เทพศึกมังกรหวนคืน - ตอนที่ 297 คารวะหัวหน้า
ขอคารวะหัวหน้า!
หัวหน้าของโจวควน?
ถางเชียนชิว “???”
จางหง “???”
พวกเขาสองคนตกตะลึงพรึงเพริด เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มีเพียงคนที่มีอำนาจเท่านั้นถึงจะเป็นพี่ใหญ่ ดังนั้นเขาจึงพินอบพิเทากับโจวควนมาก โจวควนผู้นี้นับว่าเป็นลูกพี่ใหญ่คนหนึ่งแล้ว
แต่ตอนนี้ดันมีหัวหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว
หัวหน้าของโจวควนผู้นี้?
พิสูจน์ได้ว่าโจวควนผู้นี้มียศสูง
เจอตอเข้าแล้ว
“สองครั้งแล้วนะ โจวควน”
ฉินเฟิงเดินเข้ามาและวางมือลงบนหัวไหล่ของโจวควน ซึ่งทำให้โจวควนรู้สึกหวาดกลัว ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฉินเฟิงก็ตบบ่าอีกครั้ง “แต่ก็ยังดีที่ยังมีสติรู้ผิดรู้ชอบอยู่”
โจวควนก็ไม่ใช่คนเลวอะไร
แค่สถานการณ์บีบบังคับเท่านั้น
หากตระกูลใหญ่เหล่านี้ร่วมมือกัน ก็จะสร้างความพินาศย่อยยับในความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้อย่างง่ายดาย
“หัวหน้าได้โปรดลงโทษ”
แต่โจวควนยังคงก้มหน้าด้วยความอับอาย
เขาเป็นทหาร แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นนักฉวยโอกาส ผิดจากที่เคยให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าธงชาติต้าหัวเอาไว้ในวันแรกที่เข้าร่วมกองทัพ
“ผู้ใดกล้าล่วงเกินประเทศต้าหัวของฉัน จะต้องถูกลงโทษ!”
แต่ตอนนี้ศัตรูกำลังเข้าประชิดประตูบ้านแล้ว เขายังมารังควานคนอื่นอยู่ที่นี่
ช่างขายหน้ายิ่งนัก
น่าอัปยศอดสู!
“ถ้านายไม่มีปัญหาอะไร อีกไม่กี่วันจะมีสงครามครั้งใหญ่ พอถึงตอนนั้นฉันจะให้นายไปเป็นแนวหน้า ต่อสู้กับศัตรู ให้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่นายเคยให้ไว้แต่แรก”
“ขอบคุณครับหัวหน้า”
โจวควนทำวันทยหัตถ์ด้วยสีหน้ายินดี
ส่วนที่ว่าจะมีการสู้รบในอีกไม่กี่วันหรือไม่ เขาไม่สนใจ นี่เป็นเรื่องของเบื้องบน เขาสนใจแค่บุกไปข้างหน้าก็พอแล้ว
หน้าที่ของทหารคือต้องเชื่อฟังคำสั่ง
ส่วนจะตายหรือไม่นั้น สำหรับเขาแล้วมันคือเกียรติยศอย่างหนึ่ง ทหารนั้นถือว่าตายในสนามรบเพื่อชาติเพื่อประชาชนเพื่อเกียรติยศ
ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
ที่น่ากลัวคือการเอาตัวรอดไปวันๆ
พูดตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของเบื้องบน ที่ไม่อนุญาตให้กำลังพลทุกคนลงมือโดยพลการ พวกเขาคงพาคนออกไปเข่นฆ่าศัตรูตั้งนานแล้ว เอาแต่ลาดตระเวนในเมืองเทียนหนานทุกวัน มันทำให้เขาอึดอัดแทบเป็นบ้า
“แล้วคนพวกนี้ล่ะ?”
โจวควนทอดสายตาอันดุร้ายไปยังจางหงและถางเชียนชิว
“พวกเราผิดไปแล้ว มีตาหามีแววไม่ ขอท่านได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย”
ทั้งสองคุกเข่าลงในทันใด
อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างเต็มที่
รู้สึกเกรงกลัวแล้วจริงๆ
พวกเขาคาดไม่ถึงว่า เพื่อนคนหนึ่งที่จูหลินชิงรู้จักระหว่างทางจะเป็นคนใหญ่โตเช่นนี้
“นายจัดการเองแล้วกัน”
ฉินเฟิงโบกมือ
“ถ้าอย่างนั้นก็จับเขาขึ้นมา”
โจวควนสั่งให้คนจับตัวคนเหล่านี้ขึ้นมาและพาพวกเขาออกไป
“หัวหน้า งั้นตอนนี้ล่ะ?” โจวควนลองถามหยั่งเชิง
“นายไปได้แล้ว ถ้ามีอะไรฉันจะติดต่อไป”
“ครับ”
ได้ยินดังนั้นโจวควนก็ออกไปทันที
หลังจากนั้นไม่นานก็เหลือเพียงสี่คนอยู่ในห้องผู้ป่วย รวมถึงฉินเฟิงและจูหลินชิง
“ขอบคุณ…ขอบคุณค่ะ”
จูหลินชิงเอามือลูบผมแล้วเดินเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ
เธอรู้ว่าครั้งนี้ต้องขอบคุณฉินเฟิง ถ้าไม่อย่างนั้น เธอก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเช่นกัน
“ร้องไห้ทำไม! อย่าร้องไห้!”
ฉินเฟิงพูดอย่างเกรี้ยวกราด
ทำให้จูหลินชิงรู้สึกกลัวในทันที เธอสูดน้ำมูก กลั้นน้ำตาไว้ “ฉัน…ไม่ร้อง…ไม่ร้อง…”
“วันนี้ผมช่วยคุณ คุณจะตอบแทนผมยังไง?” ฉินเฟิงถามอย่างเจ้าเล่ห์
“อา…ฉัน…ฉัน…ฉัน…”
ใบหน้าของจูหลินชิงแดงระเรื่อ เอามือทั้งสองจับชายเสื้อ หลังจากลังเลครู่หนึ่งก็กัดริมฝีปากและพูดว่า “ฉัน…ฉัน…ฉันมีแค่…ร่างกายที่มีค่า…และเป็นครั้งแรกด้วย…”
เธอนึกว่าฉินเฟิงเหมือนกับจางหง
เกิดความหื่นกระหายขึ้นมา
แต่ทว่า
โป๊ก
ฉินเฟิงเอามือเคาะกะโหลกจูหลินชิง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ยัยบ๊อง คิดอะไรน่ะ ผมมีเมียแล้ว ลูกสาวอายุหกขวบแล้ว จะตอบแทนผมคิดอะไรให้มันปกติทั่วไปหน่อยไม่ได้เหรอ เลี้ยงข้าวผมแค่นี้ก็พอแล้วไหม? วันๆ เอาแต่คิดเรื่องอะไร”
“ฉัน…”
เมื่อพูดออกไปเช่นนี้
ใบหน้าของจูหลินชิงก็ยิ่งแดงระเรื่อขึ้นเหมือนกับแอปเปิลสีแดงผลหนึ่ง
เธออยากจะเถียงเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้จะเถียงยังไง
นั่นคือสิ่งที่เธอกำลังคิดเมื่อครู่นี้จริงๆ
“เอาล่ะ คืนนี้เลี้ยงข้าวผมก็พอ”
ฉินเฟิงเลิกยั่วเย้าเธอ เด็กสาวคนนี้ยังเด็ก ประสบการณ์น้อย แค่ล้อเล่นหน่อยเดียวหน้าก็แดงเหมือนก้นลิง ไม่รู้ว่าต่อไปกั่วกั่วจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า
คงไม่เป็นหรอกนะ
เด็กคนนั้นฉลาดหลักแหลม
พูดจบฉินเฟิงก็เดินเข้าไปหาคุณย่าคนนั้น ก่อนหน้านี้เธอตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง แต่ก็สลบไปอีกครั้งเพราะความหิวโหยและขาดสารอาหาร ตอนนี้ยังคงนอนอยู่บนเตียง
“ต้มโจ๊กเป็นไหม?”
ฉินเฟิงเอียงศีรษะถาม
“อ๋อ…ได้…ได้…”
จูหลินชิงพยักหน้า
เธอคือสาวบ้านนอก ทำนาทำไร่มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก คุ้นเคยกับการทำอาหารอย่างเช่นต้มโจ๊กเป็นอย่างดี มีความสามารถอย่างแท้จริง บริสุทธิ์น่ารัก ในมหาวิทยาลัย เธอมักถูกเรียกว่าเป็นกุลสตรีแห่งชาติ
พอเริ่มโตก็มีคนมองเห็นความงามของเธอ
เธอไม่ได้แต่งหน้าใดๆ แต่กลับทำให้ผู้คนหวั่นไหว
ดังนั้นตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยจึงมีแต่คนตามจีบเธอ แต่เธอก็ปฏิเสธมาตลอด ไม่เคยมีใครได้ตัวเธอ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะพาคุณย่ากลับไปพักฟื้นที่บ้าน” ฉินเฟิงกล่าว
เธอไม่จำเป็นต้องพักอยู่ในห้องผู้ป่วยระยะสุดท้ายเช่นนี้
คุณย่าของจูหลินชิงแค่ขาดสารอาหารเท่านั้น กลับไปพักฟื้นที่บ้านสักสองวัน กินอาหารเบาๆ ก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง
“อ้อ ได้ค่ะ”
จูหลินชิงพยักหน้า
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็พยุงคุณย่าขึ้นรถ และออกจากโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองเทียนหนานที่ตั้งอยู่บนทำเลทองเช่นนี้
ระหว่างทาง จูหลินชิงหันหน้ามาถามว่า “เออใช่ ฉันอยากถามคุณมาตลอดว่า หลี่เลี่ยงป่วยระยะสุดท้ายจริงหรือเปล่า ฉันเห็นเขาตกใจกลัวจนอยู่ในสภาพนั้น”
“เปล่า”
ฉินเฟิงส่ายหน้า “แค่มีหนอนอยู่ในหมอนของเขา เลยทำให้เขานอนไม่หลับทุกคืน ต่อมาพอนอนตกหมอนก็เปลี่ยนใบใหม่แค่นั้นเอง”
“แล้วเรื่องกินขี้เถ้าก้นหม้อ? หญ้าหางหมาล่ะ?”
“ผมโกหกเขา”
“คุณนิสัยไม่ดี”
จูหลินชิงเอามือปิดปาก เธอเพิ่งรู้ว่าฉินเฟิงนิสัยไม่ดี แต่เมื่อเธอเหลือบมองไปยังฉีหยุน เธอก็รู้สึกว่าฉินเฟิงนั้นไม่ได้แย่ขนาดนั้น ยังพอจะมีความอ่อนโยนอยู่บ้าง
ไม่นานรถคันนี้ก็มาถึงชุมชน
เป็นชุมชนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“4304”
เขาประคองเธอขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
เมื่อผลักประตูเข้ามา ห้องนั่งเล่นที่มีการตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูงดงามปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มันคือของตกแต่งสำหรับคนชรา ดูโบราณ นอกจากนี้ยังมีห้องนอนสีชมพูอีกหนึ่งห้อง ภายในมีตุ๊กตาจำนวนหนึ่ง
“นั่นเป็นของฉัน บางครั้งหากมีเวลาฉันก็จะเข้ามาเล่น”
จูหลินชิงเอามือลูบผมอย่างอายๆ
แต่ในเวลานี้ได้มีชายหัวล้านท่าทางเหมือนอันธพาลข้างถนน อายุประมาณสามสิบกว่าๆ เดินเข้ามาจากทางด้านนอก เขามองมาทางนี้ พอเห็นมีคนก็โบกกระดาษแผ่นหนึ่งในมือทันที “ยัยแก่หนังเหนียวนั่นกลับมาแล้ว รีบเซ็นสัญญานี้ซะ ถ้าไม่อย่างนั้น ผมจะทำให้คุณตายอย่างไม่สงบ”