เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - ตอนที่ 205 ซูเย่ นายก็คือ x
บทที่ 205 ซูเย่ นายก็คือ x
ณ ที่แห่งหนึ่ง
หลังจากเห็นประกาศที่ปรากฎบนท้องฟ้า ผู้เล่นที่คาดเดากันว่าแร่ปราณจะสามารถดูดซับเปลี่ยนเป็นค่าประสบการณ์ได้ ต่างกำลังให้ความสนใจกับตารางการจัดอันดับ
ทันใดนั้นก็เห็นการรีเฟรชกระดานจัดอันดับ และ “เจ้าเวรกรรม” ที่อยู่รั้งอันดับพันกว่า ๆ ก็พุ่งทะยานมาอยู่ที่อันดับสองอย่างคาดไม่ถึง!
อันดับหนึ่ง: x เลเวล 40
อันดับสอง: เวรกรรม ตั้งชื่อยากเย็นขนาดนี้ไปไหนฮะ? เลเวล 40
อันดับสาม: หว่อเจิ้งจ้ายเฟยเสียง(ฉันกำลังโบยบิน) เลเวล 36…..
“บัดซบ! แร่ปราณอัพเลเวลได้เหมือนหยกพลังปราณจริง ๆ เหรอ?”
ผู้เล่นใบหน้าพลันเปลี่ยนสีและส่งกระจายข่าวนี้ไปที่เว็บบอร์ดทันที
“เทพเจ้าเวรกรรมอัพ 7 เลเวลในชั่วพริบตา? พุ่งจากเลเวล 33 ถึง 40 ทันที!”
ผู้คนในโลกเกมทั้งหมดต่างตกตะลึงเมื่อเห็นโพสต์นี้ ไม่ใช่มั้ง…เลเวล 40 เลยเหรอ?!
หลังจากนั้นก็พากันเข้ามาตรวจสอบตารางการจัดอันดับ แล้วถึงกับอึ้งทันที เป็นเลเวล 40 จริง ๆ ด้วย!
“สถานการณ์บ้าอะไรอีกเนี่ย? จากเลเวล 33 เลื่อนเป็น 40 ทันที?”
“เป็นเพราะว่าเขาพบแร่ปราณจริง ๆ เหรอ แร่ปราณนั้นเทียบเท่ากับหยกพลังปราณ น่าเสียดายที่มันถูกซึมซับเป็นค่าประสบการณ์?”
“ไม่มีคำอธิบายอื่นใด มันคงเป็นเพราะแร่ปราณจริง ๆ!”
“แล้วยังจะพูดอะไรกันอีกล่ะ…ไปสิ ไปขุดแร่กัน!!”
ทุกคนถึงกับคลั่งทันทีที่พบว่ามันเป็นทางลัดในการอัพเลเวล!
และในชั่วขณะหนึ่งนั้น พวกเขาเริ่มหยุดการฟันมอนสเตอร์ แล้วไปหาแร่ปราณทั่วป่าทั่วเขา…
ผู้เล่นหลายคนเพิ่งนึกออกว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเจอคนที่ขุดดินอยู่
ถ้าลองคิดดูแล้ว นั่นไม่ใช่ ‘เจ้าเวรกรรม’ หรอกหรือ?
ว่าแล้วต่างคนต่างก็รีบมองลงไปที่พื้น และหาที่ที่ ‘เจ้าเวรกรรม’ ขุดดิน แต่ก็พบแค่หลุมใหญ่…
เขตเลเวล 36
“แม่งเอ้ย เพิ่งอัพเป็นเลเวล 36 ตอนนี้ถูกมันแซงหน้าไปแล้ว”
‘หว่อเจิ้งจ้ายเฟยเสียง’ ที่กำลังฟันมอนสเตอร์เพื่อเพิ่มเลเวล ใบหน้าของเขาก็ถึงกับบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจทันทีเมื่อเห็นข่าวบนเว็บบอร์ด
ในเวลาเดียวกัน ขณะเพิ่มความเร็วในการฟันมอนสเตอร์อัพเลเวล
ใบหน้าของ ‘เมาโก่วจู่เหริน’ และคนอื่น ๆ ก็เคียดแค้นเจ็บใจมากเช่นกัน
ความรู้สึกเจ็บปวด 90% จากที่ถูกฆ่าก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ต้องการสัมผัสมันเป็นครั้งที่สองในชีวิต…!
แล้ว ‘เจ้าเวรกรรม’ อัพถึงเลเวล 40 แล้ว…
ต่อไปพวกเขาจะถูกทรมานอีกไหม?
“ไป ไปอัพเลเวล! มองหาแร่ปราณด้วย เขาคนเดียวยังหามันเจอ เราคนเยอะขนาดนี้จะหาไม่เจองั้นเหรอ?!”
‘เมาโก่วจู่เหริน’ กัดฟันพลางกล่าวกับคนทั้งกลุ่มของเขา
ในอีกฝั่งหนึ่ง
ซูเย่ก็ได้รับข้อความส่วนตัว เป็นหวังห่าวส่งมา…
“พรุ่งนี้เช้ามารับหยกพลังปราณระดับของนาย แล้วก็รางวัลไปด้วย”
“แล้วต้องมาให้ตรงเวลานะ!”
เช้าวันถัดมา
หลังจากถอดหมวก VR ออก ก็ออกไปกินข้าวเช้า แล้วไปยังสถานีตำรวจเขตมหาวิทยาลัย
ตอนเปิดประตูเข้ามาก็ยิ้มแย้มทักทายกับลุงยามที่เฝ้าประตู
ชายชรายิ้มตาหยีพลางพยักหน้าเบา ๆ
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน สถานีตำรวจที่ถูกโจมตีก่อนหน้านี้ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม แถมยังเพิ่มเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเก่าอีกด้วย
มาถึงห้องฝึก
“นี่คือรางวัลของนาย…”
เมื่อเห็นซูเย่ หวังห่าวก็โยนกล่องสีดำมาให้ทันที แล้วกล่าว “ทั้งหมด 11 ก้อน”
เมื่อเห็นรอยความฉงนบนหน้าซูเย่ เขาก็พูดอธิบาย
“หนึ่งก้อนมาจากการที่นายได้เลื่อนขั้นเป็นระดับสอง ทุกเดือนจะได้รับฟรีหนึ่งก้อน”
“และอีกส่วน ก็มาจากการที่นายจัดการผู้ที่โจมตีได้อย่างสวยงาม ปกป้องทุกคนให้ปลอดภัย เบื้องบนตั้งใจมอบเป็นของรางวัลให้กับนาย”
“แล้วอีกห้าก้อนล่ะครับ?”
ซูเย่ถาม
“ค่ายกลประสาน…”
หวังห่าวกล่าว “ฉันเอาเรื่องค่ายกลประสานรายงานให้เบื้องบนแล้ว หลังจากการวิเคราะห์ค่ายกลประสานของนายถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็มีประสิทธิภาพในการต่อสู้สูง เพื่อที่จะขอบคุณนาย เบื้องบนตัดสินใจมอบหยกพลังปราณให้นายอีกห้าก้อน”
“รวมกันทั้งหมด 11 ก้อน นายลองนับดู”
ซูเย่ไม่ได้นับแต่เอากล่องยัดใส่กระเป๋าทันที เขาสัมผัสถึงมันได้ หยกพลังปราณธรรมดา 11 ก้อน…
“ขอบคุณครับ…มีอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีผมจะกลับแล้ว…”
“มีสิ…”
หวังห่าวมองใบหน้าของซูเย่เนิ่นนาน ยื่นมือออกไปแล้วกล่าว
“สวัสดี ตั้งแต่นี้ไปขอทำความรู้จักกับนายอย่างเป็นทางการนะ…x ”
“ห๊ะ?”
ซูเย่มองหวังห่าวด้วยใบหน้าฉงนสงสัย…
“เลิกแสดงได้แล้วล่ะ”
หว้งห่าวส่ายศีรษะ แล้วพูดต่อ “ต่อให้ฉันโง่กว่านี้ แต่เมื่อเอาเบาะแสต่าง ๆ มารวมกัน ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่านายคือ x ”
“ตอนเกิดเรื่องที่นี่ แล้วนายจัดการพวกคนที่มาโจมตีได้ฉันก็มั่นใจแล้ว”
“และยิ่งไปกว่านั้น…เมื่อวานนายขายรหัส ตอนกลางคืนฉันไปตรวจสอบบัญชีของนายแล้ว พบว่านายบริจาคเงินจำนวนมากในแอพบริจาคเงิน และตอนที่ x ทำการค้ากับ ลูชวนเหยียนจิวเซิง ก็บริจาคเช่นกัน”
“การกระทำของพวกนายตรงกัน…เหมือนกันมาก ดังนั้นฉันจึงสรุปได้ว่า x ก็คือนาย นายก็คือ x”
เมื่อพูดจบ หวังห่าวก็จ้องไปที่ซูเย่อย่างเอาเป็นเอาตาย
เขารอคอยคำตอบจากซูเย่…
เมื่อฟังจบ ซูเย่ก็ตกสู่ความเงียบงัน ก่อนจะยิ้มออกมา…
ดูท่าคงจะหลบไม่พ้นแล้วสินะ…
“จะเอาหมวก VR กลับคืนไหมครับ?”
ซูเย่ยิ้มเอ่ยถาม หวังห่าวชะงักค้าง
ในที่สุดก็ยอมรับแล้ว!!!
บัดซบเอ้ย ตรวจสอบมาตั้งนาน ถามไปก็ตั้งหลายรอบ ยอมรับสักที !
นึกไปถึงความพยายามก่อนหน้านี้ของตัวเอง คิดไปถึงเรื่องที่ตนถูกไอ้งั่งสองคนหลอกเข้าให้ ไม่สิ…สามคน ยังมีคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกหนึ่ง
ทันใดนั้นหวังห่าวก็รู้สึกจมูกแสบร้อนอย่างไม่มีสาเหตุ ในที่สุดคดีก็ถูกไขได้แล้วว้อยย!!
“นายอยากเก็บไว้ไหม?”
หวังห่าวสูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ระงับความตื่นเต้นในใจพลางเอ่ยถาม
“ก็..ครับ” ซูเย่พยักหน้าเบา ๆ
“งั้นนายก็ทำตัวให้มันดี ๆ พิสูจน์ว่านายคู่ควรกับหมวกVRใบนี้…”
หว่างห่าวกล่าวอย่างตั้งใจ “เส้นทางแห่งผู้ฝึกยุทธ์ ไล่ตามความแข็งแกร่งอย่างไม่หยุดยั้ง จักต้องแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น นายต้องเอาความสามารถของนายออกมาพิสูจน์ว่านายแข็งแกร่งพอ…”
“ฉันจะไม่รายงานเรื่องนี้ต่อเบื้องบนชั่วคราว แต่นายต้องพิสูจน์ให้ได้ว่านายแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น”
เมื่อฟังจบ ซูเย่ก็นิ่งเงียบไปอีกครั้ง…
หวังห่าวมองไปทางซูเย่แล้วพูดต่อ “ฉันรู้ว่านายแอบซ่อนอะไรไว้มากมาย สิ่งนี่นายเผยให้เห็นเป็นเพียงภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นเหนือน้ำ แต่บนโลกใบนี้ นายต้องพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง นายถึงจะได้รับสิ่งต่าง ๆ มากกว่าเดิม ”
“หมวกตอนนี้ยังไม่ต้องคืน ฉันแค่ต้องการรู้ว่าหมวกอยู่กับใครก็พอ อย่างน้อยนายก็พิสูจน์ได้ว่าตัวเองไม่ใช่ศัตรู และไม่ใช่คนร้าย ยิ่งไปกว่านั้น นายอยู่ในกลุ่มผู้ที่ถูกเลือก ดังนั้นนายไม่ต้องคืนหมวกเวอร์ชั่นทดลอง ฉันจะยืดเวลารายงานออกไป และก่อนหน้านั้น นายจะต้องพิสูจน์ว่านายคู่ควร”
“งั้นตอนนี้ผมไม่เอาหมวก VR แล้วได้ไหม” ซูเย่กล่าว
หวังห่าว “……”
ถามจริงนะ เขาพูดปลุกระดมจนปากเปียกปากแฉะ พูดจนปณิธานในใจเขาเองโหมกระหน่ำ นายยังสัมผัสถึงมันไม่ได้เลยรึไง?!
“ในเมื่อนายรับมันไปแล้ว คิดอยากจะคืนก็คืนรึไง!”
หวังห่าวสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวเสียงเครียด
“ผมล้อเล่นเองครับ”
ซูเย่กล่าว “ผมรู้ดีน่าว่าอะไรเป็นอะไร”
จากบทสนทนาเมื่อครู่ หวังห่าวได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญให้กับเขา ขอเพียงแค่พิสูจน์คุณค่าของตัวเอง ก็จะได้ทรัพยากรมากกว่าเดิม…
“ได้ ฉันจะรอดู แต่นายต้องรับปากฉันก่อน จะไม่เอาเรื่องหมวก VR ก่อนหน้านี้ไปบอกคนอื่น”
หวังห่าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฉันต้องการให้นายรับปากฉัน”
ซูเย่พยักหน้ารับ แล้วกล่าว “ครับ…ผมรับปาก”
“เฮ้อ..” หวังห่าวถอนใจอย่างโล่งอกเบาๆ
การแสดงออกที่เคร่งเครียดติดต่อกันลดลงไม่น้อย และในดวงตาของเขาถูกแทนที่ด้วยความโล่งใจ ราวกับว่าเขาได้วางสัมภาระที่หนักอึ้งลง
เขาคาดหวังกับเส้นทางการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ของซูเย่มากจริง ๆ ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่รายงานต่อเบื้องบน แล้วสบโอกาสกระตุ้นซูเย่สักหน่อย…
“นายทำให้ x กับเจ้าเวรกรรมออนไลน์พร้อมกันได้ยังไง?”
หวังห่าวถามอีกครั้ง
“ความลับครับ…” ซูเย่ตอบเพียงแค่นั้น
“ก็ได้ พวกเราจะไม่ละลาบละล้วงความลับของนาย ขอแค่นายไม่เป็นภัยต่อประเทศชาติก็พอ…”
หวังห่าวกล่าวอย่างหมดปัญญา ทุกคนล้วนมีความลับกันทั้งนั้น
“ผมมีคำถามครับ” ซูเย่พูดขึ้นอย่างกะทันหัน
“ว่ามา…” หวังห่าวเอ่ยเปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มถามคำถาม
“Fantasy Dream ที่แท้จริง มีอยู่จริง ๆ ในโลกความเป็นจริงใช่ไหมครับ?”
ซูเย่ถามพลางจ้องไปที่หวังห่าวเพื่อรอคำตอบ
แต่หวังห่าวไม่ตอบ เพราะคำถามนี้เกี่ยวข้องไปถึงเรื่องความลับสุดยอด
ต่อมา…เวลาผ่านไปสักพัก
หวังห่าวมองไปที่ซูเย่แล้วอธิบายต่อว่า “ฉันเคยพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว… ตัวนายต้องพิสูจน์ตัวเอง…มีเพียงแค่การต้องพิสูจน์ว่านายแกร่งกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะความลับ หรือว่าทรัพยากร วิชายุทธ์ ทักษะการต่อสู้ ทุกอย่างจะปรากฏเบื้องหน้านาย…”
“ตอนนี้หากอยากรู้คำตอบ นายก็ต้องพิสูจน์ว่านายมีความสามารถมากพอที่จะรู้”
“หืม?”
ซูเย่มองเขาอย่างฉงน หวังห่าวต่อสายโทรศัพท์ คนสี่คนก็เดินเข้ามา
ยังคงเป็นพวกจูอวี้ เซียวจวิ้นและคนอื่นอีกสองคน…
“รับคำท้าไหม?”
หวังห่าวเอ่ยถาม เขาก็แค่อยากทดสอบความสามารถของซูเย่ วันที่มีการโจมตีมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซูเย่เอาชนะยอดฝีมือจำนวนมากขนาดนั้นได้ยังไง?
ไม่ว่าซูเย่จะเป็นคนร้ายหรือไม่ เขาจะต้องรู้ให้ได้ นี่เป็นหน้าที่ของเขา
และเป็นการพิสูจน์ว่าซูเย่มีความสามารถพอที่จะรู้คำตอบ
และถ้าเด็กหนุ่มมีความสามารถมากพอ เขาบอกก็ไม่ถือว่าเป็นการทำผิดกฎ…
“ก็เข้ามาสิครับ…” ซูเย่เริ่มเตรียมอุ่นเครื่อง บิดข้อมือพลางกล่าว
พวกจูอวี้ทั้งสี่คนมองไปทางหวังห่าวอย่างไม่แน่ใจ หวังห่าวพูดอย่างจริงจัง “เอาให้เต็มที่!”
ทั้งสี่คนพยักหน้า แววตามีความตื่นเต้น หลังจากคืนที่ถูกบุกโจมตี ก็อยากรู้ระดับความสามารถของหมอนี่มานานแล้ว พวกเขามองหน้ากันครู่หนึ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลง เริ่มการจู่โจมทันที…!
พลั่ก! พลั่ก+
เสียงปะทะอันดุเดือดก็ดังขึ้น
ซู่เย่หนึ่งคนปะทะกับคนห้าคน
เพียงแค่การปะทะครั้งเดียว เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนทันที ทีมของหวังห่าวห้าคนนี้ไม่ธรรมดา
ตอนนี้ความสามารถต่ำสุดอยู่ที่ระดับสองและเปิดแปดจุดลมปราณแล้ว โดยมีหวังห่าวเป็นหัวหน้าทีม ความแข็งแกร่งของหวางห่าวก็อยู่ที่ระดับสาม หนึ่งเส้นลมปราณ
และในระดับเดียวกัน ความแข็งแกร่งของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าพวกสมาชิกองค์กรที่อยากอยู่เหนือมวลมนุษยชาติเพื่อปกครองโลกใบนี้เสียอีก
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ซูเย่ประหลาดใจมากที่สุดไม่ใช่ความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่เป็นทักษะการต่อสู้ของพวกเขา
“ฝ่ามือทะลุเมฆา!”
ในระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือด หวังห่าวสะบัดมือขวาของเขา และฝ่ามือก็ถูกเปลี่ยนเป็นใบมีดที่มีความแหลมคมโดยการห่อหุ้มของพลังปราณ และพุ่งเข้าหาซูเย่ด้วยความรวดเร็ว
“ทักษะมวยจีนโบราณ?”
เมื่อเห็นฝ่ามือนี้ของหวังห่าว ซูเย่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่นับเป็นครั้งแรกที่เห็นหวังห่าวแสดงทักษะการต่อสู้
ก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นหมัดมวยแบบกองทัพ แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะรู้จักทักษะมวยจีนโบราณ…
“น่าสนใจ” ซูเย่แสยะยิ้ม
มวยจีนโบราณคือศิลปะการต่อสู้ชนิดหนึ่งโดยใช้กระบวนท่าเป็นพื้นฐานแล้วเพิ่มพลังปราณลงไป และกลายเป็นทักษะการต่อสู้ที่มีพลังโจมตีรุนแรง
เขารู้ข้อบกพร่องทั้งหมดของมวยจีนโบราณเป็นอย่างดี แล้วห่าวใช้มวยจีนโบราณเพื่อโจมตี เขาเจอแผ่นเหล็กเข้าแล้ว ฝ่ามือทะลุเมฆานั้นเด่นในด้านความเร็ว พลังการเจาะที่แข็งแกร่ง ข้อดีชัดเจน และจุดอ่อนก็ชัดเจนยิ่งยิ่งกว่า
ในขณะที่โจมตี ผู้ออกกระบวนท่าจะรักษาท่าทางที่มุ่งไปข้างหน้า โดยรวมพลังทั้งหมดในฝ่ามือ จึงละเลยการป้องกัน
พูดง่ายๆ คือ โจมตีเพื่อป้องกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจไม่สามารถตั้งรับได้
น่าเสียดายที่เขาเจอกับซูเย่!