เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - ตอนที่ 7 สองหนุ่มทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ! (ตอนต้น)
บทที่ 7 สองหนุ่มทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ! (ตอนต้น)
ท่วงทำนองแสนเศร้าที่ดังขึ้น ทันทีที่เสียงเพลงกระทบโสตประสาท
ก็ทำเอาดวงตาของเว่ยอี้เฉิน และแฟนสาวของเขาเริ่มแดงก่ำขึ้นมาทันที
เขารีบพาแฟนสาวออกจากตรงนั้นอย่างเร็วไว ในขณะที่ตอนนี้ความเศร้าเกาะกุมหัวใจอย่างไม่มีเหตุผล
จนสุดท้ายก็ไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
เพียงแค่ฟังท่วงทำนองนั้น จู่ ๆ เว่ยอี้เฉินก็ตระหนักรู้ได้ว่าไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ การเป็นดาวเด่น หรือการเสแสร้งล้วนเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับการได้ใช้ชีวิตเพื่อการเรียนรู้
“ทั้งที่โตขนาดนี้แล้ว….ฉันควรจะทำอะไรที่มีความหมายมากกว่านี้สิ”
เว่ยอี้เฉินถอนหายใจและปล่อยมือของแฟนสาว
ก่อนจะเดินต่อไปจนลับสายตา
ซูเย่มองแผ่นหลังที่เริ่มห่างไปไกลของเว่ยอี้เฉินแล้วคิดในใจ
‘แม้ตัวฉันตอนนี้จะยังไม่ได้ไปถึงจุดสุดยอดของทุกศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปไม่ถึงฉันใช้ชีวิตในฐานะผู้เฝ้ามองมาสองพันห้าร้อยปี…และตอนนี้ฉันกลับมาแล้ว ตอนนี้ฉันแค่อยากมีชีวิตอยู่อีกร้อยปีอย่างเรียบง่ายและมีความสุข’
‘เพราะฉะนั้นแล้ว อย่ามาซ่ากับฉันไอ้หนู ได้รับมายังไง ฉันเอาคืนเป็นเท่าตัวแน่!’
เหล่าฝูงชนที่ยืนอยู่ค่อย ๆ แยกย้ายกันไปเมื่อเหตุการณ์จบ ซูเย่วางกีตาร์ลง
“ลิ้มรสการลงทัณฑ์ไปแล้ว หวังว่าจะไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีกนะ”
จินฟานและซูชือกลับมามีสติอีกครั้ง
“แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ~”
ทั้งสองปรบมือให้กับการแสดงอันยอดเยี่ยมของรูมเมท
“จะเล่นต่อไหม?”
ซูเย่เบือนหน้าไปที่ผู้ชมตรงหน้าซึ่งเริ่มทยอยกันแยกย้าย
ทั้งคู่มองตามด้วยสีหน้าจ๋อย ๆ เพราะรู้ว่าการร้องเพลงของวันนี้จะจบลงเพียงเท่านี้
โชคดีที่พวกเขาทำเงินได้อย่างน้อยหนึ่งพันหยวน ซึ่งก็พอคุ้มค่า คุ้มเวลากับการลงทุนมาถึงที่นี่
ทั้งสองคนประกาศยุติการเล่นดนตรีให้ผู้ชมได้ทราบก่อนจะเริ่มเก็บของแต่ละชิ้นและตรงดิ่งกลับหอพักไปด้วยกัน
ฝูงชนที่อยู่ด้านนอกค่อย ๆ แยกย้ายกันไปเหลือเพียงหญิงสาวในชุดฮั่นฝูสีขาว
“คน ๆ นี้ต้องเคยเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจในชีวิตมาอย่างหนักหน่วงแน่ ๆ เลย”
หญิงสาวกล่าวอย่างมั่นใจขณะที่มองแผ่นหลังของซูเย่ลับสายตาไปจากจัตุรัส
หากไม่เคยสัมผัสกับความเศร้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความเศร้า
พี่สาวของเธอเคยบอกเอาไว้ว่าดนตรีไม่ใช่เพียงแค่สัญลักษณ์ แต่เป็นการแสดงออก
คุณจะสามารถดึงความรู้สึกของผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่อมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ภายในใจเช่นกัน
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ? ฉันหาเธอไปทั่วเลย แถมไม่ยอมตอบข้อความอีก”
หญิงสาวในชุดฮั่นฝูสีขาวที่ร้องเพลงใต้อนุสรณ์ก่อนหน้านี้ เดินเข้ามาพร้อมกับสะพายกระเป๋าบรรจุพิณผีผาไว้ข้างหลัง
“พี่ ฉันเพิ่งเจอคนที่เล่นกีตาร์ได้น่าสนใจคนนึง เขาเล่นได้ดีมาก ๆ เลยล่ะ”
หญิงสาวพร้อมสเกตบอร์ดในมือหันไปพูดคุยอย่างกระตือรือร้น
ภาพของหญิงสาวสองคนยืนข้างกัน ด้วยร่างกายที่คล้ายคลึงกัน ส่วนสูงที่เกือบจะเท่ากัน ทรงผมและเสื้อผ้าที่เหมือนกัน
“มาช่วยพี่เก็บของก่อน แล้วเราค่อยกลับหอกัน”
หญิงสาวคนพี่เอื้อมมือฉกสเกตบอร์ดในมือของน้องสาว ก่อนจะโยนมันลงที่พื้นแล้วขึ้นไถบนบอร์ดอย่างคล่องแคล่วไปยังอนุสาวรีย์หิน “เล่าเรียนเพื่ออนาคตของประเทศ”
“เดี๋ยวสิ! รอด้วย!”
น้องสาวรีบวิ่งตามไปอย่างไม่พอใจที่โดนขโมยของเล่น
…
“ใครบ้างล่ะที่จะไม่มีเรื่องเศร้าในชีวิต…”
หลังจากที่นำอุปกรณ์ทั้งหมดไปคืนแล้ว เมื่อกลับไปถึงหอพัก ซูเย่ก็ตอบคำถามของสองเพื่อนซี้ที่กระหายในคำตอบอย่างสุดตัว
“มันต้องเศร้ามากแน่ ๆ ไม่งั้นก็คงเล่นไม่ได้ขนาดนั้น.. “
“ฉันประเมินทักษะกีตาร์ของนายต่ำไปมากเลยนะเนี่ย!”
ซูชือตบบ่าซูเย่อย่างเป็นกันเอง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาอย่างตื่นเต้น แล้วถามว่า “เดาสิว่าจะมีใครในฟอรัมของบอร์ดรวมมิตรมหาลัย โพสต์ชื่นชมการร้องเพลงของกลุ่มเหล็กกล้าของเราหรือเปล่า
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
จินฟานกำมืออย่างตื่นเต้น
บอร์ดรวมมิตรมหาลัยคือบอร์ดที่ให้ผู้ใช้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนหรือซุบซิบนินทาระหว่างมหาลัยต่าง ๆ
นอกจากส่วนสำหรับการซุบซิบนินทาแล้ว ก็ยังมีฟอรัมย่อยอีกเป็นโหล ๆ
ทุกคนในบอร์ดล้วนอยากเป็นตัวเอกของฟอรัมหรือถูกกล่าวถึง และแน่นอนว่าต้องเป็นการกล่าวถึงในด้านดีเท่านั้น
ซูชือล็อคอินเข้าไปในส่วนของเรื่องซุบซิบ และสิ่งที่เห็นบนหน้าจอก็คือฟอรัมที่เต็มไปด้วยหญิงสาวในชุดฮั่นฝูสีขาว
น่าผิดหวังชะมัด
เขากดเลือกเข้าไปในส่วนของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง
ก่อนจะเลือกดูหัวข้อประเด็นร้อนแรงล่าสุด แต่เขาและจินฟานก็ถึงกับผงะพร้อมกันเมื่ออ่านชื่อกระทู้ยอดนิยม
“ขนาดเป็นแค่นักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรยังอ่านหนังสือมากกว่า 50 เล่ม แล้วนักศึกษาแพทย์แผนจีนรู้สึกอายบ้างไหมครับ? “
เหมือนว่าข่าววันนี้จะเกี่ยวข้องกับนักศึกษาในคณะของพวกเขา?
ใครกันเนี่ย?
ซูชือรีบกดเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะดวงตาเบิกกว้างแทบจะในทันที
“เสี่ยวเย่ มาดูนี่สิ นายอยู่ในฟอรัมของมหาลัยเราด้วยแหละ!”
ซูชือพูดอย่างวิตกกังวลในขณะที่ยื่นมือถือไปให้ซูเย่
ซูเย่เดินมาใกล้ ๆ มองโทรศัพท์มือถือ ดูเหมือนว่าเนื้อหาในฟอรัมนั้นจะเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคลาสการแพทย์ร่วมสมัยเมื่อตอนบ่าย
‘เขายังระบุหนังสือทางการแพทย์ได้มากกว่าห้าสิบเล่มที่ในชั้นเรียน’
ซูชือเลื่อนลงข้างล่างและซูเย่ก็มองเห็นข้อความส่วนแสดงความคิดเห็น
“ฟังดูแล้วโม้แน่นอน”
“+1 เลย แค่ห้าปีก็อ่านหนังสือ 50 เล่มจบได้เหมือนกันเว้ย หมอนั่นคงคิดว่าตัวเองเจ๋งมากสิท่า!”
“ซูเย่ นักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีนมีคะแนนสอบเข้าอันดับหนึ่ง คะแนนข้อสอบเขียนอันดับหนึ่ง คะแนนสอบสัมภาษณ์ก็อันดับหนึ่ง ดูเหมือนว่าปีนี้คณะวิจัยสมุนไพรจะได้อัจฉริยะมาแฮะ”
…
จินฟานหันไปมองซูเย่หลังจากที่อ่านคอมเม้นต์จบ ก่อนจะถามอย่างตรงไปตรงมา “นายอ่านไปแล้วมากกว่า 50 เล่มจริงอะ?”
ซูชือมองตามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“มากกว่านั้นอีก”
ซูเย่ตอบเสียงเรียบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
จินฟาน “…”
ซูชือ “…”
“ไม่ต้องมาโม้กันเลย บอกความจริงมาสิวะ”
ซูชือกล่าวอย่างหมดอารมณ์
จินฟานพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็พูดเรื่องจริงอยู่นี่ไง”
ซูเย่ตอบ
จินฟานโต้ “ไม่รู้ล่ะ พวกเราเชื่อว่านายอ่านอย่างมากสุดก็ 20 เล่ม เพราะงั้น 50 เล่มน่ะเหรอ? ฝันไปเถอะ”
ซูเย่ยิ้ม
พวกนายจะไม่เชื่อ มันก็ช่วยไม่ได้นะ