เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - ตอนที่ 11 เสียงกีต้าร์ผ่านพิณผีผา (ตอนต้น)
บทที่ 11 เสียงกีต้าร์ผ่านพิณผีผา (ตอนต้น)
ซูเย่ถือพิณผีผาเอาไว้มือในขณะที่เดินขึ้นไปยังตำแหน่งเดิมของหญิงสาวที่ทำการแสดงก่อนหน้านี้ ในขณะที่จินฟานและซุนชือต่างเดินไปประจำที่ตำแหน่งของตนเช่นกัน
ทันทีที่เห็นพิณผีผาในมือของซูเย่ ดวงตาของไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นมือกีต้าร์หรอกเหรอ? ทำไมถึงเปลี่ยนมาเล่นพิณผีผาแทนล่ะ?
ผู้คนที่ได้เห็นประกาศการแสดงจากฟอรัมในเว็บบอร์ดและรอชมการแสดงของพวกเขาต่างตกตะลึงเช่นกัน
มีผู้คนมากหน้าหลายตาที่ตั้งหน้าตั้งตารอฟังการเล่นกีต้าร์ของซูเย่ผู้ที่ตอบโต้คนจากสถาบันดนตรีซิงเหมิงคนนั้น แต่ตอนนี้ทุกคนกลับสงสัยในสิ่งเดียวกัน
“ทำไมถึงเป็นพิณผีผาล่ะ?”
อาจารย์หลี่เคอหมิงพึมพำเบา ๆ ดวงตาของเขาฉายแววเคลือบแคลงใจในบางอย่าง
เชียนจุนเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้คาดคิด บางทีอาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็เป็นได้ เขาแอบเหลือบมองไปยังบริเวณที่ผู้บริหารทั้งหลายนั่งอยู่
แต่เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้บริหารไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไร เขาเลยเริ่มรู้สึกเบาใจขึ้น
ซูเย่นั่งลงและรอสัญญาณเริ่มการแสดงจากจินฟานและซุนชือ
พวกเขาพยักหน้าให้กันเป็นสัญญาณแสดงความพร้อม
ซูเย่จัดท่าทางถือพิณผีผาในมือเป็นแนวตั้งก่อนจะเริ่มบรรเลงบทเพลง
“ตึ๊ง ตึ๊ง~”
จินฟานและซุนชือถึงกับชะงักไปเมื่อพวกเขาได้ยินโทนเสียง ทั้งสองคนหันไปมองซูเย่อย่างแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่เพิ่งจะได้ยินเสียงนั้นไปเมื่อครู่
เมื่อกี้นี้มันเสียงกีต้าร์ชัด ๆ เลยนี่นา!
บรรเลงเสียงกีต้าร์ผ่านพิณผีผางั้นเหรอ?
ดวงตาคู่สวยของไป๋จือหรานเหลือบมองขึ้นไปยังซูเย่ที่อยู่บนเวที ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังพิณผีผาในมือของเขาอย่างประหลาดใจ
“เมื่อกี้นี้มัน…..เสียงกีต้าร์?”
ไป๋จือเหยียนถามด้วยความฉงนปนประทับใจ
“ใช่แล้ว”
ไป๋จือหรานยังคงมองพิณผีผาในมือของซูเย่ วิธีที่เขาเล่น วิธีที่เขาใช้จับ ทุกท่วงท่าที่เขาทำ … เขาทำแบบนั้นได้อย่างไร?
หญิงสาวผู้แสดงด้วยพิณผีผาก่อนหน้านี้ยืนอยู่ที่ทางขึ้นเวทีด้วยท่าทีกังวล บางทีพิณของเธออาจจะเสียหายตอนเธอกำลังแสดง และเสียตอนที่คนอื่นยืมไปพอดี เธอมองซูเย่ด้วยสายตารู้สึกผิด
เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าพิณผีผาของเธอจะสามารถทำเสียงแบบนั้นออกมาได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะมันพัง
จินฟานและซุนชือเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลให้กับเรื่องนี้ได้ แต่มันถึงตาที่พวกเขาจะต้องร้องเพลงแล้ว พวกเขาจะต้องดำเนินการแสดงต่อไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
ในเวลานี้คงทำได้แค่เพียงเชื่อมั่นในตัวของซูเย่เท่านั้น
จงมั่นใจในความมั่นคงของหินผา!
แถมเจ้าซูเย่ก็ดูมั่นใจในตัวเองดี!
เหล่าผู้ชมเองก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังคงนึกไม่ออกว่ามันแปลกไปตรงไหน เพราะบทเพลงที่ถูกขับร้องนั้นก็ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากปกติ
จินฟาน: “โลกที่เต็มไปด้วยเหล่าพฤกษาอยู่หนใด?”
“หากที่นั้นมีจริง ฉันจะมุ่งไปอย่างแน่นอน!”
ซุนชือ: “จะขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขา ที่สูงเหนือที่อื่นใด “
“ต่อให้เป็นหน้าผาสูงชัน ฉันก็จะไป!”
…..
ทันทีที่พวกเขาเอ่ยเนื้อร้องออกมา ทั้งจินฟานและซุนชือต่างสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นอีกครั้ง ดั่งเช่นเมื่อคืนวานที่พวกเขาได้ลองซ้อมเปิดหมวดที่จัตุรัสส่วนกลาง มันเป็นความรู้สึกที่มากกว่าครั้งนั้นเสียอีก
ร่างกายที่แข็งเกร็งเพราะความตื่นเต้นเริ่มผ่อนคลายลง
สดับฟังถึงเสียงพิณผีผา ปล่อยใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับบทเพลง..
“เขาไม่ได้เล่นพิณผีผาด้วยวิธีการเล่นแบบปกติ เขาเปลี่ยนวิธีกดโน้ตสายพิณ รวมถึงวิธีการดีดด้วย… ” หลังจากที่ไป๋จือหรานสังเกตุมือของซูเย่มาได้สักพัก เธอก็ได้ข้อสรุป
ในใจลึก ๆ แล้ว เธอคาดหวังกับนักศึกษาที่เล่นพิณผีผาอยู่ข้างบนเวทีคนนั้นมากทีเดียว
ไป๋จือเหยียนมองสีหน้าของพี่สาวเธอก่อนจะเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“จะทำอะไรแบบนี้ได้ เขาต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งเรื่องพิณ ทั้งเรื่องกีต้าร์เลยใช่ไหม? “
“ใช่แล้ว”
ไป๋จือหรานพยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นคำตอบ สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปยังมือของซูเย่ที่กำลังบรรเลงพิณผีผา
ในที่สุดผู้ชมคนอื่น ๆ ก็รู้สึกตัวถึงเรื่องผิดแปลกกันเสียที พวกเขาพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบ
“เสียงมันฟังดูไม่ไพเราะเพราะพริ๊งเลยแฮะ”
“ทำไมฉันถึงได้ยินเสียงกีต้าร์ล่ะ?”
“พิณผีผามันเล่นโทนเสียงกีต้าร์ได้ด้วยเหรอ?”
“ด้วยฝีมือของพวกคณะวิจัยสมุนไพรเนี่ยนะ?”
พวกเขาเริ่มหยิบยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพ คลิปวิดีโอ ก่อนจะโพสต์ลงบอร์ดเพื่อกระจายความรู้สึกให้ทุกคนเห็น เด็กจากมหาวิทยาลัยคณะแพทย์แผนจีนจี้หยางก็มีเรื่องเจ๋ง ๆ เหมือนกัน!
“จงวิ่งไป!”
“เผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาและการเยาะเย้ย”
“ถ้าไม่ผ่านความทุกข์ยาก จะได้เรียนรู้ถึงความหมายของชีวิตได้อย่างไร?”
“เราจะไม่คุกเข่าอ้อนวอนต่อโชคชะตา แม้ว่าเลือดนี้จะหลั่งไหล”
เสียงจินฟานและซุนชือดังขึ้นและดังขึ้น น้ำเสียงที่ไม่ย่อท้อและเต็มไปด้วยพลังใจที่ระเบิดออกมา หัวใจของทุกคนในที่นั้นเริ่มตอบสนองต่อบทเพลงและน้ำเสียงที่แกร่งกล้าของทั้งสอง
ฉันจะต้องเผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาและการเยาะเย้ยพวกนั้น
ฉันน่ะ…ก็แค่อยากจะเรียนที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คน!
ไม่ว่าพวกแกจะหัวเราะกันแค่ไหน คอยดูเถอะอีกไม่กี่ปีเท่านั้น มันไม่สายไปที่จะเรียนรู้หรอก!
เสียงหัวเราะของพวกแกจะเป็นแรงผลักดันให้เราสู้ต่อไป!
“วิ่งต่อไปด้วยความภาคภูมิใจดุจเกิดใหม่!”
“ชีวิตที่สว่างไสวจะไม่จบสิ้นแค่นี้
“แม้เราจะมอดไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน”
“เราจะงอกงามขึ้นอีกครั้งในวันหนึ่ง!”
เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนรู้สึกได้ถึงเสียงร่ำร้องจากในใจของพวกเขาที่ผสานเข้ากับบทเพลงนี้!
เสียงร้องตะโกนของเหล่านักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีน!
เหล่านักศึกษาต่างคณะที่เคยดูถูกพวกเขาล้วนเงียบกริบ
จะไม่ให้พวกเขาเหยียดเจ้าพวกนี้ได้อย่างไร?
ถ้าให้เทียบกันแล้ว ยังไงคนพวกนี้ก็เทียบกับพวกเขาที่ต้องเรียนเป็นสิบปีไม่ได้อยู่แล้วนี่?
อาจารย์หลี่เคอหมิงมองนักศึกษาทั้งสามบนเวทีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโล่งอกโล่งใจ
ถ้าอาจารย์ได้มาเห็นเหล่านักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีนมีแรงใจที่แข็งขันกันขนาดนี้ ท่านคงจะมีความสุขมากเลยทีเดียว เขาคิดเช่นนั้น
เขายังคงจำเหตุการณ์เมื่อสี่ปีที่แล้วได้ดี ในวันที่เปิดคณะวิจัยสมุนไพรจีนในมหาลัยอย่างเป็นทางการ
เกือบทุกคนโต้แย้งยืนกรานไม่ให้อาจารย์ของเขาเปิดคณะหรือเลือกเดินทางในเส้นทางนี้
มีหมอบางคนถึงกลับพูดตรง ๆ เลยว่า “เพียงแค่เวลาห้าปีเท่านั้น นักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีนจะมีศักยภาพเทียบเท่านักศึกษาแพทย์แผนจีนที่เรียนหลักสูตรครอบคลุมสากลโลกได้อย่างไร? วิชาแบบนี้สามารถสอนเป็นวิชาแยกเอาก็ได้ หากพวกเขาทำพลาด สิ่งที่ล้มเหลวจะไม่ใช่เพียงแค่อาชีพของพวกเขาเพียงอย่างเดียว แต่นั่นอาจหมายถึงชีวิตคนไข้ การศึกษาสั่งสอน และระบบการศึกษาที่ล้มเหลว คุณหลอกตัวเองไปก็เท่านั้น เส้นทางนี้น่ะมันไปไม่รอดหรอก!”
หลังจากที่ฟังคำพูดนั้นแล้ว อาจารย์ของเขานิ่งเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยความในใจออกมา
“การจะเติบโตในเส้นทางแพทย์แผนจีนต้องพึ่งพาความรอบรู้ ความเข้าใจและตรรกะ ทั้งหมดนั้นคือต้นกล้าของศาสตร์แพทย์แผนจีน พื้นฐานของการศึกษาคือการปลูกฝังเพื่อให้เกิดการงอกงามมิใช่ฝังกลบผืนดิน ผมเพียงหวังว่าคณะวิจัยสมุนไพรจีนนั้นจะเป็นหนทางแก่ผู้ที่ประสงค์จะทำความเข้าใจและศึกษาในศาสตร์แห่งแพทย์แผนจีนอย่างแท้จริง”
เพื่อให้คณะวิจัยสมุนไพรจีนได้มีวันนี้ ท่านอาจารย์ต้องอนทนต่อแรงกดดันรอบข้างเป็นอย่างมาก
“ฉันหวังว่าปีนี้จะไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวังนะ”
อาจารย์หลี่เคอหมิงคาดหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ
…
ณ มุมหนึ่งที่ด้านหลังของห้องโถง
“เก่งจริง ๆ เลยนะ” ไป๋จือหรานพูดออกมาอย่างจริงใจ
“พี่หมายถึงใครเหรอ?”
ไป๋จือเหยียนถามขึ้นมาอย่างสงสัยใคร่รู้ เพราะพี่สาวของเธอไม่ใช่คนที่จะเอ่ยชมใครง่าย ๆ
“ซูเย่น่ะสิ”
“เธอน่าจะพอดูออกใช่ไหม? ทั้งความสามารถในการร้องเพลงของนักร้องทั้งสองที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และเสียงของพิณผีผาที่เขาใช้เพื่อเข้าไปกุมหัวใจของผู้ฟัง”
“เสียงของพิณผีผาสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักร้องทั้งสอง แต่สิ่งที่สุดยอดที่สุดคือเขาสามารถควบคุมเสียงโน๊ตได้ดั่งใจ ทั้งๆ ที่เสียงคีย์นั้นหากพลาดนิดเดียว ก็จะกลายเป็นเสียงที่แตกพร่า”
เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “เขาเก่งกว่าฉันเสียอีก “
ไป๋จือเหยียนโอบกอดพี่สาวของเธอเป็นการปลอบใจ “สำหรับฉันแล้ว พี่น่ะเก่งที่สุดล่ะ!”
…
บอกเล่าความรู้ : ผีผา (จีน: 琵琶; พินอิน: pípá) เป็นเครื่องดนตรีจีนอย่างหนึ่ง มีลักษณะเป็นเครื่องสาย เล่นด้วยการใช้นิ้วดีดสาย เครื่องดนตรีนี้มีรูปร่างเหมือนลูกแพร์ ชื่อผีผานั้น คำว่า ผี มาจากกริยาการใช้มือดีดออก และคำว่า ผา มาจากกริยาการใช้มือดีดเข้า แต่นักวิชาการก็กล่าวว่า ผีผา น่าจะมาจากคำว่า วีณา หรือ พิณ นั่นเองและ มีการพัฒนาเทคนิคการเล่นผีผามาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นเครื่องดนตรีประจำชาติจีน