เทพศึกมังกรหวนคืน - ตอนที่ 253 กระบวนท่าที่หลินเย่าตุงเตรียมไว้
ลมฤดูใบไม้ร่วงอันเงียบเหงา
ใบไม้ร่วงโบกสะบัดตามสายลมอยู่บนท้องฟ้า ในสุสานหมายเลขสิบ สุดท้ายฉินเฟิงก็ชำเลืองมองหลุมฝังศพของไอ้โจว ถึงอย่างไรครั้งต่อไปก็เป็นปีหน้าแล้ว
“ลาก่อน”
สิ้นเสียงบอกลา ฉินเฟิงก็ก้าวขึ้นรถ
ในเวลานี้ฉีหยุนได้ส่งหน้ากากอันหนึ่งให้ ฉินเฟิงรับมันมา มันคือหน้ากากปีศาจแยกเขี้ยว “อีกไม่นานหรอก แต่ตอนนี้ฉันยังคงเป็น Mr.X”
เขาสวมใส่หน้ากากอย่างนุ่มนวล
ชายสวมเสื้อคลุมสีดำและหน้ากากปีศาจแยกเขี้ยว ดวงตาดำมืดราวกับน้ำหมึก หน้าตาดุร้าย ลมหายใจเยือกเย็น ปรากฏตัวขึ้นมาในรัศมีสิบลี้
ทำให้ผู้คนภายในรัศมีสิบลี้กดคอลงอย่างช่วยไม่ได้ แผ่นหลังเย็นวาบ
“ไปกันเถอะ”
ฉินเฟิงเอ่ยคำนี้ออกมา
“ครับ”
ครืน
รถของฉีหยุนก็สตาร์ทขึ้นมาในทันใด ระหว่างทาง หวังเถ่รับผิดชอบเรื่องการรับข่าวสาร เขาบอกกับฉินเฟิงว่า “ใต้เท้า เราสืบได้จากองครักษ์หมาป่าในเมืองเจียงเฉิงว่า ตระกูลหลินใช้กำลังพลมากกว่าห้ากอง ในนั้นมีจำนวนหนึ่งที่พวกเราไม่สามารถตรวจสอบได้ หลินเย่าตุงแห่งตระกูลหลินผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“หลินเย่าตุง”
ความประหลาดใจกะพริบผ่านดวงตาของฉินเฟิง เมืองเจียงเฉิงแห่งนี้ได้ก่อกำเนิดเหล่าบุคคลที่มีความสามารถ สามารถระดมกองกำลังที่แม้แต่องครักษ์หมาป่ายังไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างคาดไม่ถึง
แต่ก็เป็นเพราะเวลาอันสั้นและองครักษ์หมาป่ามีกำลังพลน้อยด้วย
ไม่สามารถแยกร่างได้
แต่ที่โชคร้ายก็คือ เป็นอัจฉริยะก็จริง แต่ดันมาพบกับเขา
“แล้วเจียงเจิ้นล่ะ?” ฉินเฟิงถามขึ้นมาอีก
เมื่อเทียบกับหลินเย่าตุง ความจริงฉินเฟิงชื่นชอบเจียงเจิ้นมากกว่า นักบู๊ก็ชอบเจรจากับนักบู๊ด้วยกัน ตัดสินความเป็นความตายได้ด้วยหมัด เท้า และความต่างของเวลา
อีกอย่างฉินเฟิงยังรู้สึกถึงความคุ้นเคยจากตัวเจียงเจิ้น
“เจียงเจิ้นไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ สงบนิ่งมาก แต่…แต่…” หวังเถ่พูดตะกุกตะกัก
“พูดสิ”
ฉินเฟิงชำเลืองมองเขา
“ใต้เท้า ผมมีลางสังหรณ์ว่า เขาอาจจะเป็นสมาชิกของสำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่คลุมเครือว่าไม่ใช่ ผมดูไม่ค่อยออก” หวังเถ่กล่าว
“สำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์”
ฉินเฟิงรู้ว่าสำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น หวังเถ่เคยเข้าร่วมสำนักมาก่อน
สำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์ เป็นองค์กรนักฆ่าอันดับหนึ่งในโลก ว่ากันว่าเป็นองค์กรที่ขอเพียงมีเงินให้ ไม่ว่าภารกิจใดๆ ก็สามารถทำได้สำเร็จ เป็นองค์ใต้ดินอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินใหญ่ตะวันตก
ตามที่ฉินเฟิงเข้าใจ สำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์มีนักฆ่า 12 ผู้อาวุโส นั่นคือ 7 นักฆ่าระดับสุดยอดที่มีฉายาว่าบาปเจ็ดประการ สี่มุขนายกแพรแดง และอีกหนึ่งคนที่ขึ้นชื่อว่าไร้ศัตรูต่อกรด้วยได้ ปราบปรามได้ทุกอย่าง แต่ก็เป็นประมุขสำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีความลึกลับอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขาคือจ้าวศักดิ์สิทธิ์
มีฉายาว่า ซาตาน
เป็นภูตปีศาจอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินใหญ่ตะวันตก
“น่าสนใจ สำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์เล็กๆ กล้าคิดหาวิธีที่จะเอาชนะประเทศต้าหัวของพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ช่างไม่กลัวเกรง ฉันจะไปทำลายสำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วยตัวเอง”
ฉินเฟิงยิ้มมุมปากเยาะเย้ย ก่อนจะสัมผัสหน้ากากของตัวเอง “อย่าลืมว่าปาซาง ก็ถูกเรียกว่าเป็นคนโหดเหี้ยมอันดับหนึ่งของประกาศมืด แต่ตอนนี้…ตายไปนานจนหญ้าบนหลุมฝังศพสูงเกือบหนึ่งเมตรแล้ว”
ปาซางมีชื่อเสียงเรื่องหมัดเล็กคู่ เป็นคนดื้อรั้น โหดร้าย ฆ่าคน 999 คนบนสังเวียนมวยปล้ำโรมัน ในนั้นมียอดฝีมือ 30 คนของประกาศมืดด้วย
ได้รับการสรรเสริญว่าสามารถต่อกรกับประมุขสำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้
อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดเขาก็ถูกฉินเฟิงฆ่า
“แต่สิ่งที่ฉันกังวลไม่ใช่สำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้สำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์ คราวก่อนจักรวรรดิโรมัน ประเทศซากุระ และอาณาจักรเมริยาได้รุมโจมตีอีสเตอร์แลนด์ของฉันจากทั้งสามทาง จากการตรวจสอบขององครักษ์มืดได้ความว่าเป็นฝีมือองค์กรนี้ แต่มันไม่สง่าผ่าเผยเหมือนสำนักวิหารศักดิ์สิทธิ์ องค์กรแห่งนั้นซ่อนตัวอยู่ลึกลับมาก นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ฉันสงสัยว่าจะอยู่ในประเทศต้าหัวของฉันด้วย” ฉินเฟิงกล่าว
“ใต้เท้า ถ้าหากผมได้พบกับไอ้พวกระยำนั่น ผมจะต้องฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน”
ฉีหยุนกล่าวอยู่ตรงหน้า
“ถ้าสามารถหาเบาะแสได้จริงๆ นายจะได้ออกกำลังแน่”
ฉินเฟิงหัวเราะ
องค์กรแห่งนั้น คิดจะทำลายประเทศต้าหัวมาโดยตลอด ในช่วงสงครามหลายปีที่ผ่านมา มีการบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่ได้รับการยั่วยุจากองค์กรเหล่านี้ เป็นเนื้อร้ายที่ยังเป็นๆ อยู่
ถ้าเจอตัว จำเป็นต้องฆ่า!
“ใต้เท้า”
ทันใดนั้น ฉีหยุนที่กำลังขับรถอยู่ได้ตะโกนขึ้นมาว่า: “มาแล้ว”
เขาเหยียบเบรกในทันใด รถจากัวร์คันนั้นเลี้ยวและจอดลงทันที ต่อมาได้เกิดเสียงดังครืนมาจากข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
“ระเบิด TNT มีรัศมีการระเบิดห้าเมตร ฉันสามารถได้กลิ่นเขม่าควันปืนจากระยะไกลสิบกว่าเมตรได้ คิดว่าพวกเราเป็นมือใหม่ในสนามรบงั้นเหรอ”
ฉีหยุนยิ้มอย่างไม่แยแส
“ลงจากรถ ไปประจันหน้ากับพวกเขาหน่อย”
ฉินเฟิงพาพวกเขาลงจากรถ ห่างจากพวกเขาออกไปห้าเมตรทางด้านหน้า มีหลุมขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง ถนนช่วงนั้นถูกระเบิดทำลายทั้งหมด บางส่วนกำลังมีเปลวไฟลุกไหม้
“ออกมาสิ”
ฉินเฟิงกวาดสายตามองทั้งสองด้าน
หน้ากากปีศาจแยกเขี้ยว เสื้อคลุมสีดำ ยืนเอามือไพล่หลังอยู่กับที่ ดวงตาสีเข้ม น้ำเสียงแหบแห้ง ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวและกดดัน
“สมกับที่เป็น Mr.X ที่พลิกโฉมเมืองเจียงเฉิงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทรงพลังจริงๆ”
เสียงปรบมือดังมาจากทางด้านข้าง ชายหนุ่มรูปงามในชุดสูทสีขาวก้าวออกมา เขาเดินเข้ามาพลางกล่าวแนะนำ “ฉันคือหลินผิง อันดับที่ 67 แห่งประกาศมืด มีฉายาว่าคนคลั่งเสื้อขาว”
ด้านหลังเขามีกองกำลังติดอาวุธครบมือที่แต่งตัวเหมือนทหารรับจ้าง พกพาอาวุธปืนหลากชนิด แตกต่างจากชุดสูทสีขาวของหลินผิงที่นำอยู่ข้างหน้ามาก
เห็นได้ชัดว่านิ่งสงบมาก
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกัน นั่นคือพวกเขาล้วนมีพลังอาฆาตล้อมรอบอยู่ทั่วร่างกาย
แต่ฉินเฟิงก็กล่าวอย่างไม่แยแส “ไม่รู้จัก”
หลินผิงที่เมื่อครู่ยังยิ้มอยู่ตกตะลึงงันกับประโยคนี้ของเขา เขาวางมาดใหญ่โตและทรงพลังเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องทำให้ Mr.X มีปฏิกิริยาบ้าง แต่สุดท้ายได้กลับมาเพียงคำว่า ‘ไม่รู้จัก’
“Mr.X เหมือนกับที่คนอื่นว่าไว้เลย แกนี่มันน่ารังเกียจจริงๆ จองหองกว่าฉันเสียอีก”
หลินผิงรับปืนแก็ตลิงมา มีความดุร้ายอยู่ในแววตา
“อ๋อ ฉันจำได้แล้ว”
ทันใดนั้นฉินเฟิงก็พูดขึ้นมาทำให้หลินผิงดีใจ รู้ว่าชื่อเสียงของเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่นัก
แต่ฉินเฟิงได้กวาดสายตามองและพูดว่า “แกกับหลินเย่าตุงมีลักษณะนิสัยเหมือนกัน รอยยิ้มของแกมันน่ารังเกียจ มักจะรู้สึกว่าตัวเองกำชัยชนะอยู่ในมือ มีความมั่นใจอย่างน่าประหลาด”
“ฮ่า นั่นคือคุณอาของฉัน เขาเป็นคนส่งฉันมา มีประสบการณ์มาก กลุ่มทหารรับจ้างนี้ฉันเป็นคนฝึกปรือมาเองกับมือ ส่วนฉายาคนคลั่งเสื้อขาวนี้ แน่นอนว่าฉันได้มาจากการฆ่าคน ฉันฆ่าคน ฆ่าได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เด็ก ผู้หญิง เห็นขัดหูขัดตาก็ฆ่าหมด ดังนั้นฉันจึงเลื่องชื่อลือนามในเรื่องความโหดร้าย แกไม่เคยได้ยินบ้างเลยเหรอ?”
หลินผิงแนะนำตัวเองรอบหนึ่งแล้วจึงยกปืนแก็ตลิงขึ้นเล็งไปที่ฉินเฟิง ความตื่นเต้นดีใจกะพริบผ่านดวงตาของเขา “ตอนนี้มันถึงตาของแกแล้ว คนต่อไปที่จะตายในมือของฉัน”
เขาตื่นเต้นมากที่จะได้สังหารคนที่ทำให้เมืองเจียงเฉิงมีชื่อเสียงกระฉ่อนในด้านความโหดร้าย
แต่ทว่าแววตาของฉินเฟิงได้มองข้ามเขาไป มองไปยังป่าทึบทางด้านหน้าซ้าย แล้วพูดอย่างไม่แยแส “เมื่อเทียบกับคนคลั่งเสื้อขาว ฉันยังสนใจทุกท่านมากกว่าอีก ยังไม่ออกมาอีกเหรอ?”