เด็กอัจฉริยะ แม่ลึกลับ - ตอนที่ 352 อาการของคนที่คลอดลูกเป็นอย่างไร
มู่เฉียวมองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบาย กำลังจะหย่าแล้ว เธอไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมองเธออย่างไร ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ตนเองทำอะไรก็ผิด
“สองวันนี้ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ให้เสี่ยวโยวพักอยู่ที่บ้านชั่วคราว รอ……”
“ถ้าหย่าแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่อนุญาตให้คุณเจอโม่เสี่ยวโยวอีก” ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคบเพลิง ในสายตาเขามีความโหดเหี้ยม มู่เฉียวรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
แต่ถึงอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการจะหย่า
“คุณไม่ให้ฉันเจอโม่เสี่ยวโยว เราก็ต้องไปฟ้องศาล เธอเด็กขนาดนี้ ศาลจะต้องตัดสินให้ฉันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้เธอได้ค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตมาแล้วจึงฮึกเหิมเล็กน้อย
“งั้นเหรอ?คนเร่ร่อนที่ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ศาลจะตัดสินให้ใคร ก็พูดยากจริงๆ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวนิดๆ มู่เฉียวเห็นการแสดงออกที่โหดเหี้ยมของตนเองในสายตาของเขา
“คุณมันเลว” เธอรู้ดีว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโม่ เขามีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองตกงานได้
“โม่หาน คุณไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม คุณไม่หย่า คุณกับ……คุณกับหยิงหยิงจะแต่งงานกันได้อย่างไร?” น้ำเสียงของคุณนายโม่ร้อนรนเล็กน้อย ปกปิดไว้ไม่มิดเลยจริงๆ เธอรังเกียจมู่เฉียว เธอชอบมู่หยิง
แต่ว่าไม่ว่าจะรังเกียจหรือชอบ เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดได้ว่าเธอไม่เคยสนใจเลยดีกว่า
เธอมองโม่หานด้วยสายตายั่วโมโห “ใช่สิ คุณไม่หย่า คู่รักในวัยเด็กของคุณจะทำอย่างไรล่ะ?”
จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือ
โม่หานยอมรับว่าตนเองเกลียดสีหน้าท่าทางนี้ของเธอที่สุด เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะแต่งงานก็จำเป็นต้องหย่า ส่วนเด็กก็ไม่อนุญาตให้เธอเจออีก”
“อย่างนั้นฉันก็ไม่หย่า ฉันจะรอดูสิว่า คุณมู่ยังจะทนรอไหวไหม” โม่หานแก่กว่าเธอหลายปี มู่หยิงอ่อนกว่าโม่หานไม่กี่เดือน ปีนี้ 27 แล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุ 25 ถึงแม้ว่าอายุห่างกันสองสามปีจะดูไม่มาก แต่สามปีของผู้หญิง มันแตกต่างกันมาก เธอไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวของมู่หยิงนั้น จะรอโม่หานได้
พูดจบประโยคนี้ มู่เฉียวก็รับโม่เสี่ยวโยวมาจากพี่เลี้ยง ก็หันกลับไปคำนับให้นายท่านทั้งสอง “ฉันกลับห้องก่อน”
ใกล้ถึงมื้อค่ำ มู่หยิงก็หาเหตุผลเพื่อมาทานข้าว พอถึงตระกูลโม่ ก็หาข้ออ้างมาดูเด็กแล้วก็พบมู่เฉียว
อารมณ์เธอสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่าเสียใจหรือว่าชอบ
อันที่จริงเธอก็อึดอัดใจอย่างมาก ตามแผนการของมู่หยิงแล้ว เธอต้องการนำเลือดจากสายสะดือไปใช้หลังจากที่เด็กเกิด และเธอก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบังคับให้เธอแต่งงานกับโม่หานตั้งแต่แรก
“พี่สะใภ้ เพราะอะไรคุณต้องหย่ากับพี่ชายฉันด้วย?”
มู่เฉียวคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เธอหันกลับมามองมู่หยิง “คุณไม่ได้อยากจะแต่งงานเข้ามาเหรอ?”
โม่เสี่ยวโยวหลับแล้ว มู่หยิงก็จัดระเบียบผ้าห่มให้เธออย่างนุ่มนวล “อยากสิ แต่ว่าพี่สะใภ้ เสี่ยวโยวยังเล็กขนาดนี้ รอให้เธอครบหนึ่งขวบก่อนดีไหม?มิเช่นนั้นเด็กจะน่าสงสารอย่างมาก”
ท่าทางเธอดูปรารถนาดีอย่างมาก แต่การกล่าวเตือนสติในสายตาเธอ ทำให้มู่เฉียวกลัวจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเธอก็นึกขึ้นได้อีกครั้งว่าเธอประเมินความโหดร้ายของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป
อาการป่วยของโม่หาน ตลอดสองปีนี้ได้รับเคมีบำบัดมาตลอด แล้วหมอก็บอกชัดเจนว่า ไม่ควรใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างยีนที่ดื้อยาหลายชนิดด้วยเคมีบำบัดในที่สุดก็ไม่มียาอะไรที่ใช้ได้ อีกทั้งเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวไปแล้ว นอกจากนี้ยังฆ่าเซลล์ปกติจำนวนมากและทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร และเกิดภาวะแทรกซ้อนของตับไตทำให้ระบบต่างๆเสียหาย จนกระทั่งทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ฉะนั้น ความหมายของหมอก็คือ ภายในปีนี้ยังคงต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้
ฉะนั้นหลังจากที่มู่หยิงรอการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโม่หานมีสุขภาพแข็งแรงค่อยแต่งงานกัน หากการปลูกถ่ายล้มเหลว เธอก็จะถอยออกไป
นึกถึงตรงนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเวทนาโม่หานขึ้นมา ป่วยจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนการทำร้ายอีก
เพียงแต่ทันทีหลังจากนั้น แต่เมื่อเธอนึกถึงว่า อีกฝ่ายเต็มใจที่จะทำร้ายและอีกฝ่ายเต็มใจที่จะอดทน จิตใจก็สงบลงมา
“หนึ่งปีนี้ คุณสามารถออกไปหางานได้ แบบนี้ หลังจากหนึ่งปีคุณมีการงานที่มั่นคงแล้ว เสี่ยวโยวจึงสามารถอยู่โดยที่พวกคุณหย่ากันได้ ตัดสินให้คุณแบบนี้ คุณเห็นว่าอย่างไร?”
ความเฉลียวฉลาดของเธอ ความมีจิตใจเมตตาของเธอ แต่สำหรับมู่เฉียวแล้ว เป็นการใช้อำนาจคุกคาม ผู้หญิงคนนี้ใช้เสี่ยวโยวมาคุกคามเธอ
เธอหันหน้าไปมองมู่หยิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คุณมันเลวเกินไปจริงๆ ระวังเถอะ กรรมจะตามสนอง”
มู่หยิงมองเธออย่างไร้เดียงสา “พี่สะใภ้มีจิตใจที่ดี ดังนั้น คนดี….ก็ได้รับผลกรรมที่ดี”
เธอที่แอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลัง ทำให้มู่เฉียวโมโหถึงขีดสุด นึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่เอาชีวิตของเธอไปเล่นอยู่ในฝ่ามือ จู่ๆในสมองของเธอก็ปรากฏความคิดตลกๆขึ้นมา หนึ่งปีใช่ไหม?
ถ้าหลังจากหนึ่งปี โม่หานหายดีแล้ว แข็งแรงแล้ว แล้วเปลี่ยนใจ มารักเธอล่ะ?
อย่างนั้น มู่หยิงยังอยากจะแต่งงานอยู่ไหม?โม่หานก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?
เธอถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ แต่ในทันที ก็ตอกย้ำในความคิดนี้ ชายหญิงคู่นี้น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ เธอใช้ช่วงเวลาหนึ่งปี แก้แค้นพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม
ถึงแม้ว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว โม่หานจะไม่รักเธอ เธอก็ไม่เสียหายใดๆ แต่ถ้ารักเธอล่ะ?
คิดแล้ว มู่หยิงก็พยายามคิดหาแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว โม่หานหายดีแล้ว แต่การกระทำก็จะไร้ประโยชน์ ในใจเธอก็มีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้
พ่อแม่สอนให้เธอมีจิตใจเมตตา ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ก็สอนเธออีกว่า การมีเมตตาต้องแยกแยะ หากเมตตากับคนชั่ว นั่นก็การรู้เห็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงยหน้ามองซูหยิง “ได้ ฉันรับปากคุณ”
สุดท้าย ด้วยเหตุผลที่โม่เสี่ยวโยวยังเล็กเกินไป เธอจึงยังไม่หย่าชั่วคราว หลังจากโม่เสี่ยวโยวได้ขวบหนึ่งแล้ว ค่อยคิดวางแผนอีกที
โม่หานถากถางเธอ อยากจะเล่นละครขุดบ่อล่อปลา
แต่เธอดึงแขนของเขา แล้วกล่าวกระซิบว่า “ถ้าคุณไม่อยากหย่า หลังจากหนึ่งปีแล้ว ฉันก็ไม่หย่าก็ได้นะ”
โม่หานหลบเลี่ยงราวกับโรคระบาด กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที
เธอก็ไม่ได้โมโห เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่อยากจะไปทำงาน เหตุผลคือ หลังจากหนึ่งปี หย่ากันแล้ว จะได้มีอาชีพทำมาหากินไว้เลี้ยงชีพตัวเอง คุณนายโม่มองเธออย่างรังเกียจ พอคิดว่าหลังจากหนึ่งปี ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว จึงเห็นด้วย
มู่เฉียวกลับไปบริษัทเดิมที่เคยทำมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอแจ้งลาป่วยไว้กับบริษัท ดังนั้น จึงกลับไปได้ไม่ยาก
หลังจากเริ่มงานปกติ เธอก็ตื่นแต่เช้าวิ่งไปบริษัท การเดินทาง40กว่านาที พักกลางวันสองชั่วโมง เธอก็ไปศูนย์ฟื้นฟูหลังการคลอด ตอนเย็นก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ไม่กลัวลมฝน
หนึ่งเดือนนี้ เธอออกแต่เช้ากลับมามืด หลบเลี่ยงโม่หานอย่างสุดความสามารถ เธอยุ่ง โม่หานก็ยิ่งยุ่ง บวกกับเธอมีใจที่จะหลบเลี่ยง คนทั้งสองเลยไม่ได้เจอหน้ากันตลอดหนึ่งเดือน
“เสี่ยวเฉียว ฉันนับถือคุณจริงๆ เดือนเดียวคุณผอมลงไปได้ถึงขนาดนี้ คุณไม่ไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักก็เสียดายแย่เลย” ทานข้าวตอนกลางวัน เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าวกระซิบ
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็งานที่พวกเราทำนี้ ความสวยเป็นเรื่องสำคัญ” เพราะงานล่ามที่มักจะต้องติดตามลูกค้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมนี้ ใครก็เต็มใจที่จะให้คนสวยคนหนึ่งยืนข้างๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนกลมใช่ไหมล่ะ?
“คุณพูดถูกอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณสวยนะ BOSSคงไม่เสียงอันตรายให้คุณทำงานใหญ่กับโม่กรุ๊ปแบบนี้หรอก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยเป็นล่ามภาษาเยอรมันใช่ไหมล่ะ?”
มู่เฉียวคีบอาหารอย่างช้าๆ แต่ในใจเธอก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานภายในแผนกพูดว่า บริษัทรับใบรายการใหญ่ใบหนึ่งมาจากโม่กรุ๊ป เธอจึงไปเสนอตัวเองกับเจ้านาย แล้วส่งหนังสือรับรองการสอบภาษาเยอรมันระดับC2 เจ้านายแปลกใจอย่างมาก ชมว่าเธอป่วยยังไม่ลืมที่จะร่ำเรียน ถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่รับเป็นล่ามภาษาเยอรมัน อีกทั้งเป็นใบรายการใหญ่ของโม่กรุ๊ป ในใจเธอก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
เวลานี้ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ยกยิ้มมุมปาก โม่หาน รอดูฉันแล้วกัน