เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 532 เพลิงมนุษย์
ตอนที่ 532 เพลิงมนุษย์
……….
กระเรียนกระดาษไม่ได้เรียนรู้วิชาอะไรมากเท่าไหร่ ทว่าเรียนรู้วิชาดีจากตัวกระบี่เครือเขียว หากระยะทางไม่ไกลเกินไป ความเร็วของกระเรียนกระดาษสู้กระบี่เซียนไม่ได้ แต่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว อีกทั้งพูดตามตรงว่าจังหวัดเป่ยหลิงอยู่ตรงด้านข้างของเทือกเขาค้ำฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นประตูบ้านของเขาเก้ายอด
แม้ท้องฟ้ายังไม่สว่าง แต่ก็ห่างจากเวลาฟ้าสางไม่นานแล้ว ตอนจี้หยวนเตรียมตัวพาจิ้นซิ่วกับอาเจ๋อหาสถานที่กินอาหารเช้าที่เมืองเป่ยหลิ่ง กระเรียนกระดาษก็ทะลุผ่านเมฆหมอก มองเห็นยอดเขาเก้ายอดแล้ว
เพราะแขวนป้ายคำสั่งเอาไว้ ด่านต้องห้ามของเขาเก้ายอดและค่ายกลใหญ่จึงไม่ส่งผลกระทบต่อกระเรียนกระดาษสักเท่าไหร่ แม้มีสายตาหลายคนกวาดมองไม่ก็จำต้องสนใจหลบเลี่ยง เพราะผู้สูงส่งบนเขาเก้ายอดส่วนใหญ่ล้วนรู้ว่าจี้หยวนมีกระเรียนน้อยมหัศจรรย์ที่พับขึ้นจากกระดาษ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง กระเรียนกระดาษนำป้ายคำสั่งมุ่งตรงไปยังยอดเขามรรคสวรรค์
จ้าวอวี้อยู่ในโถงรับแขกหอเจิดจ้าที่รอบข้างล้วนเป็นหน้าต่างบนยอดเขามรรคสวรรค์ ที่นั่งขัดสมาธิอยู่รอบๆ คือผู้ฝึกปราณหอเร้นตำราของเขาเก้ายอด พวกเขากำลังอนุมานตำรามรรคที่ได้จากงานชุมนุมเซียนพเนจรในครั้งนี้ หลังจากอนุมานสำเร็จแล้วยังต้องส่งตำราต่างๆ ไปยังสำนักจวนเซียนมากมาย
ตอนนี้เองจ้าวอวี้รู้สึกได้ว่าป้ายคำสั่งเข้ามาใกล้ เมื่อมองหน้าต่างทางเหนือเห็นพียงแสงสายหนึ่งเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว พอโคจรวิชาตาทิพย์มองดูอย่างละเอียด นั่นเป็นกระเรียนกระดาษที่กระพือปีกเร็วๆ ตัวหนึ่ง บนตัวมันแขวนป้ายคำสั่งที่เขาให้จี้หยวนยืมเอาไว้
‘กระเรียนวิญญาณของท่านจี้หรือ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น’
ผู้สูงส่งที่มีมรรควิถีระดับจ้าวอวี้ หลายๆ อย่างนั้นมองปราดเดียวก็เกิดความเข้าใจ ทันทีที่เห็นกระเรียนกระดาษและป้ายคำสั่ง ความรู้สึกว่ามีเรื่องไม่น่าพิสมัยเกิดขึ้นก็เพิ่มขึ้นมาเลือนราง
ป้ายคำสั่งบัญชาเบญจอสนีที่ไร้ข้อเสียหมดฤทธิ์ที่หน้าหอ กระเรียนกระดาษบินเข้าไปไม่ได้ มันก้มหน้าใช้จะงอยปากจิกป้ายคำสั่ง ส่งเสียงจิ๊บๆ บ่งบอกว่าตนเองมีป้ายคำสั่ง ควรปล่อยมันไป
จ้าวอวี้โบกมืออยู่ในหอ เขตอาคมไร้รูปร่างสลายไป กระเรียนกระดาษถึงกระพือปีกบินจากหน้าต่างเข้าไปในหอ ก่อนจะหมุนศีรษะมองไปรอบๆ ห้อง สุดท้ายร่อนลงที่ฝ่ามือของจ้าวอวี้
จ้าอวี้มองกระเรียนวิญญาณที่น่าอัศจรรย์ในมือ ถามว่า
“ท่านจี้ฝากอะไรมาถึงข้าหรือ”
กระเรียนกระดาษพยักหน้า จิกฝ่ามือจ้าวอวี้เบาๆ ครั้งหนึ่ง แสงเจือจางสายหนึ่งเกิดขึ้น
จ้าวอวี้มุ่นคิ้วก่อนเป็นอันดับแรก จนสุดท้ายกลายเป็นมีสีหน้าประหลาดใจ เพียงไม่กี่อึดใจสั้นๆ เขาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปทางเหนือ
ผู้ฝึกปราณรอบๆ ไม่เคยเห็นอาจารย์เซียนเผยสีหน้าแบบนี้ ขณะที่แปลกใจก็อดคาดเดาไม่ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผู้ฝึกปราณที่มีระดับพลังสูงหน่อยเอ่ยถามตามตรง
“อาจารย์เซียน โลกเบื้องล่างเกิดเรื่องอะไรหรือ”
ตามหลักการแล้วแม้มีเรื่องยุ่งยากอะไร แต่มีป้ายคำสั่งของอาจารย์อยู่ด้วยไม่มีทางแก้ไขไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าคนผู้นั้นคือท่านจี้
จ้าวอวี้มองกระเรียนกระดาษในมือ ส่ายหน้าพลางถอนใจ
“ถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดเกิดเรื่องใหญ่แล้ว! เรียกรวมตัวผู้ว่าการทุกยอดเขา ตีระฆังฟ้าคำราม”
“ระฆังฟ้าคำราม!?”
“อะไรนะ!?”
ผู้ฝึกปราณในห้องส่งเสียงตื่นตกใจ ภายในถ้ำสวรรค์ของตนเองยังมีเรื่องร้ายแรงจนถึงขั้นนี้ได้หรือ
โดยปกติแล้วแดนอริยะฝึกปราณทุกแห่งมีอาวุธวิเศษหนึ่งหรือหลายชนิด การมีอยู่ของมันทำหน้าที่เป็นคำเตือนหรือกระตุ้นการตัดสินใจ ส่วนเขาเก้ายอดมีสองชนิด หนึ่งคือระฆังฟ้าคำราม สองคือระฆังผนึกภูผา แต่ไม่อาจเคาะมันได้โดยง่าย หากมีธุระหรือต้องการส่งสาร สำแดงวิชาส่งกระแสเสียงหรือไปหาโดยตรงก็ใช้ได้แล้ว
เมื่อระฆังฟ้าคำรามดังขึ้น เท่ากับว่าเกิดเรื่องเร่งด่วนและสาหัส เสียงมรรคพิเศษจะแทรกซึมไปสู่ทุกส่วนของภูเขา แม้แต่ผู้เข้าฌานกักตัวก็ได้ยิน ผู้ว่าการทุกยอดเขาเก้ายอดและเซียนที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับสูงล้วนต้องรวมตัวกันที่ยอดเขามรรคสวรรค์ทันที ส่วนระฆังผนึกภูผาพิเศษกว่านั้น มีเพียงมหันตภัยใหญ่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของสำนักถึงจะตีระฆังได้
แก๊ง…แก๊ง…แก๊ง…
ระฆังฟ้าคำรามดังก้อง ทั้งเขาเก้ายอดล้วนรับรู้ ทันใดนั้นแสงธรรมหลายสายลอยมาทางยอดเขามรรคสวรรค์ เขตอาคมใหญ่เขาเก้ายอดทำงานเต็มกำลัง ทั้งยอดเขาเก้าค้ำฟ้าหายไปในส่วนลึกของเทือกเขาค้ำฟ้า
…
รุ่งเช้าของจังหวัดเป่ยหลิ่งยังคงเหมือนเก่า ชาวบ้านที่ต้องทำงานหนักตื่นแต่เช้าตรู่ เดินบนถนนอย่างรีบร้อน หากไม่ลำบาก อย่าว่าแต่กินข้าวอิ่มเลย แม้แต่จ่ายภาษีก็ทำไม่ได้
จี้หยวน จิ้นซิ่ว และอาเจ๋อนั่งอยู่ที่หน้าร้านเกี๊ยว เถ้าแก่ข้าวของร้านเป็นชายชราคนหนึ่ง ท่าทางคล้ายคลึงกับตอนเถ้าแก่ซุนทำมาหากินในตอนนั้น ตอนเถ้าแก่ซุนยังเปิดร้านได้แจ่มใสคล่องแคล่ว ทว่าเถ้าแก่ร้านเกี๊ยวกลับมือสั่นขณะทำงาน แม้ไม่อาจเรียกว่าสั่นงักงก แต่ก็ไม่เหมาะทำงานตื่นเช้านอนดึกอย่างแน่นอน
เกี๊ยวยังไม่ทันลงหม้อก็มีคนสวมชุดผ้าไหมคนหนึ่งเดินมาที่หน้าร้าน เป็นจ้าวอวี้ เจ้าสำนักเขาล้อมหยกนั่นเอง จี้หยวนลุกขึ้นยืนคารวะจ้าวอวี้ที่มาถึงตรงหน้าพอดิบพอดี
“ท่านจี้!”
“เจ้าสำนักจ้าว!”
หลังจากคารวะเสร็จแล้ว จ้าวอวี้หยิบกระเรียนกระดาษออกมาจากในแขนเสื้อแล้วยื่นให้จี้หยวน กระเรียนกระดาษในตอนนี้เหมือนกับนกกระดาษของเด็กเล่น จี้หยวนรับมาแล้วยื่นมือไปตรงอกเสื้อ ก่อนที่กระเรียนกระดาษจะลอดเข้าไปในถุงผ้าไหมด้วยตนเอง
จ้าวอวี้มองอาเจ๋อที่ยังคงกินเกี๊ยวอยู่ครั้งหนึ่ง แล้วมองไปทางศาลหลักเมืองครั้งหนึ่ง สุดท้ายเบนสายตากลับมามองจี้หยวนอีกครั้ง
“โชคดีที่ท่านจี้พบเรื่อง และขอบคุณท่านจี้มากที่บอกกล่าว เรื่องนี้เขาเก้ายอดของข้าจะจัดการเอง”
จี้หยวนเผยรอยยิ้มจางพลางพยักหน้า
“ข้าคนแซ่จี้ไม่มีทางแทรกแซง และไม่มีทางเที่ยวพูดมั่วแน่นอน”
จ้าวอวี้ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย เขามาพบจี้หยวนตามลำพังเพราะอยากพูดคำนี้ ไม่เช่นนี้หากจี้หยวนไม่คิดเก็บความลับ เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเช่นกัน
ได้ยินจี้หยวนรับปากแล้ว จ้าวอวี้คารวะจี้หยวนอย่างจริงจังอีกครั้ง
“ขอบคุณท่านจี้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง”
จี้หยวนยกมือ
“ข้าคนแซ่จี้ยังพูดไม่จบ เจ้าสำนักจ้าวก็รู้ว่าความนัยในคำพูดข้า กฎของถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว”
จ้าวอวี้มองจี้หยวนไม่พูดจา ฝ่ายจี้หยวนสบตาจ้าวอวี้ด้วยดวงตาสีเทาอย่างไม่หลบเลี่ยง ผ่านไปนานแล้วฝ่ายหลังค่อยกล่าว
“เรื่องนี้ข้าจะสืบสวนเอง หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมจัดการอย่างเหมาะสม”
ก่อนหน้านี้เข้าใจความหมายของจี้หยวนตั้งแต่จากคำบอกเล่าของกระเรียนกระดาษแล้ว รูปแบบการหมุนเวียนของฟ้าดินในปัจจุบันนี้มีปัญหาใหญ่ พวกเขาไม่อาจสร้างฟ้าดินที่ไร้ปราณชั่วร้ายโดยสิ้นเชิงได้
แต่หากถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดเหมือนกับข้างนอก วันนี้มรรคเทพโลกถ้ำสวรรค์อาจพังทลายอย่างหนัก ‘ความต่างเวลาฟ้าดิน’ สิบเท่านั้น นอกเสียจากเขาเก้ายอดจะใช้พลังมหาศาลควบคุม ไม่เช่นนั้นจะเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวง แต่หากไม่มีความต่างเวลาฟ้าดิน สวนวิญญาณมากกว่าครึ่งของเขาเก้ายอดต้องเกิดปัญหา
เขตแดนของผู้ฝึกปราณยอดเยี่ยมเพียงใดก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีผลประโยชน์ทางด้านความคิด โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวพันกับเรื่องของสำนัก เขาไม่มีทางแย่งของล้ำค่าของผู้อื่นแน่นอน แต่จู่ๆ มีคนบอกว่าต้องการนำกระบี่เครือเขียวของเขาไป นั่นเขาต้องโกรธอยู่แล้ว
“เอ่อ ลูกค้าท่านนี้ ท่านรับเกี๊ยวสักชามหรือไม่”
ชายชราที่กำลังยุ่งอยู่ทางนั้นเห็นว่ามีบุรุษแต่งตัวดีเพิ่มมาคนหนึ่ง จึงถามขึ้นทันที
“ขอบคุณมาก แต่ข้าขอไม่รับ”
จ้าวอวี้ส่ายหน้าปฏิเสธชายชรา กลับเป็นจี้หยวนที่สั่งชายชราเสียงหนึ่ง
“เถ้าแก่ ทำให้ท่านจ้าวชามหนึ่งเถอะ”
พูดจบแล้วจี้หยวนมองจ้าวอวี้ที่มีสีหน้าฉงน ก่อนจะกล่าวเสียงเบา
“เจ้าสำนักจ้าวไม่ได้มาเดินเล่นบนโลกมนุษย์ตั้งนาน ชิมเพลิงมนุษย์สักหน่อยเถอะ”
คำพูดนี้ได้ผลชะงัดกับจ้าวอวี้ เดิมทีเขาจะจากไปในทันที ทว่าเกิดลังเลขึ้นมาเล็กน้อย สุดท้ายเลือกอยู่ต่อ
“ในเมื่อท่านจี้จะเลี้ยง ข้าคนแซ่จ้าวย่อมเชื่อฟังอย่างนอบน้อม”
จิ้นซิ่วรีบยืนขึ้นคารวะจ้าวอวี้พร้อมกล่าวทักทาย ‘เซียนเจ้าสำนัก’ ฝ่ายจ้าวอวี้พยักหน้าแล้วนั่งลง
ชายชราผู้นั้นพยักหน้าด้วยความดีใจ เพิ่มเกี๊ยวจำนวนหนึ่งลงในมือ ปากพลางตอบรับจี้หยวน
“อ้อ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว!”
สี่คนนั่งล้อมหนึ่งโต๊ะ จิ้นซิ่วกับอาเจ๋อสำรวมขึ้นไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด โชคดีที่ไม่นานนักเกี๊ยวก็เสร็จแล้ว
“มา ลูกค้า เกี๊ยวของพวกท่านเสร็จแล้ว”
ชายชรายกถาด ใช้ความเร็วอันเชื่องช้าเดินมาทางโต๊ะของพวกจี้หยวน พยายามรักษาความมั่นคงอย่างสุดความสามารถ ทว่าถาดสั่นอย่างต่อเนื่อง อาเจ๋อจึงรีบลุกขึ้นรับถาดจากมือของชายชรา
“ข้ารับไว้เองท่านตา”
“อ้อๆ ขอบใจมาก!”
อาเจ๋อวางถาดลงบนโต๊ะ จิ้นซิ่วกับเขายกชามเกี๊ยวสี่ชามออกมา
ตอนนี้ทั้งร้านเกี๊ยวมีลูกค้าอยู่สี่คน ชายชราเป็นคนช่างพูด เห็นลูกค้าสี่คนเหมือนไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งใจดีมีเมตตาก็นั่งลงที่โต๊ะใกล้เคียงคิดสนทนาด้วย จี้หยวนก็อยากสนทนากับชายชราเช่นกัน จึงกินไปพลาง คุยเรื่องราวของที่นี่ไปพลาง
ชายชราพูดถึงความลำบากของชาวบ้านที่นี้กับ ‘คนต่างถิ่น’ อย่างพวกจี้หยวนเป็นหลัก บุตรชายเขาถูกจับไปเป็นทหาร ลูกสะใภ้อยู่บ้านดูแลเขากับหลานชาย อีกทั้งดูแลทุ่งนาและเป็นทำงานเย็บปัก ต้องจ่ายภาษีเยอะมาก หวังพึ่งรายรับจากทุ่งนาได้ไม่เท่าไหร่ ทั้งครอบครัวต้องกินข้าว ทำให้เขาอายุปูนนี้แล้วยังต้องทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่
แต่สถานการณ์ของเขาถือว่าอยู่ดีแล้ว คนไม่น้อยต้องอดอยาก และสภาพบ้านเมืองทุกวันนี้วุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ ทหารปล้นสะดมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน มักได้ยินว่าบางพื้นที่ถูกปล้นฆ่าจนไม่เหลือใครสักคน
สิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์ซับซ้อนมากสำหรับฟ้าดินภายนอกเช่นกัน ยิ่งไม่ขาดแคลนสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย แต่ฟ้าดินทางนี้วุ่นวายยิ่งกว่านั้นอย่างชัดเจน เพราะคำพูดของชายชรา จ้าวอวี้ถือโอกาสนับนิ้วทำนายชะตา พลันรู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่ที่โดยรอบของจังหวัดเป่ยหลิง หลังจากเขามุ่นคิวเป็นพักๆ สุดท้ายเลื่อนสายตาไปยังอาเจ๋อ
อาเจ๋อกับจิ้นซิ่วก้มหน้าก้มตากินเกี๊ยว ไม่กล้ามองจ้าวอวี้โดยสิ้นเชิง ฝ่ายจี้หยวนกลับส่ายหน้าแล้วใช้ช้อนไม้กินบ้าง
จ้าวอวี้เหมือนกับเหม่อลอยออกไปนอกโลก ความคิดล่องลอยพาให้มองฟ้าดินและหยินหยาง สุดท้ายรวมความสนใจที่ตรงหน้าอีกครั้ง มองช้อนแล้วตักเกี๊ยวขึ้นมาตัวหนึ่ง หลังจากเคี้ยวอยู่ในปากแล้ว รสชาติที่ได้รับมีแต่ความเค็มมัน
ตอนทั้งสี่คนนั่งกินเกี๊ยวอยู่ที่โต๊ะ ผู้สูงส่งทุกคนของเขาก้าวยอดพากัน ‘ลงมาสู่โลกมนุษย์’ แล้ว โดยเหาะไปยังสถานที่ต่างๆ ด้วยแรงผลักดันและเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่
……….