอนเด็กๆ คนนี้ได้แล้ว ในใจก็รู้สึกยินดีมาก คิดถึงเรื่องตอนเด็กๆ ได้มากมาย ในตอนนั้นเขาเคยฉี่รดที่นอน เลยถูกหลิงอวี่สวิ๋นเรียกว่าไอ้เย่ฉี่รดที่นอน ส่วนหลิงอวี่สวิ๋น เพราะว่าตอนเด็กๆ เป็นหวัดบ่อยๆ เลยมันจะมีน้ำมูกไหล จึงถูกเย่เทียนเฉินตั้งฉายาให้ว่ายัยหลิงขี้มูกโป่ง ในตอนเด็กๆทั้งสองคนมักจะเล่นพ่อแม่ลูกด้วยกันอย่างมีความสุขเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ก็อายุยี่สิบปีไปแล้ว ทั้งสองล้วนเติบโตแล้ว แต่ความรู้สึกสนิทสนมในใจ ไม่ได้ลดลงเลย ยังคงมีความรู้สึกบริสุทธิ์เหมือนตอนเด็กอยู่
“รู้จักกลัวก็ดีแล้ว งั้นกลางวันนี้ก็เลี้ยงข้าวฉันกับหยาเอ๋อร์แล้วกัน ถือว่านายชดใช้คำขอโทษให้ฉัน!” หลิงอวี่สวิ๋นไม่เห็นเย่เทียนเฉินเป็นคนอื่นเลยสักนิด เดิมทีเมื่อก่อนความสัมพันธ์ของตระกูลหลิงและตระกูลเย่ก็ไม่เลว รวมกับความสนิทสนมในตอนเด็กของพวกเขาทั้งสอง แม้ว่าจะไม่ได้พบกันนานแล้ว แต่ความรู้สึกเหินห่างสักนิดก็ไม่มี
“ไม่เอาน่า? เลี้ยงข้าวเหรอ? ฉันจนมาก!” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะอ้าปากกว้างพูดจาด้วยท่าทางเกินจริง ท่าทางแบบนั้นราวกับจะสื่อว่า ถ้าให้เขาเลี้ยงข้าวก็เหมือนต้องการให้เขาตายอย่างไรอย่างนั้น
“ทำไม ได้เลี้ยงข้าวสาวสวยสุดยอดอย่างพวกเราทั้งสองคนก็เป็นบุญของนายแล้ว นายถึงกับทำท่าทางไม่เต็มใจแบบนี้ออกมา ฉันสบประมาทนายเกินไปแล้วจริงๆ!”หลิงอวี่สวิ๋นพูดแล้วมองเย่เทียนเฉินอย่างจนใจ
จะอย่างไรหลิงอวี่สวิ๋นก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินที่ตอนเด็กๆ ขี้เหนียวมาก ตอนนั้นขนาดอมยิ้มราคาห้าเจี่ยวก็ไม่เต็มใจจะเลี้ยงตน ตอนนี้ผ่านไปหลายปีมากแล้ว ถึงกับยังคงความขี้เหนียวแบบนั้นเอาไว้ ไม่รู้จริงๆ ว่าวันหน้าเจ้าหมอนี่จะมีแฟนได้อย่างไร
เมื่อเจอกับเพื่อนสมัยเด็ก เย่เทียนเฉินก็ไม่มีอารมณ์แล้ว รวมกับที่เสี้ยวหยาซึ่งคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่ตนมีความรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลกอยู่ตรงหน้า เย่เทียนเฉินจึงรู้สึกไม่ดีที่จะขี้เหนียวจนเกินไป จึงคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นก็ได้ ฉันเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวพวกเธอก็แล้วกัน!”
“อะไรนะ? พวกเราพวกเราไม่ได้เจอกันนานกี่ปีแล้ว? สิบกว่าปีได้ ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้นายยังจะเลี้ยงแค่ก๋วยเตี๋ยวถ้วยเดียวอีกเหรอ? แล้วน้องหยาเอ๋อร์ก็น่ารักบริสุทธิ์ขนาดนี้ นายจะอดใจปล่อยให้เธอท้องหิวตอนกลางคืนได้เหรอไง? เย่เทียนเฉิน นายจะขี้เหนียวเกินไปแล้ว ไอ้ขี้งก” หลิงอวี่สวิ๋นพูด รู้สึกแทบจะหมดอาลัยตายอยาก
แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นผู้ชายขี้เหนียวแบบเย่เทียนเฉินมาก่อน โดยเฉพาะหลิงอวี่สวิ๋นที่นับได้ว่าเป็นดาวของมหาวิทยาลัยหลงเถิง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับเลือกให้เป็นดาวมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ผู้ชายที่ตามจีบก็สามารถรวมตัวกันได้เป็นกองร้อยใหญ่ๆ ไม่ทราบว่ามีผู้ชายกี่คนที่คิดอยากจะเลี้ยงข้าวเธอ แต่ก็ถูกปฏิเสธไปทั้งหมด เย่เทียนเฉินคนนี้ ตนเองเอ่ยปากขอให้เขาเลี้ยงข้าว ถึงกับชะงักไปครึ่งวันแล้วค่อยบอกว่าจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว ช่างทำให้หมดอาลัยตายอยากจริงๆ
หากว่าสักวันหนึ่งซูเฟยเฟยเจอกับหลิงอวี่สวิ๋นและได้พูดคุยกันถึงเรื่องที่ให้เย่เทียนเฉินเลี้ยงข้าว เชื่อว่าท่าทางของสาวงามทั้งสองจะต้องทำให้คนอื่นตกใจแน่นอน สถานการณ์เช่นนั้นจะต้องน่าสนุกมาก คาดหวังจริงๆ
“งั้น งั้นเธอบอกมาว่าจะกินอะไร ฉันจะทำใจเลี้ยงพวกเธอสักมื้อ!” เย่เทียนเฉินถูกหลิงอวี่สวิ๋นพูดใส่เช่นนี้ต่อหน้าเสี้ยวหยาก็รู้สึกว่าขายหน้าอยู่บ้าง จึงกัดฟันพูดออกมาอย่างใจกว้าง
กินอาหารทะเล ฉันรู้มาว่าด้านนอกมีร้านอาหารทะเลที่ไม่เลวอยู่ร้านหนึ่ง วันนี้ตอนเที่ยงพวกเราไปกินที่นั่นกันเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นเอ่ยปาก”
“ได้ งั้นฉันช่วยหยาเอ๋อร์ลากกระเป๋าเดินทางขึ้นไปก่อน เธอก็รอพวกเราอยู่ข้างล่างแล้วกัน!” เย่เทียนเฉินเปิดปากพูด
“ไม่ต้องหรอก นายวางไว้หน้าประตูหอพักหญิงก็พอแล้ว จะมีคุณน้าผู้จัดการโดยเฉพาะรับผิดชอบยกขึ้นไปให้ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ!” หลิงอวี่สวิ๋นยิ้มอย่างน่ารัก ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจนิสัยของเย่เทียนเฉินเป็นอย่างดี จึงกลัวว่าคนคนนี้จะเปลี่ยนใจทีหลัง
“งั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันกลับมา พวกเธอรอสักครู่!”
เย่เทียนเฉินรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก การได้เจอหลิงอวี่สวิ๋นที่เป็นเพื่อนในวัยเด็ก เดิมทีก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะรู้ว่าพูดจากันแค่ไม่กี่ประโยคก็ถูกหลอกกินเสียแล้ว แล้วยังเป็นต่อหน้าเสี้ยวหยาอีก หากเป็นผู้หญิงคนอื่น ต่อให้สวยขนาดไหนเย่เทียนเฉินก็จะไม่ใจกว้างอย่างแน่นอน ขนาดผู้หญิงที่สวยมากอย่างซูเฟยเฟยก็ยังถูกเย่เทียนเฉินเลี้ยงวุ้นเส้นต้มยำ คนๆ นี้ยังมีเรื่องขี้งกอะไรที่ทำไม่ได้อีกบ้าง
แต่ว่าเสี้ยวหยามีความคล้ายคลึงกับผู้หญิงที่เย่เทียนเฉินรักอย่างลึกซึ้งในช่วงยุคสิ้นโลก อีกทั้งในช่วงยุคสิ้นโลกผู้หญิงที่เขารักอย่างลึกซึ้งได้ตายไปแล้ว นี่ได้กลายเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเขา ดังนั้นเมื่อเสี้ยวหยาปรากฏตัว จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ประเภทวีรบุรุษช่วยสาวงามอะไร แต่เป็นความรักอย่างหนึ่ง เป็นการสะท้อนและการแสดงออกให้เห็นถึงความรักอันเป็นนิรันดร์
ห้านาทีต่อมา เมื่อเย่เทียนเฉินกลับมาที่ถนนใหญ่ของมหาวิทยาลัยแล้ว จึงพบว่าหลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยากำลังพูดคุยกันอย่างออกรส อาจจะเป็นสาเหตุของสาวงามก็เป็นได้ ระหว่างสาวงามมักจะมีความเห็นที่ค่อนข้างตรงกัน เมื่อเห็นเย่ทียนเฉินเดินเข้ามาก็พากันมองมาที่เขา
“ทำไม? ไม่เจอกันห้านาทีก็รู้สึกฉันหล่อขึ้นใช่ไหม?” เย่เทียนเฉินหัวเราะฮี่ๆ แล้วเอ่ยถาม
“พวกเรากำลังคุยกันถึงคนขี้เหนียวคนหนึ่งน่ะ!”หลิงอวี่สวิ๋นแลบลิ้นใส่เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ไปเถอะ เลี้ยงอาหารทะเลเธอแล้วคราวหน้าก็อย่าหาว่าฉันขี้งกอีกล่ะ!” เย่เทียนเฉินมองไปยังหลิงอวี่สวิ๋นอย่างจนใจแล้วพูดขึ้น
เย่เทียนเฉินเดินอยู่ด้านซ้ายสุด เสี้ยวหยาอยู่ตรงกลาง หลิงอวี่สวิ๋นเดินทางด้านขวา ในตอนที่สาวงามทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ต่างก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจเป็นระยะๆ ส่วนเย่เทียนเฉิน ก็ทำเพียงยืนอยู่ข้างๆ
ไหนเลยจะรู้ว่า เพิ่งจะเดินไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว ก็เจอกับนักศึกษาชายสามคนเดินมา คนที่เดินอยู่ตรงกลางสวมสูททั้งตัว นักศึกษาชายอีกสองคนที่ยืนอยู่สองข้างสวมชุดสีขาวทั้งตัว คาดเข็มขัดผ้าสีดำ บนเสื้อยังปักคำว่าเทควันโดเอาไว้
“แกก็คือเย่เทียนเฉิน?” นักศึกษาชายสวมสูทที่อยู่ตรงกลางมองเย่เทียนเฉินอย่างวางมาดแล้วเอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอ?” เย่เทียนเฉินรู้สึกได้ว่าผู้ที่มาไม่ได้มาดี จึงถามออกไปเรียบๆ
“ดี เป็นแกที่ทำร้ายคุณชายน้อยเซวียนเยวี๋ยนอวี่?” นักศึกษาชายที่สวมสูทสีดำพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“เซวียนเยวี๋ยนอวี่เป็นใคร? ฉันรู้แค่ว่าฉันสั่งสอนเดรัจฉานน้อยตัวหนึ่งที่ไม่มีคนสั่งสอนที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยก็เท่านั้น!”
“ดี ดีมาก แกยอมรับก็ดีแล้ว กลัวก็แต่ว่าแกจะไม่ยอมรับ!”
นักศึกษาชายสวมสูทดำคนนี้ พาคนที่ฝึกวิชาเทควันโด้มาด้วยสองคน เห็นได้ชัดว่าต้องการสั่งสอนเย่เทียนเฉิน ช่วยกู้หย้าเซวียนเยวี๋ยนอวี่ แต่เย่เทียนเฉินไม่เก็บเรื่องของเขามาใส่ใจ ชายทั้งคนนี้ ตนเองสามารถเตะกระเด็นไปได้ด้วยการเตะแค่สามครั้ง
“หลี่อี้ นายคิดจะทำอะไร?” ตอนนี้ หลิงอวี่สวิ๋นเดินออกมาพูดกับนักศึกษาชายสวมสูทดำคนนั้นเสียงดุ
“หลิงอวี่สวิ๋น ฉันขอเตือนเธอว่าอย่าสอดดีจะกว่า ยอมเป็นแฟนของคุณชายเซวียนเยวี๋ยนเถิงของพวกเราดีๆ ไปก็พอแล้ว ไม่งั้นพอถึงเวลาแล้วพัวพันไปถึงเธอ ฉันก็ไม่รับผิดชอบ ถึงแม้ว่าคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนอวี่จะตามจีบเธอมาตลอด แต่ครั้งนี้ไอ้ลูกเต่าเย่เทียนเฉินทำร้ายน้องชายของเขา ใครก็ปกป้องเย่เทียนเฉินไม่ได้ มันจะต้องตายอย่างแน่นอน!” หลี่อี้มองเย่เทียนเฉินยังไม่แยแสพลางกล่าว
“นาย…ระวังว่าฉันจะบอกเซวียนเยวี๋ยนเถิง ถึงตอนนั้นชีวิตของแกก็ไม่ดีแล้ว!” หลิงอวี่สวิ๋นเปิดปากพูด
“งั้นเหรอ? หลิงอวี่สวิ๋น เธอยังไม่ได้เป็นแฟนของคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงเลย ไม่ใช่ว่าเธอไม่ตอบรับมาตลอดหรอกเหรอ? หรือว่าเธอยินดีตอบรับเพื่อไอ้หมอนี่?” หลี่อี้พูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
หลิงอวี่สวิ๋นมองหลี่อี้ แล้วรีบดึงเย่เทียนเฉินไปด้านหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “นายรีบไปเถอะ ฉันจะขวางพวกเขาไว้ให้ หลี่อี้เป็นคนของเซวียนเยวี๋ยนเถิง จะต้องมาหาเรื่องนายแน่ เรื่องที่นายทำร้ายเซวียนเยวี๋ยนอวี่ดังไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัยหลงเถิงแล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงเพื่อที่จะกู้หน้า จะต้องไม่ปล่อยนายไปแน่ รีบไปเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าเพื่อนสมัยเด็กคนนี้มีคุณธรรมน้ำใจ เย่เทียนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเบาๆ ส่ายหน้าแล้วเดินไปเบื้องหน้าหลี่อี้ กล่าวว่า “เซวียนเยวี๋ยนเถิงอยู่ที่ไหน?”
“หึ คุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงวันนี้มีธุระ มาไม่ได้ หากว่าแกอยากจะไปคุกเข่าขอโทษกับเขาแล้วล่ะก็ คงจะไม่มีโอกาสแล้ว!” หลี้อี้คิดว่าเย่เทียนเฉินกลัว จึงแค่นเสียงเย็นออกมา แล้วพูดจาโอหังมากยิ่งขึ้น
“อ๋อ งั้นแกก็โทรหาเขาสิ บอกเขาว่าวันนี้น้องชายเขาทำให้มือของฉันสกปรก ให้เขามาเลี้ยงข้าวฉันซะ ก็จะถือว่าเป็นของขวัญชดเชยแทนคำขอโทษแล้ว ส่วนเรื่องคุกเข่าขอร้องน่ะ ฉันจะลองพิจารณยกโทษให้เขาดู!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ
ใครก็คิดไม่ถึงว่า เย่เทียนเฉินจะถึงกับพูดประโยคนี้ออกมา หลิงอวี่สวิ๋นและเสี้ยวหยาได้ยินก็ตกตะลึง ถึงกับต้องการให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงเลี้ยงข้าวเพื่อชดเชยแทนคำขอโทษ มิฉะนั้นก็จะต้องคุกเข่าขออภัย? คนที่กล้าพูดคำนี้ออกมา ไม่ต้องพูดถึงขอบเขตใหญ่โต แค่ในมหาวิทยาลัยหลงเถิงก็เกรงว่าจะมีแต่เย่เทียนเฉินเท่านั้นที่กล้าพูด เซวียนเยวี๋ยนเถิงเป็นใคร? ไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเซวียนเยวี๋ยนมีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดไหน แค่อาศัยชื่อของเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่เป็นหนึ่งในสามสุดยอดคุณชายแห่งมหาวิทยาลัยหลงเถิง ก็มีไม่กี่คนที่กล้าหาเรื่องแล้ว และมีไม่กี่คนที่หาเรื่องได้
หลี่อี้ได้ยินคำพูดนี้เย่เทียนเฉิน ก็โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ เขาเป็นลูกน้องของเซวียนเยวี๋ยนเถิง แล้วอาจพูดได้ว่าเป็นสุนัขรับใช้ ยังต้องปกป้องเจ้านายอยู่แล้ว เซวียนเยวี๋ยนเถิงไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัยแล้วถูกเย่เทียนเฉินด่าต่อหน้าเขาแบบนี้ เกรงว่าเซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้เข้าจะฉีกหน้าเขาได้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงนั้นเมื่อเทียบกับน้องชายของเขาแล้ว โอหังและบ้าอำนาจกว่ามากนัก
“ดี ดี ดี ดีมาก ฆ่ามันให้ฉัน…”
ผัวะ! คำพูดของหลี่อี้ยังไม่ทันจบ ก็ถูกขาของเย่เทียนเฉินเตะกระเด็นออกไป ตกลงสู่พื้นอย่างรุนแรง สีหน้าไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง เขามองมายังเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อ ส่วนเย่เทียนเฉินกลับมองหลี่อี้อย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดว่า “ดีน้องสาวแกสิ พูดตะกุกตะกักแบบนี้ยังกล้าออกมาอีก?”