เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 310 ตระกูลทหารใหญ่ทั้งสองตระกูลแตกหัก
“อืม” หนานกงเยี่ยพยักหน้า “พ่อต้องหาทางเล่นงานผมแน่นอน ทั้งยังลงโทษที่ผมไม่เชื่อฟังเขา หลานซี ช่วงนี้คุณพักอยู่ที่วิลล่าหย่าเก๋อก่อนนะ ผมจะเพิ่มกำลังคนคุ้มครองพวกคุณเอง”
อวี้หลานซีก้มหน้าลงด้วยความกลัว ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เธอรู้สึกกลัวมานานแล้ว เธอรู้ดี นับตั้งแต่วันที่เธอแต่งงานกับก่วนอวี้ หนานกงจวิ้นต้องลงโทษเธออย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกับความไม่สบายใจของอวี้หลานซี เหลิ่งรั่วปิงดูใจเย็นกว่ามาก เธอเคยเจออันตรายมาหลากหลายรูปแบบ ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ “คุณคิดว่า คุณหนานกงจวิ้นจะทำอะไรบ้าง”
แววตาของหนานกงเยี่ยนิ่งงันราวกับน้ำในบ่อบาดาล ถึงแม้จะดูนิ่งสงบ ทว่ากลับแฝงแรงสังหารเอาไว้ “ความเป็นไปได้ในการโจมตีอย่างโจ่งแจ้งมีไม่มากเท่าไหร่ แบบนั้นจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลหนานกง ง่ายที่จะทำให้ตระกูลหนานกงแบ่งเป็นสองฝ่าย ทำให้ศัตรูถือโอกาสนี้แฝงตัวเข้ามา พ่อทำได้เพียงจัดการผมแบบลับๆ หรือไม่ก็ฆ่าผมทิ้งไปทีเดียว”
ใช่ ตอนนี้เขาเชื่อว่า พ่อของเขาอาจจะฆ่าเขาได้ ป้าเฉินเคยบอกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะลูกนอกสมรสเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด หนานกงจวิ้นคงไม่ให้ตำแหน่งผู้สืบทอดกับเขา พ่อไม่เคยรักเขาเหมือนลูก วันนี้พวกเขาพ่อลูกขัดแย้งกัน การที่หนานกงจวิ้นคิดจะเอาชีวิตเขา ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะพ่อของเขาเป็นฮ่องเต้ ส่วนเขาเป็นแค่ขุนนาง การที่ฮ่องเต้จะเอาชีวิตขุนนาง ขุนนางย่อมต้องตาย
ดวงตาหลักแหลมของเหลิ่งรั่วปิงเป็นประกาย เธอจับมือหนานกงเยี่ย “ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไปค่ะ” ไม่ว่ายังไง เธอก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาพ่อลูกทะเลาะกัน เธอไม่มีวันทิ้งหนานกงเยี่ยไปเพราะความยากลำบากและการต้องเสี่ยงอันตรายแน่นอน
หนานกงเยี่ยโอบกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ด้วยความปลื้มปริ่ม ใบหน้าของเขาดูเหมือนจะนิ่งสงบ แต่แววตาของเขากลับซ่อนความกระหายเลือดเอาไว้ ในสายตาของคนอื่น ตั้งแต่ตกหลุมรักเหลิ่งรั่วปิง ผู้ชายคนนี้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นคนเย็นชา ก็กลับกลายเป็นคนคลั่งรัก แต่แท้จริงแล้ว ความเหี้ยมโหด เย็นชา และกระหายเลือดของหนานกงเยี่ยยังคงอยู่ในตัวเขา ยามที่เผชิญหน้ากับการต่อสู้ เขาสามารถกลายเป็นหมาป่าได้ทันที รอจังหวะแล้วกระโดดกัดคอของศัตรู
ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกขาดสะบั้นลงไปแล้ว เขาจะไม่ทนอีกต่อไป เพราะการใจอ่อนเท่ากับเอาชีวิตตัวเองผูกโบว์ไปให้คนอื่น การต่อสู้ที่มองไม่เห็นนี้ ไม่ใช่อีกฝ่ายตาย ก็เป็นตนที่ต้องตาย
เรื่องที่มู่เฉิงซีพาเวินอี๋ไปจดทะเบียนสมรสแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้เป็นการตบหน้าซย่าอี่มั่วอย่างจัง พูดให้ถูกก็คือ เป็นการตบหน้าตระกูลซย่า คุณหนูซย่ายังพักอยู่ในบ้านตระกูลมู่ ทว่ามู่เฉิงซีกลับพาเวินอี๋ไปจดทะเบียนสมรสที่ที่ว่าการอำเภอ นี่มันเรื่องบ้าอะไร
ชั่วขณะหนึ่ง คนในสังคมต่างคาดเดาไปต่างๆ นานา มู่เฉิงอู่และคุณหญิงมู่งงงวยไปหมด พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าลูกชายและลูกสะใภ้ของตนหย่ากันมาก่อน ทำไมจู่ๆ มู่เฉิงซีถึงจดทะเบียนสมรสกับเวินอี๋ได้
คำพูดของคนนั้นน่ากลัว น้ำลายคนยิ่งทำให้ตายได้ เผชิญหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น คนในสังคมพูดกันไปต่างๆ นานา
ก่อนหน้านี้มู่เฉิงซีคบกับเวินอี๋อย่างเปิดเผย ยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนของตน ทั้งยังคิดจะแต่งงานกับเธอ ความรักระหว่างทายาทตระกูลทหารใหญ่กับหญิงสาวยากไร้เคยเป็นเรื่องที่ได้รับคำชื่นชมว่าเป็นความรักที่อยู่เหนืออุดมคติของสังคม
แต่ต่อมา หลังมู่เฉิงซีแต่งงานกับซย่าอี่มั่วแล้ว ก็ไม่มีข่าวคราวของเวินอี๋อีก ทุกคนต่างคิดว่า สุดท้ายการที่คนสองคนไม่เหมาะสมกัน ความรักในครั้งนี้ก็ต้องจบลง พากันทอดถอนหายใจ
แต่ตอนนี้ จู่ๆ ก็มีข่าวนี้เกิดขึ้น บอกว่ามู่เฉิงซีจดทะเบียนสมรสกับเวินอี๋แล้ว ทุกคนพากันพูดถึงความรักครั้งนี้ ในโลกอินเทอร์เน็ต พากันด่าซย่าอี่มั่วว่าใช้อำนาจจนได้แต่งงาน ทำให้คนสองคนที่รักกันต้องเลิกรา ไร้ยางอาย มาวันนี้มู่เฉิงซียังคงหนักแน่นในความรัก จดทะเบียนสมรสกับคนที่ตนรักแล้ว แต่ซย่าอี่มั่วกลับยังหน้าด้านอยู่ที่บ้านตระกูลมู่ไม่ยอมไปไหน เป็นอะไรที่หน้าด้านหน้าทนจริงๆ
เพียงแค่สองวัน กระแสการวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งอยู่ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ซย่าอี่มั่วทนต่อคำพูดเหลวไหลคาดเดาต่างๆ นานาและแรงกดดันจากสังคมไม่ไหว จำต้องออกมาให้สัมภาษณ์อย่างรวดเร็ว โดยเธอบอกกับนักข่าวว่า การแต่งงานระหว่างเธอกับมู่เฉิงซีเป็นความต้องการของผู้ใหญ่ เพื่อทำตามความต้องการสุดท้ายของมู่กั๋วจงที่มีอายุหนึ่งร้อยกว่าปี พวกเขาไม่ได้รักกัน ตอนนี้ท่านผู้เฒ่ามู่ก็จากโลกนี้ไปแล้ว พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่ร่วมกันอีก ดังนั้นหลังจากแต่งงานกันเพียงแค่เดือนกว่าก็ได้หย่าขาดกันไปแล้ว
เผชิญหน้ากับสำนักข่าวต่างๆ เธออวยพรให้ทั้งสองมีความสุขด้วยความใจกว้าง ขอให้มู่เฉิงซีและเวินอี๋รักกันชั่วชีวิต หวังว่าพวกเขาจะมีความสุข
งานแถลงข่าวในครั้งนี้ ในที่สุดก็กู้หน้าซย่าอี่มั่วกลับมาได้ แต่การแต่งงานของเธอและมู่เฉิงซีก็ถือว่าจบลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ต่อหน้านักข่าวเธอเป็นคนใจกว้าง มีมารยาท แต่หลังจากจบการแถลงข่าว เธอโมโหแล้วทำลายข้าวของมากมาย สงครามแย่งชิงความรักในครั้งนี้ เธอแพ้ราบคาบ เธอไม่พอใจ เธอต้องการแก้แค้น!
หลังจบการแถลงข่าว ซย่าอี่มั่วกลับไปที่บ้านตระกูลมู่แล้วเก็บสินสมรสต่างๆ ให้เรียบร้อย ย้ายออกจากที่นั่น มู่เฉิงอู่และคุณหญิงมู่ยืนมองคนงานขนย้ายข้าวของโดยไม่รู้จะทำยังไงดี พวกเขาคิดไม่ถึงว่าการแต่งงานของตระกูลทหารใหญ่ทั้งสองตระกูล ท้ายที่สุดจะจบลงแบบนี้
แม่ของซย่าอี่มั่วนั่งอยู่ในห้องรับแขกที่บ้านตระกูลมู่ ราวกับรูปปั้นหยกเทพธิดา ความเย็นยะเยือกของเธอแช่แข็งทุกอย่าง
คุณหญิงมู่รู้สึกผิดต่อตระกูลซย่าอย่างมาก ดังนั้นจึงยิ้มแห้งแล้วขยับเข้าไปใกล้ “พี่คะ…”
ยังไม่ทันพูดจบ คุณหญิงซย่าก็ด่าทอทันที “อย่ามาเรียกดิฉันว่าพี่นะคะ ลูกสาวของฉันแต่งงานเข้าบ้านเธอไม่ถึงเดือนก็ต้องเก็บข้าวของย้ายออกมา ลูกชายของคุณยังจะไปคว้าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาแต่งงาน นี่มันเป็นการตบหน้าตระกูลซย่าชัดๆ คิดว่าตระกูลซย่าไม่มีใครหรือไง”
คุณหญิงมู่ “…” หมดคำโต้แย้ง
บรรยากาศตึงเครียด จนกระทั่งคนงานขนย้ายข้าวของทุกอย่างจนหมด ซย่าอี่มั่วเดินลงมาจากชั้นบน คุณหญิงซย่าค่อยลุกขึ้นยืน จับมือซย่าอี่มั่วเอาไว้ พูดกับคุณหญิงมู่ด้วยแววตาเย็นยะเยือก “หลังจากนี้ ตระกูลซย่าและตระกูลมู่เป็นศัตรูกัน”
พูดจบ คุณหญิงซย่าก็พาซย่าอี่มั่วออกไป
มู่เฉิงอู่และและคุณหญิงมู่มองหน้ากันพร้อมกับถอนหายใจ ถ้าเป็นนิสัยของมู่เฉิงอู่เมื่อก่อน เขาต้องจับตัวมู่เฉิงซีกลับมาแล้วอัดให้น่วม แต่ตอนนี้เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ตระกูลมู่ทำผิดต่อตระกูลซย่าไปแล้ว การจับตัวมู่เฉิงซีมาลงโทษมีแต่จะทำให้คนตระกูลซย่าหัวเราะเยาะ
ถึงแม้เขาไม่คิดจะเอาตัวมู่เฉิงซีกลับมาลงโทษ แต่มู่เฉิงอู่ก็โมโหเป็นอย่างมาก เขาพาคุณหญิงมู่บุกไปถึงวิลล่ามู่หวา เพื่อไปเอาผิดมู่เฉิงซี
ในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ มู่เฉิงอู่และคุณหญิงมู่นั่งอยู่บนโซฟา มู่เฉิงซีและเวินอี๋นั่งฝั่งตรงข้าม อารมณ์ของคุณหญิงมู่ถือว่านิ่งสงบ ถึงแม้จะเสียพันธมิตรอย่างตระกูลซย่าไปแล้ว แต่ได้เป็นญาติกับตระกูลหนานกงถือเป็นเรื่องดี ทว่ามู่เฉิงอู่เป็นคนตรงๆ เขายังคงโมโหไม่หาย มองไปที่มู่เฉิงซีพร้อมกับพูด “แกทำอะไรเคยคิดหน้าคิดหลังก่อนบ้างไหม”
มู่เฉิงซีเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อของเขาด้วยความดื้อรั้น “ก่อนหน้านี้พ่อกับแม่เป็นคนบีบให้ผมแต่งงานกับซย่าอี่มั่ว ที่เรื่องมาถึงขั้นนี้ พ่อกับแม่ควรจะทบทวนตัวเอง ไม่ใช่มาเอาผิดผมแบบนี้
“แก!” มู่เฉิงอู่โมโหจนเลือดขึ้นหน้า ลุกขึ้นยืนและกำลังจะลงไม้ลงมือกับลูกชายของตน
“โธ่เอ๊ย พอได้แล้วค่ะ” คุณหญิงมู่รีบปรามสามีของตน “ลูกของเราโตแล้ว ตอนนี้ก็แต่งงานแล้วด้วย อย่าอะไรนิดอะไรหน่อยก็ลงไม้ลงมือด่าทอลูกแบบนี้เลยค่ะ” หันไปมองเวินอี๋ “เวินอี๋ เมื่อก่อนฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของคุณเหลิ่งรั่วปิง ทำไม่ดีกับเธอเอาไว้มาก หวังว่าเธอจะไม่ถือสา ตอนนี้เธอกับเฉิงซีจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถือเป็นสะใภ้ที่ถูกต้องของตระกูลมู่ ฉันที่เป็นแม่สามีก็หวังว่าจะอยู่ร่วมกับเธอได้เป็นอย่างดี เพราะถึงอย่างไรฉันก็มีลูกแค่คนเดียว”
ขณะพูด คุณหญิงมู่ก็ถอดกำไลหยกในมือออกมา “นี่เป็นสินสมรสที่ฉันได้มาตอนแต่งงาน พวกเธอเพิ่งแต่งงานกัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นี่ถือเป็นของขวัญในการเจอกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกก็แล้วกันนะ”
ท่าทีของคุณหญิงมู่ในวันนี้ ถือว่าเปลี่ยนไปราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคุณหญิงที่อ่อนโยนราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิ เวินอี๋รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกคู่ขนาน คุณนายทหารตรงหน้าที่เคยมองเธอด้วยแววตาเกลียดชัง ด่าเธอว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำ มาวันนี้กลับยอมรับในตัวเธอ หรือเพราะเธอเป็นน้องสาวของเหลิ่งรั่วปิง?
เวินอี๋นิ่งงัน ริมฝีปากของเธอคลี่ยิ้ม ใบหน้าของเธอเผยความเย้ยหยัน
คุณหญิงมู่รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ดวงตาสีนิลกลอกไปมา หันไปร้องขอความช่วยเหลือมู่เฉิงซี มู่เฉิงซีขมวดคิ้วเป็นปม รับกำไลหยกมา จากนั้นสวมให้เวินอี๋ “น้ำใจของแม่ คุณรับเอาไว้เถอะนะ?” ไม่ว่าผู้ชายคนไหน ล้วนอยากให้ภรรยาของตนและแม่เข้ากันได้ มู่เฉิงซีก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เวินอี๋ถอดกำไลลงมาช้าๆ วางไว้บนโต๊ะ แล้วดันไปตรงหน้าคุณหญิงมู่ “ของขวัญนี้ราคาแพงเกินไปค่ะ ฉันเป็นแค่ผู้หญิงชั้นต่ำ ไม่คู่ควร”
มู่เฉิงซีเลิกคิ้วขึ้น หัวเราะในใจ ผู้หญิงคนนี้แตกต่างไปจากเดิมมาก เวินอี๋คนเดิมเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นที่ไหน ไปจากเขาแค่เดือนกว่า ถูกเหลิ่งรั่วปิงสอนให้เป็นคนกัดไม่ปล่อยไปแล้ว
คุณหญิงมู่ดูใจกว้างอย่างเห็นได้ชัด “เมื่อก่อนฉันพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดมากมาย ทั้งยังใจร้อนตบหน้าเธอด้วย แต่ว่าพี่สาวของเธอก็ทำให้แขนของฉันหักไปแล้ว แค้นนี้ได้ชำระไปเรียบร้อย ในเมื่อพวกเรากลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็อย่าได้จำเรื่องแย่ๆ เลยนะ” เธอถอนหายใจ คล้ายว่าเข้าใจอะไรบางอย่าง “ตั้งแต่คุณเหลิ่งรั่วปิงสั่งสอนฉัน ฉันก็เข้าใจแล้ว เฉิงซีเป็นลูกชายของฉัน ที่ฉันทำทุกอย่างก็เพราะหวังดีกับเขา ความสุขของเขาต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ดังนั้นไม่ว่าเธอจะเป็นหรือไม่ได้เป็นน้องสาวของคุณเหลิ่งรั่วปิง ขอแค่เป็นผู้หญิงที่เฉิงซีชอบ ฉันก็ชอบด้วย ถ้ารู้ว่าตอนนี้จะมีปัญหากับตระกูลซย่าแบบนี้ ตอนนั้นไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันบีบให้เฉิงซีเลิกกับเธอ”
คุณหญิงมู่ถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง “เวินอี๋ ฉันหวังว่าเธอจะรักเฉิงซีให้มากๆ การที่พวกเธอมีความสุข มีลูกด้วยกันเร็วๆ ฉันเองก็จะได้เป็นคุณย่าเร็วขึ้น”
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ ใบหน้าเคร่งขรึมของมู่เฉิงซีก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน แววตาเผยรอยยิ้ม “แม่ครับ พ่อครับ เวินอี๋ท้องแล้วครับ เธอท้องได้สามเดือนแล้ว”
“แกบอกว่าอะไรนะ?” มู่เฉิงอู่ที่นั่งเคร่งขรึมมาโดยตลอดเงยหน้าขึ้นมาทันที ใบหน้าเยือกเย็นของทหารเผยรอยยิ้ม “แกบอกว่าฉันจะได้เป็นปู่แล้วเหรอ”
แววตาของมู่เฉิงซีมีรอยยิ้ม “ใช่ครับ”
“โธ่เอ๊ย ทำไมไม่บอกเร็วกว่านี้หน่อย” คุณหญิงมู่ลุกขึ้นด้วยความดีใจ เดินไปข้างเวินอี๋ จับมือของเธอแล้วมองหน้าอย่างพินิจพิจารณา “กำลังท้องกำลังไส้ต้องคอยระมัดระวัง เด็กในท้องเป็นหลานคนโตของตระกูลมู่ ต้องดูแลให้ดี ดูเธอสิ ผอมเกินไปแล้ว ทั้งที่กำลังท้องกำลังไส้แต่กลับถ่อไปถึงประเทศเอ้าตู หลังจากนี้อยู่แต่บ้าน แม่จะส่งแม่บ้านมาดูแลรับใช้เธอเอง”