เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 495 คนที่ยิ่งมายิ่งไม่ชัดเจน
ตอนที่ 495 คนที่ยิ่งมายิ่งไม่ชัดเจน
……………………………………………………………………..
เป็นเช่นที่ขอทานชราว่า เชือกไหมทองนี้ไม่ใช่ทั้งทอง น้ำ ไม้ ไฟ และดิน ไม่จัดอยู่ในธาตุทั้งห้า
ทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าส่วนใหญ่จัดอยู่ในธาตุทั้งห้า ทุกหย่อมหญ้าและสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แม้แต่ลม เมฆ หรือสายฟ้าล้วนจัดอยู่ในห้าธาตุเช่นกัน สิ่งที่ไม่จัดอยู่ในห้าธาตุก็เหมือนกับเป็นการบอกว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่สสาร
แต่ด้วยการมองเห็นของขอทานชรากับจี้หยวน พวกเขาไม่มีทางมองผิด
ในเมื่อใช้เชือกไหมทองนี้ผูกภาพตัวอักษร ภาพตัวอักษรนั้นน่าจะมีความพิเศษกระมัง
จี้หยวนคิดเช่นนี้แล้วหยิบม้วนภาพวาดข้างๆ ขึ้นมา จากนั้นค่อยคลี่ออก
ทว่าเนื้อหายภายในทำให้จี้หยวนกับขอทานชราผิดหวังแล้ว มันเป็นภาพทิวทัศน์ภาพหนึ่ง บนนั้นยังมีตัวอักษรกำกับไว้ว่า ‘ทิวทัศน์ต้าซิ่ว’ ยิ่งมีชื่อของผู้วาดเอาไว้ด้วย เป็นชื่อฉู่เจ๋อของฮ่องเต้ชรา ชัดเจนว่าไม่น่ามีความอัศจรรย์อะไร ไม่เช่นนั้นฮ่องเต้ชราก็คงเป็นผู้สูงส่งที่แม้แต่จี้หยวนกับขอทานชราดูไม่ออก
จี้หยวนรวบรวมความสนใจกลับไปที่เชือกไหมทองในมืออีกครั้ง จากนั้นมองฮ่องเต้ชราข้างๆ ก่อนถาม
“ฝ่าบาท เชือกไหมทองนี้ได้มาจากที่ใด”
ก่อนวันนี้ฮ่องเต้ชราเพียงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เชือกทำจากด้ายทองธรรมดา ไหนเลยจะจำเรื่องเกี่ยวกับมันได้ ดังนั้นทำได้เพียงมองขันทีชราที่อยู่ข้างๆ
“กงซุ่น เจ้ารู้หรือไม่”
ความจริงแล้วขอทานชราจำไม่ค่อยได้เช่นกัน เชือกไหมทองเส้นหนึ่งแบบนี้ ที่ไหนในวังหลวงก็มีทั้งนั้น จะไปมีความทรงจำพิเศษเกี่ยวกับมันได้อย่างไร ทว่าฮ่องเต้ชราถามแล้วก็ทำได้เพียงทำใจกล้าตอบไป คิดแล้วค่อยก้าวไปตอบ
“ทูลฝ่าบาท ในวังมีเชือกไหมทองมากมาย ขันทีจัดซื้อได้รับบางส่วนจากฝ่ายผลิตเป็นระยะ เชือกไหมทองนี้อาจทำโดยช่างผู้นำนาญ ณ สถานที่ผลิตก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
“สถานที่ผลิต?”
ขอทานชราหรี่ตาแล้วยิ้ม
“ฮ่าๆ เชือกนี้ไม่ได้สร้างโดยมนุษย์ บนนั้นก็ไม่ใช่ด้ายทองเช่นกัน…”
พูดถึงตรงนี้แล้วขอทานชราพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันหน้าไปทางเหมินอวี้ทงที่อยู่ข้างๆ
“ปรมาจารย์เหมิน ขอยืมม้วนภาพวาดนั้นของเจ้าหน่อย”
“ขอรับ!”
เหมินอวี้ทงหยิบม้วนภาพวาดออกมาจากวัตถุจักรวาลในแขนเสื้อ มอบให้ขอทานชราด้วยสองมือ ราวกับรู้ความคิดของขอทานชรา จี้หยวนก็ส่งเชือกไหมทองในมือไปเช่นกัน
ขอทานชราคว้าเชือกไหมทองไว้ พันบนม้วนภาพวาดเบาๆ สองสามรอบ จากนั้นมัดเอาไว้ เมื่อเชือกไหมทองอยู่บนนั้นเรียบร้อย ความไม่ธรรมดาที่เดิมทีซ่อนเร้นอยู่ที่ม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อไม่ได้หายไป และไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรเพราะการพันเชือกไหมทองเช่นกัน ทว่ามอบความรู้สึกที่ทีแรกควรจะเป็นเช่นนี้ให้กับจี้หยวนและขอทานชรา
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เชือกไหมทองเดิมทีมีไว้มัดม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อ”
เดิมทีค้นหาอะไรไม่เจอในคลังสมบัติอักษรฟ้า ด้วยบุคคลระดับจี้หยวนกับขอทานชรา ปกติต้องจากไปแล้ว ทว่าเหตุผลที่ไม่จากไปเพราะหลักๆ จี้หยวนยังมีความรู้สึกอันเบาบางที่บอกไม่ถูกอยู่
ตอนนี้พบเชือกไหมทองแล้ว ความรู้สึกนั้นของจี้หยวนหายไปเช่นกัน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้อย่างอดไม่ได้ รู้ว่าไม่มีสิ่งของใดควรค่าให้เสาะหาแล้ว
ที่จริงม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อมีกลิ่นอายไม่ธรรมดารั่วออกมาเพียงเล็กน้อย เทียบเท่ากับเครื่องรางเท่านั้น ยิ่งผนึกไว้ได้โดยง่าย ผลกระทบของเชือกไหมทองต่อมันมีไม่มาก ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ อย่างน้อยก็ทำให้จี้หยวนเข้าใจแล้วว่าทั้งสองสิ่งมีต้นกำเนิดเดียวกัน
ส่วนเชือกไหมทองนั้น ท่าทางไม่ใช่สมบัติมรรคอะไรโดยสิ้นเชิง เป็นเพียงวัตถุพิเศษเท่านั้น ยิ่งเหมือนกับศิลปินในตอนนั้นใช้เชือกทั่วๆ ไปมามัดม้วนภาพวาดเอาไว้
จี้หยวนดึงเชือกไหมทองกลับมา ส่งม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อคืนให้เหมินอวี้ทง คราวนี้ถึงกล่าวกับฮ่องเต้ชรา
“ฝ่าบาท เชือกไหมทองนี้พวกข้าขอได้หรือไม่”
แม้รู้ว่าเชือกไหมทองนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่ๆ ทว่าฮ่องเต้ชรายิ่งรู้ว่าตนเองเก็บมันไว้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งมอบให้บุคคลสำคัญอย่างจี้หยวนกับขอทานชรา แน่นอนว่าไม่มีทางมีความเห็นอื่น รีบตอบรับทันที
“ข้ากล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ท่านเซียนทั้งสองถูกใจอะไรนำไปได้ทั้งสิ้น ของสิ่งนี้ก็เช่นเดียวกัน มันเป็นเพียงเชือกไหมทองเท่านั้น”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
จี้หยวนประสานมือให้ฮ่องเต้ชรา แม้ประสานมือง่ายๆ เท่านั้น แต่ก็ทำความเคารพต่อฮ่องเต้ชราเป็นครั้งแรก ทำให้ฝ่ายหลังที่อยู่ในตำแหน่งประมุขตื้นตันใจอยู่บ้าง
“ท่านเซียนเกรงใจแล้ว จริงสิ ข้าสั่งห้องเครื่องเตรียมอาหารเย็นแล้ว ท่านเซียนทั้งสองอยู่ต่อรับอาหารเป็นอย่างไร โหรหลวง เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่”
โหรหลวงรีบตอบเช่นกัน
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านเซียนทั้งสองไม่รังเกียจรับอาหารในวังหลวงกระมัง”
“ฮ่าๆ…”
จี้หยวนหัวเราะ
“ท่านทั้งสองไม่จำเป็นต้องกังวลไป ข้ายังไม่ไปไหน แต่ขอไม่รับอาหารในวังหลวงดีกว่า ข้าคนแซ่จี้รับปากเด็กๆ ตระกูลเฉียวว่าจะลงครัวทำอาหารด้วยตนเองเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ไก่สองตัว”
ขอทานชรายื่นมือเข้าคอเสื้อเกาแผ่นคลัง ตอบปฏิเสธเช่นเดียวกัน
“เฮ้อ ท่านจี้ผู้นี้จะลงครัวเอง ข้าผู้ชราจะไม่ไปชิมสักหน่อยได้อย่างไร ท่านจี้ยังรออะไรอยู่ ไปเถอะ ขืนยังไม่ไปอีกฟ้าคงมืดแล้ว”
วันนี้นับว่าเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ตอนนี้บ่ายแก่แล้ว แม้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ ทว่าขอทานชราสงสัยในฝีมือการทำอาหารของจี้หยวนอย่างแท้จริง
ไม่ต้องให้ฮ่องเต้ชราหรือพวกโหรหลวงยินยอม จี้หยวนกับขอทานชราก้าวไปก่อนแล้ว ฮ่องเต้ชราอ้าปาก แต่สุดท้ายไม่ได้พูดรั้งพวกเขาออกมา
จี้หยวนกับขอทานชราไปแล้ว เฉียวหย่งข้างกายฮ่องเต้ลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก
“เอ่อ ฝ่าบาท กระหม่อมควรกลับไปเช่นกันใช่หรือไม่”
ฮ่องเต้ชราได้ยินแล้วชะงักไป จากนั้นมองเฉียวหย่ง
“ท่านเฉียวยังอยู่ที่นี่อีกหรือ รีบกลับไปเถอะ จำไว้ว่าต้อนรับท่านเซียนทั้งสองอย่างดีแทนข้า จริงสิ ต้องการวัตถุดิบอะไร ข้าจะให้ทางห้องเครื่องส่งไปโดยตรง! อย่ามัวแต่ตะลึงสิ อย่าให้แขกรอเจ้าบ้าน รีบไปๆ!”
“พ่ะย่ะค่ะๆๆ กระหม่อมรับบัญชา จะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
เฉียวหย่งกล่าวขอตัวลา รีบเร่งฝีเท้าจากไป พวกฮ่องเต้ชราออกจากห้องทรงอักษรพร้อมกัน กระนั้นเห็นเพียงเฉียวหย่งที่เร่งฝีเท้าจากไป กลับไม่เห็นจี้หยวนกับขอทานชรา
“โหรหลวง เจ้าว่าข้ารับรองพวกเขาเป็นอย่างไร”
ฮ่องเต้ชรายืนอยู่ข้างนอกห้องทรงอักษร มุ่นคิ้วเล็กๆ พลางมองเงาหลังของเฉียวหย่งจากไป ขณะเดียวกันถามเหมินอวี้ถงซึ่งอยู่ข้างกาย
“ฝ่าบาททั้งบุกและถอยมีจังหวะ รับรองได้เหมาะสมแล้ว ไม่มีใครทำได้ดีเท่าฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คิดแล้วเหมินอวี้ทงก็กล่าวอีก
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอตัวก่อนแล้ว”
“โหรหลวงก็ไม่อยู่รับอาหารหรือ”
เหมินอวี้ทงถอนใจแล้วยกม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อในมือ
“ฝ่าบาท ภาพวาดนี้เกี่ยวพันกับเรื่องลึกลับอะไรบ้างไม่อาจทราบได้ มรรควิถีของกระหม่อมไม่พอรับผิดชอบความลึกลับนี้ กระหม่อมเก็บไว้ไม่ได้ ยิ่งไม่กล้าเก็บไว้ ไปมอบให้ท่านเซียนทั้งสองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้จี้หยวนกับขอทานชราสำแดงวิชาที่สำนักปรมาจารย์ เวลานั้นความจริงแล้วเหมินอวี้ทงกังวลเล็กๆ ว่าผู้สูงส่งสองท่านจะนำม้วนภาพวาดไป ทว่าสำนักมรรคเซียนสายตรงไม่มีทางทำเรื่องพรรค์นี้ จึงส่งคืนให้เขาในภายหลัง เพียงกำชับให้เขาจำไว้ว่าต้องดูแลอย่างดี
ทว่าตอนนี้เหมินอวี้ทงคิดหลายตลบแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง รู้สึกว่าตนเองไม่กล้าเก็บภาพวาดนี้ต่อไป ดังนั้นเกิดความคิดมอบมันให้ผู้สูงส่งทั้งสอง บางทีผู้สูงส่งทั้งสองอาจคิดไว้เช่นนี้ก่อนแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดออกมา
“จริงสิฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ท่านเซียนทั้งสองพูดถึงเรื่องหนึ่ง ฝั่งเขาลาดชันจังหวัดเปี้ยนหรงทางนั้น…”
…
ตอนจี้หยวนลงครัวที่ตระกูลเฉียวด้วยตนเอง ปรมาจารย์เซียนจากสำนักปรมาจารย์เมืองหลวงและขันทีรับบัญชาออกเดินทางแล้ว พบหน้ากับคนจากเปี้ยนหนงที่ถูกส่งไปรายงานข่าวเช้าพอดี
ยังทำอาหารไม่ทันเสร็จดี โหรหลวงเหมินอวี้ทงมาที่จวนตระกูลเฉียวครั้งหนึ่ง มอบม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อให้ด้วยสีหน้าจริงจัง จี้หยวนยังไม่ออกมาจากห้องครัว เป็นขอทานชรารับไว้ให้ก่อน
จี้หยวนออกจากห้องครัว นอกจากอาหารจากทางรัฐจีแล้ว ยังลองทำเนื้อปลาที่ปรุงบนเรือเหาะจวนเร้นจิตด้วย แม้ไม่มีปลาเกล็ดเงินน้ำกุ่ยตัวที่สอง แต่มีน้ำผึ้งดอกพุทราและฝีมือการทำอาหารของจี้หยวน ถึงเป็นปลาธรรมดาตัวหนึ่งก็ปรุงสุกได้พอดิบพอดี ถึงขนาดละลายก้างชิ้นเล็กข้างในได้อีกต่างหาก ทำให้เด็กๆ กินสะดวกยิ่งขึ้น รสชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึงมาก
ระหว่างนั้นจี้หยวนนำกาเชียนโต่วออกมาหนึ่งกา เทสุราให้กับทุกคน แม้เป็นกาสุราเชียนโต่วสีขาว ทว่าสุราข้างในมีประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อมนุษย์ ปราณวิญญาณที่ซ่อนอยู่ภายในถูกคนดูดซับไว้ได้เช่นกัน
พอตกกลางดึกเงียบสงัด ในลานเล็กของเรือนพักแขกนั้น จี้หยวนถือเชือกไหมทองไว้ในมือ ขอทานชราถือม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อไว้ในมือ สองคนนั่งประจันหน้ากันที่หน้าโต๊ะหินกลางลาน
“ท่านจี้ ม้วนภาพวาดเซี่ยจื้อนี้ท่านเก็บไว้เหมาะสมกว่า ข้าผู้ชราเพียงหวังว่าท่านจะเล่าความลับที่ซ่อนอยู่ภายในภาพวาดให้ข้าฟังก็พอ”
ขอทานชรายื่นม้วนภาพวาดให้จี้หยวน ฝ่ายหลังกางมันวางลงบนโต๊ะ เมื่อไม่ได้เติมปราณวิญญาณและพลังเข้าไป มันก็เหมือนกับภาพวาดธรรมดา ทว่าสิ่งที่อยู่บนภาพวาค่อนข้างดุร้ายและแปลกประหลาดเท่านั้น
“ท่านผู้อาวุโสหลู่ ไม่ใช่ว่าข้าคนแซ่จี้ไม่อยากเล่า ทว่าภาพวาดนี้มีความลับอะไรข้าคนแซ่จี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ส่วนเรื่องเซี่ยจื้อ อีกาทอง และปี้ฟาง คิดว่ามีหลายเรื่องให้เล่าถึงได้ แต่ก็รู้สึกว่าเล่าไม่ถูกจุดเช่นเดียวกัน”
นี่เป็นความในใจของจี้หยวน อย่างไรเสียชาติก่อนเขาก็ไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ พอจำได้ เล่าได้บ้าง แต่ไม่อาจเล่าโดยละเอียดมาก ทว่าพูดเช่นนี้ออกไป ขอทานชราฟังแล้วอาจเข้าใจเป็นอื่นก็เป็นได้
“เอาล่ะ คิดว่าเหมาะสมตรงไหนก็เล่าแล้วกัน ข้าผู้ชราขอไปพักผ่อนก่อน ท่านจี้ก็นอนเร็วหน่อยเถอะ”
ขอทานชราไม่ฝืนใจอีกฝ่าย ลุกขึ้นยืนแล้วปัดก้นก่อนหมุนกายเข้าไปในเรือนพักแขกฝั่งตรงข้ามอย่างสบายๆ
แม้สิ่งที่ได้รู้วันนี้มีไม่มาก แต่กลับมีความรู้สึกว่าได้เผชิญหน้ากับความลึกลับตั้งแต่โบราณกาลอยู่เลือนราง ถึงเป็นบุคคลระดับขอทานชรา ตอนนี้นึกดูโดยตั้งใจแล้ว ความประหวั่นในใจยังคงไม่คลาย
และรู้เช่นกันว่าความคิดพรรค์นี้เป็นความลับอย่างยิ่งยวด จี้หยวนไม่อยากพูดมากก็ปกตินัก
ตอนปิดประตู ขอทานชรามองผ่านซอกประตูที่ค่อยๆ ประกบเข้าหากันอย่างเชื่องช้า มองไปทางจี้หยวนที่อยู่หน้าโต๊ะหินกลางลาน แสงจันทร์สาดส่อง จี้หยวนในชุดสีเขียวเหมือนกันถูกเคลือบด้วยรัศมีแสงชั้นหนึ่ง กำลังถือเชือกไหมทอง มองม้วนภาพวาดบนโต๊ะพลางครุ่นคิด
‘รู้จักกันยิ่งนาน กลับยิ่งมองท่านไม่ออก จี้หยวน ท่านเป็นอริยะเทพองค์ใดกันแน่’
แม้จี้หยวนมีที่มาไม่ชัดเจน แต่บุคคลระดับขอทานชรารู้จิตใจรู้นิสัยของผู้คน จึงเชื่อในคนเช่นจี้หยวนเป็นอย่างยิ่ง รู้ว่าหนทางของคนผู้นี้เถรตรงเปิดเผย