เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ - ตอนที่ 122 ผู้บริสุทธ์ยังต้องมีเหตุผลด้วย?
“ช่วยผมเหรอ? งั้นก็ต้องขอบคุณแล้ว แต่ยังไงผมก็ไม่สนใจหรอก เรื่องตระกูลฉินเป็นพวกเขาที่มาหาเรื่องผมเอง ผมเป็นพวกรู้จักแต่ทำตามหลักการ เรื่องอื่นไม่สนใจ ถ้าใครมาหาเรื่อง ผมจะรอต้อนรับเลย!” เย่เทียนเฉินนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งในสนามหญ้า พูดอย่างไม่แยแส
ชางหลางมองเย่เทียนเฉินแวบหนึ่ง ตอนนี้เขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจนิสัยของเจ้าหมอนี่แล้ว ตอนที่ไม่มีเรื่อง ก็ยังก่อเรื่องวิวาทสนุกสนาน แล้วยังพูดหยอกล้อให้เจ็บใจได้อีกหลายประโยค พอเอาจริงขึ้นมา ใครไปยั่วยุนิดหน่อยก็ไม่ได้ หากคิดจะใช้กำลัง สิ่งที่จะได้รับก็มีเพียงกำปั้นของเขา
เมื่อครู่กูตู๋อ๋างและเย่เทียนเฉินต่างลงมือ ชางหลางรู้สึกโชคดีที่ตนมาทันเวลาและหยุดการต่อสู้ถึงขั้นเป็นตายของเจ้าสองคนนี้ไว้ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่ากูตู๋อ๋างและเย่เทียนฉินใครแกร่งใครอ่อน แค่พูดถึงฐานะปัจจุบันของกูตู๋อ๋างก็สูงถึงระดับผู้นำแล้ว ต่อให้เป็นตำแหน่งนายพลของตนในสมัยก่อนก็เทียบไม่ได้ หากเขาสู้กับเย่เทียนเฉินจริงๆ แล้วได้รับบาดเจ็บหรือถูกเย่เทียนเฉินฆ่า ปัญหาเก่ายังไม่ทันได้สะสางก็คงเกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาจริงๆ
เรื่องตระกูลฉินเรียกได้ว่าสั่นสะท้านไปทั้งเมืองหลวง ขนาดบุคคลระดับสูงของประเทศยังต้องให้ความสนใจ หากว่ากันตามจริง ชางหลางรู้สึกนับถือไอ้หนูเย่เทียนเฉินนี่จริงๆ ถึงกับแบกโลงศพไปที่ตระกูลฉิน อัดฉินเทาหยวนและฉินเหิงสองพ่อลูกจนเละ ขนาดฉินอี้ก็ยังถูกเขาทำให้โกรธจนตาย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตระกูลฉินก็ถูกกำหนดให้ตกต่ำลงแน่แล้ว เพียงแต่จะจัดการเรื่องนี้อย่างไรก็ยังไม่ทราบ เกรงว่าบุคคลระดับสูงของประเทศจะยื่นมือเข้ามายุ่ง ถึงอย่าไรฉินอี้ก็เป็นบุคคลระดับรองผู้นำแห่งชาติ เขาโกรธจนจายไปแบบนี้จึงมีผลกระทบในวงกว้าง
แต่เย่เทียนเฉินก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ตั้งแต่ปลดประจำจากจากกองทัพกลับมา ทั่วทั้งเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยหัวข้อสนทนาของเขา ประโยคคที่คนอื่นมักจะพูดติดปากก็คือ วันนี้เย่เทียนเฉินคุณชายเสเพลแห่งตระกูลเย่ได้ถอดรกเปลี่ยนกระดูกไปแล้ว รู้จักแต่ทำตามหลักโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ใครหาเรื่องเขา เทพเซียนก็รับผิดชอบไม่ไหว
“เย่เทียนเฉิน ฉันรู้ว่านายเก่ง จะเมื่อไหร่ก็ปกป้องตัวเองได้ แต่นายคิดไหมว่า พ่อแม่นาย น้องสาวนาย แล้วยังมีคนอื่นๆ ในตระกูลเย่อีก? หากคนระดับสูงในประเทศโกรธขึ้นมาจริงๆ จนต้องการกำจัดตระกูลเย่เพื่อทำให้เรื่องตระกูลฉินในครั้งนี้เงียบลง เกรงว่านายคงขวางได้ยาก” ชางหลางคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากอย่างจริงจัง
“หากบุคคลระดับสูงของประเทศสายตาแย่ขนาดนี้จริงๆ ผมก็ไม่รังเกียจที่จะไปก่อเรื่องที่ตึกสำนักงานกลางเหมือนที่เคยทำที่ทำเนียบขาวหรอกนะครับ…” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉิน ชางหลางรู้สึกลมหายใจเย็นเยียบขึ้นมาจริงๆ ในใจคิดว่าไอ้หนูเย่เทียนเฉินนี่จะต้องทำตามที่พูดได้แน่ เขากล้ากระทั่งไปก่อเรื่องที่ทำเนียบขาวแห่งประเทศM มาแล้ว หากไม่ใช่ว่าโทมัสซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับพลังพิเศษแห่งประเทศM ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ เกรงว่าโฮบาม่าต้องเชิญเขากินข้าวจริงๆ แล้ว หากครั้งนี้บุคคลสำคัญของประเทศต้องการกำจัดตระกูลเย่เพื่อทำให้เรื่องตระกูลฉินเงียบลงไปจริงๆ ด้วยนิสัยของเย่เทียนเฉินคงเป็นไปได้มากว่าจะก่อเรื่องใหญ่ขั้นพลิกฟ้าพลิกปฐพี
“ผู้นำของบุคคลระดับสูงของประเทศจะต้องยุติธรรมอยู่แล้ว แต่นายเคยคิดไหมว่า อำนาจอิทธิพลของตระกูลฉินยิ่งใหญ่มาก ฉินอี้เองก็มีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้นำระดับชาติ คนที่อยู่ฝั่งเขามีไม่น้อย ครั้งนี้นายก่อเรื่องที่ตระกูลฉินซะใหญ่โตจนทำให้มีผลกระทบตามมาอย่างรุนแรง พวกคนที่อยู่ฝั่งตระกูลฉินจะต้องไม่ปล่อยนายไปแน่ พวกเขาปลุกปั่นสร้างข่าวลือได้ พวกเขาประชาสัมพันธ์ได้ ตอนที่ความกดดันทั้งหมดไปตกอยู่กับทางฝั่งนาย ต่อให้ผู้นำระดับสูงอยากปกป้องก็ทำไม่ได้” ชางหลางกล่าวอย่างร้อนใจ
เย่เทียนเฉินขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงจุดนี้ แต่ไม่คิดว่าปัญหามันจะรุนแรงขนาดนี้ เป็นเหมือนที่ชางหลางพูดจริงๆ หากเขาคนเดียวยังสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก อยากมาก็มา อยากไปก็ไป ใครกล้ามาหาเรื่องก็ฆ่าให้หมดก็พอ
แต่พ่อแม่จะทำอย่างไร? น้องสาวจะทำอย่างไร? ตนไม่สามารถปกป้องคุ้มครองอยู่ข้างกายพวกเขาได้ทั้งวัน นอกจากนี้หากบุคคลระดับสูงของประเทศมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าอาศัยแค่ความสามารถของเขาในตอนนี้ก็คงยากที่จะรับมือกับศัตรูจำนวนมาก ถึงอย่างไรประเทศจีนในชาตินี้ของเขายังคงมีผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณและยอดฝีมือผู้มีพลังพิเศษอยู่มาก บางทีคนธรรมดาอาจจะไม่มีทางใช้งานพวกเขา แต่บุคคลระดับสูงของประเทศจะต้องมีความสามารถและทรัพยากรมากพอที่จะทำเช่นนี้
“ผมต้องการเจอบุคคลระดับสูงของประเทศ!” เย่เทียนเฉินคิดครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก
“ไปหาท่านหยางกับฉันก่อน เรื่องนี้เขาจัดการได้ ถึงยังไงนายอยู่บ้านก็อันตรายอยู่แล้ว หากมีนักฆ่ามาลอบโจมตี คงส่งผลไปถึงครอบครัวนาย” ชายหลางกล่าวแล้วพยักหน้า
“ผมต้องการพบผู้นำระดับสูงที่สุด” เย่เทียนเฉินกล่าวต่อไปอย่างจริงจังโดยไม่สนใจชางหลาง
“ไม่ใช่ว่านายอยากพบก็สามารถพบได้ ยังต้องเตรียมการก่อน”
“ถ้าผมไปแล้วมีคนมาสร้างความลำบากให้ครอบครัวผมจะทำยังไง?” เย่เทียนเฉินเอ่ยถาม
“จุดนี้วางใจได้ ฉันจะส่งหัวกะทิของหน่วยมังกรฟ้ามาคุ้มครองครอบครัวของนายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วยังเป็นคำสั่งของท่านหยางด้วย ฉันคิดว่าคนธรรมดาไม่กล้าทำอะไรเป็นอันขาด”
“ดี ผมจะไปกับคุณ แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมต้องบอกก่อน หากใครกล้าแตะต้องครอบครัวผม ผมจะฆ่าไม่ให้เหลือสักตัว” เย่เทียนเฉินกล่าวพลางขมวดคิ้ว
ชางหลางรัปปากทุกอย่าง เขามาเพื่อช่วยเย่เทียนเฉินจริงๆ นี่เป็นน้ำใจของลูกพี่ใหญ่ของหยางอี้ เหตุผลสำคัญก็มาจากผลงานที่เย่เทียนเฉินทำที่ประเทศM ซึ่งทำให้คนอื่นเปลี่ยนมุมมองต่อเขาไปจริงๆ คนคนเดียววิ่งไปได้ทั่วทั้งวอชิงตัน แล้วยังกล้าเข้าไปก่อเรื่องในทำเนียบขาวจะไปให้โฮบาม่าเลี้ยงข้าว ทั้งโลกจะหาคนแบบนี้ออกมาได้สักกี่คนกัน? จะหาคนที่มีความสามารถถึงขั้นนี้ได้สักกี่คนกัน? บุคคลผู้มีความสามารถทั้งหมดย่อมถูกหัวเรือใหญ่อย่างพวกหยางอี้เก็บเอาไว้ใช้งานเอง
เย่เทียนเฉินทักทายหลัวเยี่ยนผู้เป็นแม่และอธิบายเรื่องราวต่างๆ เมื่อรวมเข้ากับการรับประกันของชางหลางที่เป็นคนรักษาความสงบในเมืองหลวง หลัวเยี่ยนถึงจะวางใจลงได้บ้าง มองเย่เทียนเฉินนั่งรถจี๊ปทหารของชางหลางออกจากประตูไป
เย่เทียนเฉินที่นั่งอยู่ภายในรถจี๊ปทหารของชางหลางพบว่าครั้งนี้ชางหลางไม่ได้นำลูกน้องคนอื่นๆ มาด้วย มีแค่เขาคนเดียวที่ขับรถจี๊ปทหารมา คงจะไม่อยากดึงดูดความสนใจจากคนอื่น ถึงอย่างไรครั้งนี้เย่เทียนเฉินก็ก่อเรื่องใหญ่โตจนเกินไป คงไม่มีใครกล้าแสดงท่าทางชัดเจนอย่างรวดเร็วแบบนี้
“พวกเราไปหาท่านหยางกันก่อน เชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องมีวิธีการจัดการในเร็วๆ นี้ เฉินเซิงสอดมือเข้ามายุ่งแล้ว เขาถึงกับให้กูตูอ๋างมาจับนายด้วยตัวเอง ท่าทางจะมีคนอยู่เบื้องหลังที่อยากจะให้นายตาย!” ชางหลางขับรถไปพลางพูดไปพลาง
“ปัญหาจิ๊บๆ น่า ตอนนี้ผมอยากเจอผู้นำระดับสูงสุดสักหน่อย พูดคุยกับเขาสักนิด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ผมไม่สนใจ ใครกล้าหาเรื่องคนนั้นก็ซวยไป” เย่เทียนเฉินหยิบบุหรี่ออกมาจากบริเวณอกอย่างเป็นธรรมชาติ สูบเข้าไปเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ไอ้หนู นายยังทำใจเย็นได้อยู่อีก ไม่รู้จริงๆ ว่านายไม่รู้ว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหน หรือนายไม่เห็นตระกูลฉินอยู่ในนายตากันแน่?”
ชางหลายอดไม่ได้ที่จะนับถือเย่เทียนเฉินขึ้นมา คนคนนี้ไม่ว่าจะเวลาไหนก็มีท่าทางสงบเยือกเย็น ไม่มีความกระวนกระวายจนเสียมาดเลยสักนิด จิตใจแข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้ชางหลางรู้สึกประหลาดใจ
“จริงสิ เมื่อก่อนกูตูอ๋างเป็นลูกน้องของคุณ ความสัมพันธ์ของพวกคุณควรจะไม่เลวถึงจะถูก ทำไมกลายเป็นคู่แค้นไปได้ หรือระหว่างพวกคุณเคยมีความสัมพันธ์ลับๆ อะไรกัน?” เย่เทียนเฉินพูดซุบซิบแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไอ้หนูนี่ ทำไมชอบทำให้คนอยากกระทืบนายให้แบนแบบนี้นะ?” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างจนใจพลางกล่าว
“คุณพี่ชางหลางครับ เรื่องนี้คุณเป็นคนผิดนะ ยุคนี้เป็นยุคที่เปิดกว้าง เรื่องความรักก็ไม่แบ่งแยก เรื่องเกย์ก็ยอมรับได้!” เย่เทียนเฉินตบบ่าชางหลาง ทำราวกับว่าชางหลางและกูตู๋อ๋างมีอะไรต่อกันแล้วกลัวว่าจะถูกเปิดเผยต่อสายตาชาวโลกจนตนเองต้องเข้ามาแนะนำ
“ฉันว่าไอ้หนูอย่างนายมันไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ การต่อสู้ระหว่างฉันกับนายในครั้งนี้ไม่ต้องให้นายพูดฉันก็จะลงมือเองแล้ว!” ชางหลางกรอกตาใส่เย่เทียนเฉิน
เย่เทียนเฉินหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ชางหลางเป็นคนที่ล้อเล่นไม่ได้จริงๆ ทุกการกระทำล้วนจริงจังอย่างมาก ถูกตนเองหยอกล้อไปไม่กี่คำก็รับไม่ได้ซะแล้ว สนุกดีจริงๆ
“เห้อ จะว่าไปผมก็ชอบเรื่องซุบซิบมาก พูดมาเถอะ ระหว่างคุณกับกูตู๋อ๋างเกิดอะไรขึ้น?” เย่เทียนเฉินถอนใจก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันล่ะกลัวไอ้หนูอย่างนายจริงๆ ถ้าวันนี้ฉันไม่บอกนายก็คงเที่ยวพูดเรื่องฉันกับกูตู๋อ๋างเป็นเกย์ไปทั่วแน่ๆ…”
“เรื่องนี้ผมก็รับประกันไม่ได้ พอปากของผมพูดอะไรขึ้นมาก็จะกระจายไปทั่ว…”
เห็นว่าเย่เทียนเฉินมีท่าทางชั่วร้ายเช่นนี้ ชางหลางนับถือไอ้หนูนี่จริงๆ ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนั้นแล้วยังมีใจมาซุบซิบอะไรอีก ถ้าเป็นคนอื่นคงกังวลจนแทบจะร้องไห้ไปแล้ว มีแต่เขาที่จะสงบอยู่แบบนี้ได้
“เรื่องนี้จะว่าไปก็เป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นฉันเพิ่งจะได้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของประเทศจีน ความจริงชื่อนี้ก็เป็นคนอื่นที่เรียกกันเอง ไม่ได้วัดกันด้านฝีมือเลย ขนาดฉันกับเหยียนหลงใครเก่งกว่าใครก็ยังพูดไม่ได้ ตอนนั้น ฉันยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการทหาร เป็นแค่หัวหน้าหน่วยมังกรฟ้าเท่านั้น กูตู๋อ๋างเป็นคนที่โยกย้ายจากกองทัพมากับฉัน และกลายเป็นทหารที่มีความสามารถของฉัน” ชางหลางเล่าด้วยท่าทางราวกับกำลังหวนคิด
หยุดไปครู่หนึ่งชางหลางจึงเล่าต่อไป “ความสามารถของกูตู๋อ๋างยอดเยี่ยมมากจริงๆ คนคนนี้โยกย้ายจากกองทัพมาสู่หน่วยมังกรฟ้าก็เพราะตอนนั้นเขานับได้ว่าเป็นราชันนักรบในกองทัพแล้ว ไม่มีใครเทียบเขาได้ ผลงานโดดเด่นมาก มีความยโสทะนงตนจนซึมลึกถึงกระดูก พอได้มาเป็นผู้ใต้บัญชาของฉัน ฉันเลยคิดว่าจะกำจัดความยโสโอหังนี้และให้เขากลายเป็นราชันนักรบที่แท้จริง น่าเสียดายที่สันดานเปลี่ยนยาก นอกจากจะไม่เชื่อคำพูดของฉันแล้วยังคิดจะท้าทายชื่อสามราชันนักรบกับฉัน…สุดท้ายเลยย้ายไปฝ่ายรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ไม่นานก็ได้เป็นรองผู้บัญชาการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ”
“อ๋อ ที่แท้กูตู๋อ๋างไม่ยอมรับคุณ คิดว่าคุณก็ไม่ได้เจ๋งไปกว่าเขาเท่าไหร่ แต่คุณกลับได้เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีนส่วนเขาไม่ได้เป็น เลยไม่พอใจคุณมากตลอด…” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
………………………