เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 531 ฟ้าถล่มลงมา ชายร่างสูงต้านไว้
ตอนที่ 531 ฟ้าถล่มลงมา ชายร่างสูงต้านไว้
……….
เดิมทีคิดว่าจะเกิดสงครามใหญ่ คิดไม่ถึงเลยว่าทุกคนยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรก็จบลงเสียแล้ว ทุกคนต่างมองตำแหน่งที่เดิมทีเป็นใจกลางตำหนักใหญ่ เชือกสีทองเส้นหนึ่งมัดเทพหลักเมืองและเทพผีจำนวนหนึ่งไว้ตรงนั้น
เสียงจอแจจากผีร้องคำรามระงมก่อนหน้านี้เงียบลงในทันที เหลือเพียงเสียงคำตอบของจี้หยวนยังคงดังก้อง
จิ้นซิ่วที่เดิมทีหวาดกลัวมากได้ยินว่าเป็นเชือกมัดเซียนแล้วตื่นเต้นขึ้นมาทันที นางได้ยินมาว่าของล้ำค่าที่เซียนเขาเก้ายอดร่วมกันหลอมกับผู้สูงส่งคือเชือกเส้นหนึ่ง แต่ไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินชื่อ ตอนนี้เห็นสถานการณ์แล้ว กอปรกับจี้หยวนบอกว่าไม่เคยใช้ของวิเศษชิ้นนี้มาก่อน นางย่อมเชื่อมโยงถึงเชือกล้ำค่าในเรื่องเล่าโดยปริยาย
ไม่ว่าอย่างไร ผลลัพธ์ที่แทบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อในตอนนี้เป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่เพราะสภาพของเทพหลักเมือง ทำให้เทพผีและยมทูตดำที่เหลือในศาลมืดล้วนทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
จี้หยวนมองตำหนักใหญ่เทพหลักเมืองที่พังทลายไปตรงหน้า เทพหลักเมืองถูดมัดไวด้วยเชือกมัดเซียน ปราณมารทั่วไปถูกมัดไว้เช่นกัน แต่ในตำหนักใหญ่ยังคงเหลือปราณขุ่นมัวจำนวนหนึ่ง
ปราณเหล่านี้ไม่ใช่ปราณมารธรรมดา แต่เป็นปราณมรรคเทพที่ผสมกับปราณหยินในศาลมืดและปราณอาฆาตชั่วร้าย เกิดเป็นความรู้สึกโสมมอย่างชัดเจน และปราณมารเป็นเพียงความชั่วร้าย ยังไม่ถึงขั้นโสมมขนาดนี้
ทั้งถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดอาจมีสถานที่ซึ่งมีปราณสกปรกและปราณอาฆาต ที่นี่คือโลกความตาย บางทีไม่เกิดเรื่องราวใหญ่โตอะไรมานาน แต่เดิมทีฟ้าดินนี้มีปัญหาอยู่แล้ว เมื่อผ่านไปนานเข้าโลกความตายกลายเป็นการทะลวงขั้นชั้นต้นสำหรับบางสิ่งที่ถูกกดกลั้นไว้ และผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรกก็คือเทพหลักเมืองที่บัญชาการทั้งโลกความตาย
พลังงานลบที่ทั้งโลกถ้ำสวรรค์กดกลั้นไว้พุ่งเข้าใส่โลกความตาย แม้เป็นจิตวิญญาณเทพที่เป็นเทพสั่งสมคุณงามความดีแท้จริงอย่างเทพหลักเมืองล้วนต้านไม่ไหว จมลงสู่มรรคมารโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าหลงมัวเมา ประกอบกับความวุ่นวายและการต่อสู้ในโลกความตาย เทพหลักเมืองจึงบาดเจ็บถึงปราณดั้งเดิมได้ง่ายนัก อีกทั้งเขาไม่อาจพบได้โดยง่าย บางทีตอนที่ตระหนักได้ว่าไม่ถูกต้องก็สายเกินไปเสียแล้ว
เทียบกันแล้วการเปลี่ยนแปลงของอาเจ๋อแม้พิเศษมาก แต่สิ่งที่เทพหลักเมืองเจอกลับน่าสงสารกว่าเล็กน้อย
จี้หยวนเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ปราณโสมมที่หลงเหลืออยู่ในตำหนักเทพหลักเมืองจากไปเองตามย่างก้าวของเขา จนกระทั่งจี้หยวนหยุดยืนตรงหน้าเทพหลักเมือง ด้วยเชือกมัดเซียนยังออกฤทธิ์อยู่ เทพหลักเมืองในตอนนี้จึงอยู่ในสภาวะสั่นกลัวเล็กน้อย แม้อ้าปากก็ส่งเสียงออกมาไม่ได้
“เดิมเป็นเทพผู้มีคุณธรรม อุทิศตนเพื่อคนทั้งโลกความเป็นและความตาย แต่กลับตกต่ำจนมีจุดจบเช่นนี้”
จี้หยวนคิดแล้วก็คลายปมเชือกที่มัดเทพหลักเมืองไว้เล็กน้อย พอให้ส่งเสียงออกมาได้ ตอนนี้เขาไม่มีมาดของเทพหลักเมืองแล้ว ชุดผ้าไหมที่สวมไว้ขาดวิ่น สีหน้าแปลกประหลาดและดุร้าย
“เจ้า เจ้าเป็นใคร เขาเก้ายอดไม่ควรมีบุคคลอย่างเจ้า เดิมคิดว่าเป็นเพียงศิษย์ที่เข้ามาใหม่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมองพลาดไป”
จี้หยวนไม่ได้ยิ้ม เพียงพยักหน้า
“เจ้าพูดถูกต้อง ข้าคนแซ่จี้ไม่ใช่ศิษย์เขาเก้ายอด แค่อาศัยป้ายคำสั่งอาจารย์เขาเก้ายอดมาจัดการธุระ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดมากแล้ว ข้าขอถามเจ้าว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ว่าตนเองถูกปราณมารมอมเมา”
“ฮ่าๆๆๆ…ฮ่าๆๆๆๆๆๆ…”
เทพหลักเมืองหัวเราะเสียงดังพร้อมใบหน้าน่ากลัว ไม่คิดตอบคำถามของจี้หยวนโดยสิ้นเชิง หลังจากหัวเราะแล้วก็เอ่ยปากขึ้นทันทีตอนที่จี้หยวนจะพูด
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเซียนนอกโลก ข้ารู้ว่าฟ้าดินที่นี่เป็นเพียงฟ้าดินเล็กๆ ที่เซียนเขาเก้ายอดใช้พลังมหาศาลสร้างขึ้น นอกโลกมีภูเขา นอกโลกมีท้องฟ้า คำพูดนี้ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจ บัดนี้กลับเข้าใจแล้ว! นกในกรงล้วนหวังบินให้สูง ท่านเซียนเข้าใจความรู้สึกนี้หรือไม่”
นอกโลกมีภูเขา นอกโลกมีท้องฟ้า
เทพผีมากมายในศาลมืดต่างก็มองจี้หยวนตามสัญชาตญาณ แม้แต่สายตาของอาเจ๋อก็มีความฉงนเช่นกัน
ถึงเทพหลักเมืองไม่ตอบคำถามกลับถามคำถาม ทว่าจี้หยวนไม่โมโหเลยสักนิด พยักหน้าเอ่ยว่า
“นอกโลกมีภูเขาและท้องฟ้าจริง แต่หากเปลี่ยนมุมมองล่ะก็ เจ้าก็อยู่บนภูเขาและท้องฟ้านอกโลก”
พูดแล้วจี้หยวนก็มองผู้พิพากษาที่อยู่นอกตำหนัก
“ผู้พิพากษา โปรดชี้แนะข้าสักคำ เทพหลักเมืองมีนามว่าอะไรหรือ”
ผู้พิพากษารีบตอบ
“เรียนท่านเซียน ใต้เท้าเทพหลักเมืองมีนามว่าอันซูอวี่ เดิมทีเป็นคนท้องถิ่นที่มีคุณธรรมและชื่อเสียงมาก”
จี้หยวนพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปใกล้เทพหลักเมืองอีกหลายก้าว แม้เป็นมหามาร แต่เผชิญหน้ากับจี้หยวนในตอนนี้แล้วกลับเผยสีหน้าประหวั่น
“ท่านเซียนเป็นผู้สูงส่งโลกภายนอก หากปล่อยข้าไปได้ ข้าจะเชื่อฟังท่านเซียนและเคารพท่านไม่ต่างจากบิดาแน่นอน!”
“ขอเทพหลักเมืองเป่ยหลิ่งอันซูอวี่ปรากฏกาย”
ระลอกคลื่นจางๆ ขยับอยู่ที่ปลายนิ้วจี้หยวน ทันใดนั้นยื่นขยายปกคลุมทั่วร่างเทพหลักเมือง ฝ่ายเทพหลักเมืองที่มีปราณมารทั่วกายเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ใบหน้าสั่นส่ายอย่างต่อเนื่อง สะบัดศีรษะไปมาเช่นกัน ราวกับว่าเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
“อ้าก…อ้าก…อึก…”
หลังจากนั้นหลายอึดใจ สีหน้าของเทพหลักเมืองสงบลง ตอนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความบ้าคลั่งในแววตาอ่อนลงไม่น้อย เขามองจี้หยวนตรงหน้าอย่างงุนงง เนิ่นนานให้หลังถึงพูดขึ้น
“ข้าน้อยอันซูอวี่ คารวะท่านเซียน!”
“เทพหลักเมืองอันไม่ต้องมากพิธี วันนี้มีสถานการณ์พิเศษ อย่ากล่าวโทษที่ข้าปลดเชือกให้เจ้าไม่ได้เลย”
“ข้าน้อยเข้าใจดี!”
เทพหลักเมืองอยู่ในสภาพใด ท่ามกลางเทพผีและคนมากมาย มีเพียงจี้หยวนและอันซูอวี่ที่รู้ดี
“เทพหลักเมืองอันรู้ตัวเมื่อไหร่ว่าตนเองถูกปราณมารมอมเมา”
จี้หยวนถามคำถามเมื่อครู่นี้อีกครั้ง เทพหลักเมืองตอนนี้เงยหน้าหวนรำลึกครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ความจริงแล้วข้าคนแซ่อันไม่รู้ว่ามีความชั่วร้ายมาถึงตัวอยู่นานมาก ประมาณหกร้อยปีก่อนเริ่มรู้สึกว่าจิตวิญญาณเทพไม่เพียงพอ รู้สึกง่วงนอนเป็นบางครั้ง ต่อมาเผชิญหน้ากับผีทำความชั่วก่อนตาย เห็นการลงโทษมากมาย แต่เรื่องนี้อยู่ในขอบเขตหน้าที่อยู่แล้ว ส่วนมากรู้สึกไม่ดี หลังจากสงบอารมณ์แล้วไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรมาก แต่เมื่อประมาณสี่ร้อยปีก่อน การฝึกปราณของข้าไม่ก้าวหน้า ความรู้สึกหงุดหงิดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…”
ตอนเทพหลักเมืองตระหนักได้ว่าปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ก็เมื่อหนึ่งหรือสองร้อยปีก่อน ตอนนั้นเขารู้ได้รางๆ ว่าเขตแดนตนเองมีปัญหา อีกทั้งสอบถามปัญหากับเทพหลักเมืองใหญ่ในอาณาจักรแล้ว คำแนะนำที่ได้รับกลับเป็นต้องเข้าฌานฝึกปราณมากๆ จากนั้นก็กลายเป็นสภาพในตอนนี้โดยไม่รู้ตัว ระหว่างต่อสู้กับความคิดชั่วร้ายนั้น เทพหลักเมืองเข้าใจได้บ้างแล้วว่ามีฟ้าดินที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า
ได้ยินคำบอกเล่าของเทพหลักเมือง จี้หยวนหรี่ตาสองข้าง จับใจความสำคัญบางอย่างได้จึงถาม
“เจ้าบอกว่าเทพหลักเมืองใหญ่ให้เจ้าเข้าฌานฝึกปราณมากๆ หรือ”
“ใช่ วันนี้คิดดูแล้วนับเป็นปัญหาเช่นเดียวกัน ขอท่านเซียนอย่าได้สนใจเลย!”
เทพหลักเมืองอันไม่ใช่คนโง่ แม้เป็นผู้มัวเมา แต่บัดนี้มองเห็นชัดเจนแล้ว เกรงว่าเทพหลักเมืองใหญ่เองก็มีปัญหาเช่นกัน
นี่เป็นกระบวนการจากบนลงล่าง โบราณกล่าวไว้ว่าฟ้าถล่มลงมาแล้วทับคนตัวสูงตายก่อน นำมาใช้กับสถานการณ์นี้ช่างเป็นการถากถางอย่างแท้จริง ระหว่างนั้นไม่รู้ว่าผ่านมาแล้วกี่ปี กว่าจะมาถึงอาเจ๋ออาจเป็นชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ หรือแม้กระทั่งชั้นที่ห้าแล้วก็เป็นได้
จี้หยวนก้มหน้าแล้วลืมตา เทพหลักเมืองอันซูอวี่กำลังมองเขาอยู่
“ท่านเซียน พลังฝึกปรือของข้าคนแซ่อันถูกทำลายแล้ว จิตวิญญาณดั้งเดิมเสียหายหมดสิ้น ถือโอกาสตอนนี้ข้าน้อยยังรู้สึกัตัว ขอท่านเซียนมอบความสุขให้ข้าสักครั้งเถอะ!”
ข้างกายเทพหลักเมือง เทพผีเหล่านั้นที่ถูกมัดด้วยเชือกมัดเซียนเช่นกันได้ยินแล้วเริ่มดิ้นพล่าน ถึงขั้นอ้าปากกัดเชือกมัดเซียนด้วย ปราณมารและปราณสกปรกเป็นกลุ่มลอยออกจากกายตลอดเวลา ทว่าเชือกมัดเซียนตรึงร่างไว้แน่นหนา
จี้หยวนคารวะเทพหลักเมืองอย่างจริงจัง
“ขอใต้เท้าเทพหลักเมืองไปดี!”
ครั้นพูดจบ เพลิงสมาธิก้อนหนึ่งออกจากปากของจี้หยวน ครอบคลุมเทพหลักเมืองอันซูอวี่และเทพผีที่กลายเป็นมารข้างกาย เพลิงสีแดงเผาทำลายในทันที ภายในไม่กี่ลมหายใจก็ผลาญพวกเรารวมถึงปราณมารจนเป็นจุณ
“ขอใต้เท้าเทพหลักเมืองไปดี!”
ผู้พิพากษา เจ้ากรมบุญบาป เทพผีและยมทูตดำมากมายพากันโค้งกายคารวะ อวยพรเป็นเสียงเดียวกัน
เชือกมัดเซียนสูญเสียเป้าหมายไปแล้วพลันลอยอยู่กลางอากาศก่อนกลับไปที่มือของจี้หยวน พันแขนจี้หยวนเอาไว้
“ท่านเซียน พวกข้าควรทำอย่างไรดี”
ผู้พิพากษาถามอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง ความโศกเศร้าหลังการจากไปของเทพหลักเมืองไม่อาจขจัดความกลัวของเทพผีทั้งหลาย ยิ่งเพิ่มความไม่สบายใจด้วยซ้ำไป ฟังจากบทมนทนาของท่านเซียนและใต้เท้าเทพหลักเมือง ยิ่งฟังยิ่งน่าหวั่นใจ มีความรู้สึกว่าหายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือน ตอนนี้ย่อมเห็นจี้หยวนเป็นเทพช่วยชีวิตแล้ว
“ทุกท่านโปรดวางใจ ทำตามระเบียบปกติของศาลมืด ท้องฟ้านี้ไม่ได้ถล่มลงมา”
…
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม จี้หยวนก้าวออกจากโลกความตายจังหวัดเป่ยหลิ่ง ท้องฟ้าข้างนอกยังไม่สว่าง ในเมืองมืดสนิทไปทั้งผืน
“ท่านจี้ ทำอย่างไรดี”
จิ้นซิ่วถามจี้หยวนอย่างกังวลใจ นางเป็นเพียงผู้ฝึกปราณตัวเล็กๆ คนหนึ่ง พบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไรกัน
“อย่างไรเสียข้าคนแซ่จี้ก็เป็นคนนอก ให้ในสำนักเจ้ารู้ความเปลี่ยนแปลงนี้ก่อนเถอะ”
พูดแล้วจี้หยวนหยิบกระเรียนกระดาษตัวเล็กออกจากอกเสื้อ ฝ่ายหลังอยู่ในฝ่ามือจี้หยวนแล้วขยายตัวทันที บิดคอแล้วสยายปีกเล็กน้อย เหมือนกับเพิ่งตื่นจากการนอนหลับ เมื่อกระเรียนกระดาษมองจี้หยวน มันพบว่าจี้หยวนแขวนป้ายคำสั่งไว้บนคอมันเรียบร้อย
ป้ายคำสั่งนี้มีขนาดใหญ่กว่ากระเรียนกระดาษหนึ่งเท่าตัว มันกระพือปีกบินขึ้น มองป้ายคำสั่งห้อยต่องแต่งเบื้องล่างอย่างฉงน บนนั้นมีตัวอักษรสีทอง ‘เวทเบญจอสนี’
จี้หยวนยื่นมือแตะศีรษะกระเรียนกระดาษเบาๆ ครั้งหนึ่ง ถ่ายทอดเรื่องที่เห็นให้มันรับรู้ด้วย
“ไปเขาเก้ายอด บอกอาจารย์จ้าวว่าถ้ำสวรรค์เก้ายอดเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
กระเรียนกระดาษได้รับคำสั่งจากเจ้านายแล้วไม่ลังแลแม้แต่วินาทีเดียว บินขึ้นท้องฟ้าสูงทันที จากนั้นกลายเป็นแสงสีขาวลอยไปทางใต้ของขอบฟ้าไกล
“ท่านจี้…เอ่อ พวกข้ายังไปเจอพวกอาหลงได้หรือไม่”
อาเจ๋อไม่เข้าใจเรื่องเทพเซียนปีศาจมารเหล่านี้ แต่ก็พอเข้าใจว่าเกิดปัญหาใหญ่แล้ว จึงไม่รู้ว่าท่านจี้ยังจะพาเขาไปพบสหายในอดีตหรือไม่
“วางใจเถอะ ต้องพบพวกเขาแน่”
จี้หยวนปลอบใจคำหนึ่ง สายตามองไปยังทิศทางที่กระเรียนกระดาษจากไป
……….