เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 530 ไม่เคยใช้ของล้ำค่านี้มาก่อน
ตอนที่ 530 ไม่เคยใช้ของล้ำค่านี้มาก่อน
……….
ได้ยินที่จี้หยวนพูดแล้ว แม้ไม่มีพลังแสงเทพอะไรปรากฏ แต่ผู้พิพากษากลับกดดันมาก รีบยิ้มเอ่ยว่า
“เรียนท่านเซียน หลายปีมานี้เกิดสงครามมากมายคนตายนับไม่ถ้วน เมืองเป่ยหลิ่งเพิ่งสงบมาได้สองปีเอง ตอนนี้ไม่ได้อยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรตงเซิ่ง แม้ศาลไม่ถูกทำลายและมีบุคคลจากเส้นขอบฟ้าปกป้อง ทว่าเทพผีศาลมืดล้วนได้รับบาดเจ็บถึงปราณดั้งเดิม ใต้เท้าเทพหลักเมืองสั่งการทั้งศาลมืด ยิ่งมีความรับผิดชอบมาก ร่างทองเสียหายจึงกำลังฟื้นฟูร่างกาย ไม่ได้มีเจตนาละเลยท่านเซียน!”
ที่แท้สงครามเมื่อสองปีก่อนส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองของเมืองเป่ยหลิง
“เป็นข้าคนแซ่จี้ต่างหากที่เสียมารยาท เช่นนั้นเทพหลักเมืองสบายดีกระมัง ต้องการอะไรหรือไม่ แม้ข้าคนแซ่จี้ช่วยไม่ได้ แต่นำความกลับไปที่ภูเขาได้”
“เอ่อ ไม่ต้องๆ ขอบคุณท่านเซียนที่เป็นห่วง ใต้เท้าเทพหลักเมืองกำลังเข้าฌาน ฟื้นฟูร่างกายได้ไม่เลวเช่นกัน เทพเล็กๆ ในโลกเบื้องล่างอย่างพวกข้าไม่จำเป็นต้องสร้างความเดือดร้อนให้โลกเบื้องบนหรอก”
“ดี เช่นนั้นก็ตามนี้เถอะ”
เห็นผู้พิพากษายิ้มแย้ม จี้หยวนก็ยิ้มตามเช่นกัน จากนั้นค่อยมองไปทางพวกอาเจ๋อ
อาเจ๋อกับครอบครัวพบกันแล้วมีเรื่องให้พูดคุยกันไม่จบสิ้น อีกทั้งต้องเล่าเรื่องสหายสี่คนให้ครอบครัวของพวกเขาฟังด้วย แน่นอนว่าเขาทำได้เพียงเลือกพูดเรื่องดีๆ ไม่เลือกพูดเรื่องไม่ดี เพื่อให้ผีเหล่านี้วางใจลงได้
แม้บอกว่ามีเวลาไม่มาก แต่จี้หยวนไม่ได้เร่งอาเจ๋อเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยามเต็มๆ อาเจ๋อถึงเริ่มบอกลาครอบครัว ทั้งสองฝ่ายอาลัยอาวรณ์กันแต่จำต้องจากลา รวมถึงเข้าใจได้รางๆ ว่าหลังจากพบกันครั้งนี้แล้วอาจจากเป็นจากตายกันอย่างแท้จริง ไม่มีโอกาสได้พบกันอีกสักครั้งแล้ว
“อาเจ๋อ…ต่อไปอย่ามาที่นี่อีกนะ!”
“ใช่แล้วอาเจ๋อ ที่นี่คือโลกคนตาย ต่อไปอย่ามาอีก!”
“ใช่ อาเจ๋อ เจ้าบอกว่าต้องไปตามหาอาหลงไม่ใช่หรือ เจอเด็กคนนั้นแล้วบอกเขาอย่าคิดมาโลกคนตายล่ะ”
“ใช่ๆ อานีของข้าก็เหมือนกัน หากคิดถึงกัน แค่จุดธูปในวันเทศกาลต่างๆ ก็พอแล้ว”
“พวกพี่น้องอากู่ก็ด้วย หากพวกเขากล้ามาก็ตัดขาพวกเขาเสีย!”
“อือๆ ข้าจะบอกพวกเขาทั้งหมด ข้าจะบอกพวกเขาแน่นอน!”
ปู่จวงมองจี้หยวนกับจิ้นซิ่วไกลๆ จากนั้นพาอาเจ๋อไปที่ด้านหนึ่งแล้วกำชับเสียงเบา
“อาเจ๋อ แม่นางผู้นั้นดูไม่เหมือนเซียนสักเท่าไหร่ แต่บุรุษผู้นั้นเป็นเซียนสูงส่งตัวจริง หากเจ้ามีโอกาสติดตามเขาฝึกเซียน ต้องเคารพนบนอบตั้งใจเรียนอย่าได้บกพร่อง แต่หากไม่มีโอกาส ปู่ไม่ขอให้เจ้าเป็นคนดี เพียงจำไว้ว่าทำเรื่องที่ควรทำ อย่าทำอะไรที่ไม่ควรทำก็พอ”
ผู้เฒ่าฉลาดมาก อาเจ๋อไม่เคยเรียกจี้หยวนว่าอาจารย์มาก่อน จี้หยวนก็ไม่เรียกเขาว่าศิษย์เช่นกัน ชัดเจนว่าไม่เหมือนอาจารย์กับศิษย์
“อาเจ๋อจำไว้แล้ว!”
…
ผ่านไปอีกเค่อหนึ่ง จี้หยวนกับจิ้นซิ่วเพิ่งรออาเจ๋อที่เดินมาพร้อมกับหันหลังไปมองทุกสามก้าว ผีทางนั้นเดินมาส่งสามก้าวแล้วหยุดอยู่ข้างกายยมทูตดำ มองจากสีหน้าของทั้งสองฝ่ายเพียงอย่างเดียวไม่เหมือนคนกับผีโดยสิ้นเชิง เหมือนกับคนพเนจรเดินทางไกลมากกว่า
“ท่านจี้ ข้ากลับมาแล้ว…”
“บอกลาหมดแล้วหรือ”
“อืม!”
จี้หยวนพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
พูดแล้วจี้หยวนก็ประสานมือให้วิญญาณผีที่คารวะอยู่ทางนั้น ก่อนจะพาจิ้นซิ่วและอาเจ๋อที่อาลัยอาวรณ์จากไปด้วยกัน
ตอนจากไปไม่จำเป็นต้องผ่อนฝีเท้ารอยมทูตดำตามหาคน จึงรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย ไม่นานเท่าไหร่พวกจี้หยวนสามคนก็ถึงด่านประตูผีโดยมีผู้พิพากษาตามมาด้วย
เห็นสามคนกำลังจะจากไป ผู้พิพากษาผ่อนลมหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ทว่าตอนนี้เองจี้หยวนพลันมองโครงสร้างตำหนักศาลมืดภายในด่านประตูผี จากนั้นถามจิ้นซิ่วที่อยู่ข้างๆ
“แม่นางซิ่ว เขาเก้ายอดไม่ได้มาดูศาลมืดโลกเบื้องล่างนี้นานแล้วใช่หรือไม่”
คำพูดนี้ทำให้ผู้พิพากษาชะงักไปเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรน้ำเสียงของเซียนผู้นี้ก็ไม่เหมือนเซียนเขาเก้ายอด หรือว่าเป็นเซียนเร้นกายบนโลกมนุษย์
“เท่าที่ข้าจำได้ เหมือนกับว่าไม่มีใครบนเขามาที่ศาลมืด แม้ข้าเพิ่งขึ้นเขามาได้ไม่กี่ปี แต่ก็รู้ว่าคนส่วนใหญ่บนเขาต่างก็บ่มเพาะจิตวิญญาณ ใครเล่าจะมา อีกทั้งไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่างหาก”
“ฮ่าๆ จริงของเจ้า มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกันน้อยนัก เทพหลักเมืองมีเค้าลางมารครอบงำก็ยังไม่รู้กระมัง”
“อะไรนะ!?”
“อะไรนะ”
เมื่อจี้หยวนกล่าวออกมา ผู้พิพากษาและจิ้นซิ่วที่อยู่ข้างๆ ต่างตกใจหน้าถอดสี เหล่าผียมทูตดำทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน จี้หยวนเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาก็รู้ว่าเทพผีเหล่านี้ไม่รู้เรื่อง อย่างน้อยสิ่งที่รู้ก็มีจำกัด
“ทะ ท่านเซียน เรื่องนี้พูดมั่วได้ที่ไหน!”
ผู้พิพากษามีสีหน้าเป็นกังวล ประสานมือให้จี้หยวนไม่หยุด จี้หยวนกลับยิ้มเย็นกล่าวว่า
“เทพหลักเมืองเป็นเทพสูงสุดของศาลมืด การเคลื่อนไหวเพียงนิดเดียวส่งผลถึงทั้งร่างกาย เกิดเรื่องกับร่างกายเขาแล้วจะค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างกาย วันนี้แม้แต่ยมทูตดำเฝ้าประตูก็มีปัญหา เห็นทีว่าปัญหาของเทพหลักเมืองไม่เล็กน้อยเลย!”
จี้หยวนพูดพลางมองผู้พิพากษา ก่อนมองยมทูตดำรอบๆ
“เดิมข้าคนแซ่จี้คิดว่าด่านประตูผีเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เทพผีที่นี่อยู่กันอย่างสบายใจเป็นเวลานานจึงละเลยหน้าที่ของตน ตอนนี้เห็นทีว่ากำลังคงไม่พอแล้วกระมัง”
เข้ามาในศาลมืดตั้งนาน ถึงขนาดไปที่เมืองผีมาด้วย แต่ยมทูตดำผีทหารที่จี้หยวนเห็นกลับมีไม่มาก ที่ติดตามมาด้วยก็มีอยู่เจ็ดแปดตนโดยตลอด ยิ่งไม่มีเทพใหญ่ของศาลใดปรากฏตัว
จี้หยวนมองตรงไปยังผู้พิพากษา เมื่ออีกฝ่ายผิดปกติไปจะได้ลงมือได้ทันที ฝ่ายหลังมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาตลอดเวลา หลังจากเงียบอยู่นานถึงค่อยกัดฟันกล่าว
“ท่านเซียน ขอพูดตามตรงไม่ปิดบัง ผีทหารศาลมืดของพวกเราล้มหายตายจากไปเร็วผิดปกติในหลายปีมานี้ แม้เลือกผีดีมาเติมตำแหน่งว่างเป็นประจำก็ยังไม่พอ เทพใหญ่แต่ละศาลส่วนใหญ่อ่อนแอ ยิ่งไม่ขาดแคลนผู้ที่ใกล้ตายแล้ว! ใต้เท้าเทพหลักเมืองบอกว่าเป็นเพราะยุคสมัยนี้ไม่สงบสุข ทำให้ศาลมืดระส่ำระส่าย ปราณดั้งเดิมของเขาถูกทำลายอย่างหนักเช่นกัน ทำให้ทั้งศาลมืดได้รับผลกระทบไปด้วย…”
ผู้พิพากษาเงยหน้ามองจี้หยวน ในแววตาเจือความไม่สบายใจ
“ข้าน้อยไม่เคยสงสัยในใต้เท้าเทพหลักเมือง ทว่าในใจข้าน้อยรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปอยู่เสมอ ทว่าเป็นตรงไหนที่แปลกไปกลับบอกไม่ถูก…มารโลกมนุษย์ถูกเซียนโลกสวรรค์กำจัดไปแล้ว ที่นี่ไม่มีมารถือกำเนิด เป็นไปได้อย่างไรที่ใต้เท้าเทพหลักเมือง…”
ในความทรงจำของผู้พิพากษา เซียนโลกสวรรค์เป็นผู้ปกครองใต้หล้า แม้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของโลกมนุษย์ แต่หากเกิดเรื่องใหญ่ที่ศาลมืดจริงๆ ด้วยโทสะแล้วย่อมมีผลลัพธ์ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งแน่นอน
“ไปดูก็รู้แล้ว”
จี้หยวนไม่มีความรับผิดชอบใดแม้สักนิด กระนั้นเดินตรงไปทางตำหนักใหญ่ของศาลมืด ไม่กังวลโดยสิ้นเชิงว่าผู้พิพากษาจะโกหกเขาหรือไม่ รวมถึงจิ้นซิ่วกับอาเจ๋อที่อยู่ข้างๆ จะมีอันตรายหรือไม่ ผู้พิพากษากับเหล่าผีทหารมองหน้ากัน สุดท้ายตามไปพร้อมกันทั้งหมด
เมื่อผ่านโถงตำหนักของกรมต่างๆ ในศาลมืดก็เห็นเพียงผมทูตผีจำนวนน้อยกำลังปฏิบัติหน้าที่ กลับเห็นเทพผีตำแหน่งใหญ่น้อยมาก แม้มีอยู่บ้าง ทว่าก็เชื่องช้าเช่นกัน อีกทั้งมีปราณอัปมงคลเวียนวน กระนั้นมันคล้ายกับปราณหยินเกินไป คนทั่วไปมองไม่ออก เทียบกันแล้วนั้น ผู้พิพากษาที่ติดตามมาด้วยอยู่ในสภาพดีที่สุด
ในศาลมืดมีตำหนักใหญ่เทพหลักเมืองเหมือนกับในเมืองมนุษย์อย่างกับแกะ แต่ตอนนี้ประตูใหญ่ปิดสนิทมีแสงธรรมต้องห้ามไหลเวียน ทว่าในตาทิพย์ของจี้หยวนนั้น ไม่ว่าปราณมารซ่อนเร้นเพียงใดก็ไม่พ้น
“เทพหลักเมืองเป่ยหลิ่ง ข้าน้อยจี้หยวน เป็นผู้ฝึกปราณจากนอกเขา วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมเยียม ออกมาพบกันหน่อยได้หรือไม่”
เสียงของจี้หยวนราบเรียบทว่ามีพลัง เสียงดังกังวลสะท้อนอยู่ระหว่างตำหนักศาลมืดทั้งหลาย ทำเอายมทูตดำและเทพผีรอบข้างเกิดความสงสัย เริ่มล้อมอยู่ข้างนอกตำหนักใหญ่ศาลมืดไม่น้อยแล้ว
แต่ตำหนักใหญ่ศาลมืดกลับไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ
“เทพหลักเมืองเป่ยหลิ่ง ข้าคนแซ่จี้มาเยี่ยมด้วยใจจริง พฤติกรรมนี้ของท่านออกจะไร้มารยาทเกินไปหน่อยกระมัง”
“ท่านเซียนมาจากโลกเบื้องบน เดิมข้าน้อยควรต้อนรับขับสู้อย่างถึงที่สุด แต่ตอนนี้ปราณดั้งเดิมของข้าเสียหายร่างกายบอบช้ำ ไม่กล้าพบหน้าท่านเซียนจริงๆ หวังว่าท่านเซียนจะเข้าใจ!”
“เช่นนั้นหากข้าคนแซ่จี้อยากพบให้ได้แล้ว”
เมื่อจี้หยวนพูดออกไปแล้ว รอบข้างพลันมีเทพผีตะโกนว่า
“เซียนผู้นี้ไร้มารยาทนัก!”
“ใช่ แม้ท่านเป็นเซียนโลกสวรรค์ แต่ที่นี่คือโลกความตาย!”
“ท่านเซียนพูดจาอะไรควรระวังหน่อย!”
จี้หยวนมองเทพผีเหล่านั้นด้วยหางตา แม้รู้สึกหดหู่ใจอย่างไรก็ยังคงมีความกล้า ทว่ามีเทพผีบางตนเผยสีหน้าดุร้ายแล้ว เทพผีศาลมืดมีหน้าตาร้ายการน่ากลัวอยู่แล้ว แต่ความดุดันตอนนี้กลับมีความชั่วร้ายฉายออกมาชัดเจนด้วย
ในตำหนักใหญ่ศาลมืดมีเสียงเทพหลักเมืองดังมา
“ท่านเซียนผู้นี้ โลกเบื้องบนเก้ายอดตั้งข้อตกลงกับพวกข้าเทพผีนานแล้ว เซียนเขาเก้ายอดไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของศาลมืด หรือท่านเซียนต้องการผิดข้อตกลงนั้น”
“เพียงพบหน้ากันเท่านั้น ไยเทพหลักเมืองพูดจาหนักหนาเช่นนั้นเล่า!”
จี้หยวนเผยรอยยิ้มจาง เหมือนกับว่าสายตาน่ากลัวมากมายโดยรอบไม่สลักสำคัญ อีกทั้งตบไหล่จิ้นซิ่วกับอาเจ๋อที่อยู่ข้างๆ เป็นการปลอบโยน
เทพหลักเมืองที่มีปัญหาคนหนึ่งไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องข้อตกลงอะไร แม้ยังคงต้องการเจรจา แต่เขาคนแซ่จี้ไม่ใช่เซียนเขาเก้ายอด
แอ๊ด…
ประตูใหญ่ตำหนักเทพหลักเมืองถูกเปิดออกจากข้างใน ผีร่างสูงใหญ่สวมชุดขุนนางทำจากผ้าไหมเดินออกมา แสงเทพเจิดจรัส
“ในเมื่อท่านเซียนอยากพบหน้า เทพหลักเมืองก็ทำได้เพียงออกมาพบสักครั้งแล้ว!”
เทพผีรอบๆ เห็นเทพหลักเมืองที่ไม่ได้เห็นมานานปรากฏตัวก็พากันคารวะทักทาย
“คารวะใต้เท้าเทพหลักเมือง!”
“คารวะใต้เท้าเทพหลักเมือง!”
แม้แต่ผู้พิพากษาก็มีสีหน้าตื้นตันใจ ตอนนี้ได้เห็นเทพหลักเมืองที่ยังคงแจ่มใส ความไม่สบายใจพลันหายไปแล้ว มีเพียงดวงตาสีเทาของจี้หยวนสบตากับเทพหลักเมือง
“เฮ้อ ย่ำแย่ยิ่งกว่าที่ข้าคนแซ่จี้คิดไว้ คิดไม่ถึงเลยว่าเทพหลักเมือนจะกลายเป็นมารได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเทพปฐพีได้รับผลกระทบมากเกินไป น่าเศร้าและน่าทอดถอนใจนัก…”
เทพหลักเมืองที่อยู่ตรงหน้าจี้หยวนกวาดสายตามองพวกเขา ยิ้มกล่าวว่า
“เซียนกำลังพูดอะไร เหตุใดข้า…”
ยังพูดไม่ทันจบดี ทันใดนั้นมีมือสีดำทะมึนยื่นออกมาจากในท้องของเทพหลักเมือง คว้าใส่จี้หยวนอย่างแรง ทว่าจี้หยวนเหมือนกับเตรียมพร้อมไว้แล้ว มือขวาทำตราสะท้านภูผาจากในวิชาฟ้าดินอัศจรรย์ แสงอสนีกลิ่นอายมรรคสวรรค์วาบผ่าน ตราสะท้านภูผาปะทะเข้าใส่กรงเล็บข้างนั้นโดยพลัน
ตึง…โครม…
“อ้าก…”
แสงธรรมระเบิดขึ้นเพราะการจู่โจมจี้นี้ จี้หยวนไม่ขยับแต้ก้าวเดียว ฝ่ายเทพหลักเมือนกับถูกจู่โจมจนแสงธรรมสลาย ขณะที่ลอยหวือไปนั้น ตำหนักเทพหลักเมืองเต็มไปด้วยปราณมารสีดำขลับ ยิ่งมีเสียงหวีดร้องดังมาเป็นระลอก
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่อาจปล่อยเจ้าไปได้ ล้วนต้องตายทั้งหมด!”
ตึง…
ในเทพหลักเมืองเหมือนกับศาลหลักเมืองในเมืองมนุษย์ก็ไม่ปาน ปรากฏรูปปั้นเทพหลักเมืองขนาดยักษ์ ปราณมารทั่วร่างคุกรุ่น ขณะที่กำลังยืนขึ้นก็ขยายร่างขึ้นทีละน้อย
“ปิดตายด่านประตูผี ไม่ว่าใครก็หนีไปไม่ได้! โลกความตายนี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณตัวเล็กๆ อย่างเจ้าเลย เซียนจริงแท้มาแล้วจะทำอะไรข้าได้ ยิ่งมีเทพผีไม่น้อยถูกกระตุ้นด้วยปราณมารแล้ว เกิดเค้าลางความชั่วร้ายชัดเจนเช่นกัน”
“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร!”
“ไยเทพหลักเมืองกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
“แล้วนี่จะทำอย่างไรดี”
“ทุกท่านอย่าเพิ่งตระหนัก เตรียมตัวสู้ศึกใหญ่พร้อมกับท่านเซียน!”
…
จี้หยวนยิ้ม เชือกสีทองเส้นบางโผล่ขึ้นในมือ
“กล้าไม่หยอกนี่ ตั้งแต่หลอมของล้ำค่านี้สำเร็จข้าคนแซ่จี้ยังไม่เคยใช้งาน นำมาลองกับเจ้าเลยแล้วกัน”
เขาพูดแล้วสะบัดเชือกทองครั้งหนึ่ง เชือกมัดเซียนกลายเป็นมังกรสีทองตัวยาวในวินาทีที่อยู่ท่ามกลางลมหยินและปราณมาร ทั่วฟ้ามีแต่เงาร่างสีทอง ทำให้ดินแดนผีศาลมืดแห่งนี้ดูศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ
“นี่คืออะไร นี่…”
ทันใดนั้นเงาสีทองใหญ่เทียบฟ้าตกลงมา ผนึกปราณมารทั้งหมดในทันที จากนั้นล้อมรอบเทพหลักเมืองและข้างกายเทพผีที่มีปัญหาจำนวนหนึ่ง ร่างกายของฝ่ายแรงหดเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อเงาสีทองพัวพัน แม้กระทั่งอยากส่งเสียงร้องก็ทำไม่ได้ ส่วนฝ่ายหลังยิ่งไร้กำลังต้านทานโดยสิ้นเชิง
ไม่ถึงหนึ่งอึดใจ เทพหลักเมืองและเทพผีจำนวนหนึ่งถูกเชือกทองมัดอยู่กลางตำหนักเทพหลักเมืองที่พังไม่เป็นท่า
จี้หยวนมองในตำหนักด้วยสายตาเย็นชา ตอนนนี้ถึงค่อยตอบอย่างเชื่องช้า
“นี่คือเชือกมัดเซียน”
……….