เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 490 วิธีที่รวดเร็ว
ตอนที่ 490 วิธีที่รวดเร็ว
……………………………………………………………………..
นับได้ว่าเฉียวหยางเป็นคนที่พากองเรือกลับบ้านสำเร็จ พูดตามตรงแล้วไม่ถือว่าผิดคำมั่น แต่ในมุมมองเขานั้น ตอนนั้นเขาบอกว่าหากมีผลกระทบอะไร เขาจะรับไว้เองทั้งหมด สุดท้ายเขารับผลกระไว้จริงๆ ทว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมด
เหล่าพี่น้องผู้ใต้บังคับบัญชาเขาแม้ไม่ได้เข้าคุก กระนั้นไม่ได้รับผลตอบแทนที่ควรได้รับ ไม่ว่าพวกเขาจะพิการหรือไม่ ทั้งหมดล้วนตกงาน ส่วนเขาเฉียวหย่งถึงต้องเข้าคุก แต่หลังจากนั้นถูกปล่อยออกมา อีกทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ทรัพย์สินยังอยู่ครบ นั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนมีหนามแทงใจอยู่ตลอด กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถที่เฉียวหย่งพูดก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้พูดเฉยๆ จี้หยวนกับขอทานชรามองออกจากสถานะของตระกูลเฉียว ไม่เพียงหมดเงินทอง ที่ดินจำนวนมากแต่เดิมของตระกูลเฉียวถูกแบ่งออกไปมากกครึ่ง แม้ตอนนี้ตระกูลเฉียวไม่ถึงกับอดอยาก แต่จะสวมชุดผ้าไหมกินอาหารเลิศรสเหมือนในอดีตนั่นเป็นไปไม่ได้ ต้องอาศัยสองมือทำงานหนักหาเลี้ยงตนเอง
เมื่อเข้าใจเรื่องราวของเฉียวหย่งแล้ว ก็นับว่าเข้าใจเรื่องราวของต้าซิ่วเช่นกัน สรุปแล้วว่าฮ่องเต้ต้าซิ่วแม้ปรารถนาโอสถเซียน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาดื้อรั้นและไม่ฟังคำแนะนำ
ส่วนเรื่องตามหาโอสถเซียน หากเป็นฮ่องเต้ต้าเจินในอดีต มรรคเซียนเป็นความเลื่อนลอย ไม่อาจสำเร็จได้อย่างแท้จริง แต่อย่างไรเสียต้าซิ่วก็มีสำนักปรมาจารย์ ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องมีจำนวนมาก แต่ผู้มีฐานะสูงขึ้นหน่อยมีความเข้าใจต่อมรรคเซียนอยู่บ้าง อย่างน้อยเข้าใจว่าบนโลกมีเทพเซียนวิชาอภินิหารจริงๆ ดังนั้นการตามหาโอสถเซียนจึงไม่ใช่ฝันกลางวัน
ตอนนี้ข้ารับใช้ชราของตระกูลเฉียวนามว่าเฉียวเต๋อเดินมาจากข้างนอก กล่าวกับโถงรับแขกเสียงหนึ่ง
“นายท่าน ฮูหยินบอกว่าเตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้ว จึงอยากถามว่าท่านจะรับอาหารเลยหรือไม่”
เฉียวหย่งได้ยินแล้วมองจี้หยวนกับขอทานชรา
“ท่านเซียนจี้ ท่านเซียนหลู่ จะรับอาหารเลยหรือไม่”
ขอทานชรายิ้ม
“แหะๆ ข้าผู้ชรารอคำพูดนี้ของเจ้าตั้งนานแล้ว ด้วยข้ากับท่านจี้ไม่ได้กินข้าวอิ่มท้องมาหลายวัน ตอนนี้หิวไส้กิ่วแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ อาเต๋อ รีบตั้งโต๊ะๆ เตรียมห้องอาหารแล้วใช่หรือไม่”
“เตรียมแล้วๆ เก็บกวาดไว้นานแล้ว ข้าจะไปที่ห้องครัวสักรอบหนึ่ง นายท่านพาเซียนทั้งสองไปได้เลย!”
ข้ารับใช้เฉียวเต๋อพูดแล้วประสานมือให้จี้หยวนกับขอทานชราในโถงรับแขก หลังจากถอยออกไปหลายก้าวแล้วก็หมุนกายจากไป
จี้หยวนมองข้ารับใช้เพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเฉียวจากไปพลางครุ่นคิด ในสายตามัวซัวมองเห็นว่าเลือดลมทั่วตัวเฉียเต๋อเต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเขามองขอทานชรา พบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองชายชราที่จากไปผู้นั้นเช่นกัน
จากนั้นขอทานชราถอนสายตากลับมา สบสายตากับจี้หยวนครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นทั้งสองคนยิ้มขึ้นแล้วไม่ได้พูดอะไร
“เชิญท่านเซียนทั้งสอง ได้โปรดตามข้าไปยังห้องอาหาร!”
เฉียวหย่งลุกขึ้นยืน ผายมือเชิญอยู่ที่หน้าประตู
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในห้องอาหารตระกูลเฉียว ทั้งครอบครัวตระกูลเฉียว ไปจนถึงแขกสองคนอย่างจี้หยวนและขอทานชราล้วนนั่งอยู่หน้าโต๊ะกลมตัวใหญ่ มีข้ารับใช้เฉียวเต๋อยืนอยู่เพียงลำพัง
ขอทานชรากวาดสายตามองทั้งห้องอาหาร มองเห็นใยแมงมุมที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ฝ่ายจี้หยวนจมูกขยับเล็กน้อย นอกจากได้กลิ่นหอมของอารหาร เขายังได้กลิ่นฝุ่นสายหนึ่ง กลิ่นที่เกิดขึ้นได้หลังจากทำความสะอาด
เห็นทีไม่ได้ใช้งานห้องอาหารมานานมากแล้ว ครั้งนี้ตั้งใจทำความสะอาดโดยเฉพาะ
บนโต๊ะกลมมีอาหารทั้งหมดสิบอย่าง ผักสดใหม่ย่อมไม่อาจขาดไปได้ ที่เตะตาที่สุดคือปลาย่างตัวใหญ่ ไปจนถึงไก่ตอนจานใหญ่สองจาน ที่เหลือมีทั้งข้าวโพด หัวไชเท้า และผักต่างๆ แกล้มด้วยสุรากาหนึ่ง นี่ก็คืออาหารเย็นที่ตระกูลเฉียวใช้ต้อนรับแขก
คนทั้งโต๊ะล้วนสนใจจี้หยวนกับขอทานชรา ไม่มีใครขยับตะเกียบ ฮูหยินเฉียวและบุตรชายตระกูลเฉียวที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วต่างก็คอยเหลือบมอง ทว่าเด็กสองคนจับจ้องเนื้อไก่สองจานเพียงอย่างเดียว
เฉียวหย่งเทสุราใส่จอกของจี้หยวนกับขอทานชราจนเต็มด้วยตนเอง จากนั้นกล่าวด้วยความเกรงใจ
“ท่านเซียนทั้งสองเชิญ! พวกท่านมาเยือนตระกูลเฉียวของข้า นับว่าเป็นเกียรติของตระกูลเฉียวแล้ว!”
จี้หยวนมองขอทานชรา
“อืม ท่านผู้อาวุโสหลู่ ท่านหิวจนไส้กิ่วแล้วไม่ใช่หรือ เชิญเถอะ”
“แหะๆๆ เช่นนั้นข้าผู้ชราไม่เกรงใจแล้ว! จิ๊ๆๆ เนื้อไก่สองจานนี้ ข้าผู้ชราชอบที่สุดเลย!”
ขอทานชราย่อมไม่สำรวม คีบตูดไก่ท่ามกลางสายตาจ้องเขม็งของเด็กตระกูลเฉียวสองคน จากนั้นคีบไปอีกชิ้นหนึ่งแล้ววางลงตรงหน้าจี้หยวน
“ท่านจี้ นี่เป็นของดี ในตลาดเรียกกันว่าเนื้อหางหงส์ มอบให้ท่านแล้ว”
จี้หยวนโบกมือเป็นพัลวัน
“ไม่เอาๆ คนดีไม่แย่งชิงของรักของคนอื่น ผู้อาวุโสหลู่กินเถอะ ข้าคนแซ่จี้ขอไม่รับไว้”
พูดแล้วจี้หยวนยื่นตะเกียบคีบผักหลายชิ้นในชามน้ำแกงตรงกลางเข้าปาก เมื่อเคี้ยวแล้วมีรสชาติสดอร่อยกระจายออมา ชัดเจนว่าน้ำแกงผักนี้ต้มด้วยน้ำต้มไก่ อร่อยยิ่งนัก
“ทุกคนกินเถอะ มีที่ไหนเจ้าของบ้านเอาแต่ต้อนรับแขก”
จี้หยวนพูดพลางยื่นตะเกียบคีบน่องไก่สองชิ้น แต่ครั้งนี้วางลงในถ้วยของเด็กสองคน พวกเขามองไปทางเฉียวหย่งทันที เห็นฝ่ายหลังผยักหน้าแล้วถึงยิ้มพร้อมยื่นมือรับน่องไก่มา จุ่มซีอิ๊วแล้วเริ่มกัดกิน
“ใช่ๆ พวกเรากินเถอะๆ”
เฉียวหย่งเอ่ยแล้ว คนตระกูลเฉียวค่อยขยับตะเกียบ บรรยากาศภายในห้องอาหารสดใสขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะของเด็กๆ ยิ่งเติมความมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
…
กลางดึกคืนนั้น คนตระกูลเฉียวพักผ่อนกันหมดแล้ว จี้หยวนกับขอทานชรานั่งอยู่หน้าโต๊ะหินที่ลานขนาดเล็กตามลำพัง คนหนึ่งเงยหน้าชมจันทร์ คนหนึ่งหลับตาสงบจิตใจ
อูฐผอมโซตายไปตัวยังใหญ่กว่าม้า[1] แม้ตระกูลเฉียวตกอับ ทว่าเรือนหลังนี้ยังคงอยู่ในสภาพดี เก็บกวาดห้องกับแล้วไม่มีปัญหา
ชั่วขณะหนึ่งในกลางดึก จี้หยวนถอนสายตาจากดวงจันทร์ ฝ่ายขอทานชราลืมตาขึ้น สองคนสบตากันแล้วยิ้ม
ลมสดชื่นสายหนึ่งพัดมา เงาร่างของเซียนสองคนหายไปจากหน้าโต๊ะกิน
ด้านหลังจวนตระกูลเฉียวมีตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ตอนนี้เฉียวเต๋อเหมือนกับนกฮูกก็ไม่ปาน กระโจนออกจากกำแพงอย่างว่องไว จากนั้นตกลงที่ตรอกข้างนอกนั่น ปลายเท้าแตะพื้น ร่างกายโค้งลงเล็กน้อย ทุกขั้นตอนนั้นไร้สุ้มเสียง
“วิชาตัวเบาไม่เลว!”
เสียงเรียบนิ่งดังขึ้นเบาๆ ทำเอาเฉียวเต๋อที่คิดว่าไม่มีใครมองเห็นตนตกใจตัวโยน ครั้นหมุนกายไปก็พบว่าจี้หยวนกับขอทานชรากำลังยืนอยู่ตรงกำแพงจวนตระกูลเฉียว
แสงจันทร์สาดส่องร่างทั้งคู่ เฉียวเต๋อจึงมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของจี้หยวนกับขอทานชราชัดเจน
“ข้าคนแซ่จี้แปลกใจนัก หากช่วงเวลางานชุมนุมเซียนพเนจรผ่านพ้นไป ข้ากับผู้อาวุโสหลู่ไม่ได้มาที่นี่ ตระกูลเฉียวจะทำอย่างไร เจ้าเฉียวเต๋อจะจัดการอย่างไร”
สีหน้าของผู้ชราไม่มั่นคง หลังจากเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้งค่อยเงยหน้ากัดฟันกล่าว
“ข้าไม่รู้ว่าช่วงเวลางานชุมนุมเซียนพเนจรคืออะไร ข้าเพียงรู้ว่าหากไม่มีเซียนมาเยือนก่อนฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ข้าเฉียวเต๋อขอพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อวางแผนคุ้มครอบครัวนายท่านออกจากเมืองหลวง ไปไกลจนสุดหล้าฟ้าเขียว!”
ขอทานชราหัวเราะฮ่าๆ
“ไม่คิดเลยว่าคนสองหน้าอย่างเจ้าจะภักดีเช่นนี้!”
เฉียวเต๋อส่ายหน้า
“ท่านเซียนชมเกินไปแล้ว แม้ข้าเฉียวเต๋อไม่เคยทำร้ายตระกูลเฉียว แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อหน้าท่านเช่นกัน”
“หึ เดิมก็ไม่ใช่คนตระกูลเฉียว จะพูดเรื่องซื่อสัตย์ภักดีไปทำไม แล้วนาเจ้าจะไปที่ไหน สำนักปรมาจารย์? กลเล็กน้อยพรรค์นี้ยังคิดปิดบังข้ากับท่านจี้หรือ”
ขอทานชรายิ้มเย็นพลางถาม นิ้วมืองอเล็กน้อย ถุงหอมใบหนึ่งพลันลอยออกมาจากในอกเสื้อของเฉียวเต๋อ ใช้นิ้วมือบีบดูแล้ว ข้างในน่าจะเป็นยันต์ชิ้นหนึ่ง
เฉียวเต๋อไม่ปิดบังเช่นกัน
“ทั้งสองท่านเป็นผู้สูงส่งแท้จริง ข้าไม่พูดปดเช่นกัน ครั้งนี้จะไปสำนักปรมาจารย์จริงๆ นายท่านว่างอยู่ที่บ้าน ดูเหมือนไม่มีธุระใด แท้จริงแล้วจะไม่สนใจเรื่องนี้ได้อย่างไร เพียงแค่ทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น ทว่าเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอันตรายจริงๆ”
จี้หยวนพยักหน้า
“เป็นเช่นนั้นจริง แต่หากพวกข้าไม่มาก่อนฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรแล้ว…”
เขาถอนใจเสียงหนึ่งแล้วค่อยกล่าวกับเฉียวเต๋อ
“เจ้าไปเถอะ ควรทำอะไรก็ไปทำ”
เฉียวเต๋อชะงักไป
“เอ่อ แล้วท่านเซียนทั้งสอง…”
ขอทานชราเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“พวกข้าย่อมกลับไปพักผ่อน ไม่ได้นอนไม่ได้กินมาหลายวันหลายคืน กินอาหารโอชะอิ่มแล้ว บัดนี้ง่วงนัก ไม่ใช่เจ้าหรือที่บอกให้ข้าผู้ชรานอนเร็วหน่อย!”
“ฮ่าๆๆ ข้าคนแซ่จี้นับว่าเข้าใจแล้ว อาหารโอชะที่ผู้อาวุโสหลู่ว่าก็คือตูดไก่สองชิ้นกับหัวไก่หนึ่งชิ้น รวมกับน้ำแกงครึ่งถ้วยและผักอีกหลายอย่าง ครั้งหน้าหากท่านเชิญกินข้าว ข้าคนแซ่จี้นับว่ามีมาตรฐานแล้ว”
“ท่านๆๆ จี้หยวนท่านพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร!?”
“ฮ่าๆๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะดังขึ้นข้างหู เฉียวเต๋อพบว่าจี้หยวนกับขอทานชรายิ่งมายิ่งเลือนรางไปจากตรงหน้าก่อนจะหายไป เขาขยี้ตาแรงๆ แล้วมองไปรอบข้าง ไม่มีใครแล้วจริงๆ
เฉียวเต๋อลังเลยอยู่นาน สุดท้ายเร่งฝีเท้าจากไป มุ่งหน้าไปยังสำนักปรมาจารย์
…
เช้าตรู่วั่นรุ่งขึ้น เฉียวหย่งที่ตื่นแต่เช้าไม่อาจไปขายผักได้ในวันนี้ ทว่าพาจี้หยวนกับขอทานชราตรงไปยังสำนักปรมาจารย์
ในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญของต้าซิ่ว สำนักปรมาจารย์อยู่ภายในที่ดินอาณาจักรอันมีค่าดั่งทอง ติดกับวังหลวง
แตกต่างจากสถานะลึกลับของสำนักปรมาจารย์ที่อื่น สำนักปรมาจารย์เมืองหลวงตั้งอยู่ในวังหลวงอันงดงาม มีความรุ่งเรืองถึงขีดสุด
ด้านหนึ่งเป็นเพราะไม่มีชาวบ้านเข้ามาใกล้วังหลวงโดยสิ้นเชิง อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะสถานที่ซึ่งฮ่องเต้จะไปเยือนเป็นครั้งคราวนั้น ไม่อาจสร้างให้ต่ำต้อยเกินไปได้กระมัง
ประตูสำนักปรมาจารย์มีทหารเฝ้าอยู่สองสามคน ครั้นเห็นเฉียวหย่งและสองคนข้างหลังเขาเข้ามาใกล้อย่างมีจุดมุ่งหมาย พวกเขาจึงพากันเตรียมพร้อมรับมือ
“หยุด! พวกเจ้ามาทำอะไร รู้หรือไม่ว่าไม่อนุญาตให้สามัญชนเข้าใกล้ รีบถอยไปเสีย!”
เฉียวหย่งรีบหยุดฝีเท้า ประสานมือคารวะพวกเขา
“เจ้าหน้าที่ทั้งสอง เดิมทีข้าน้อยคือพลเรือเอกเฉียวหย่งแห่งกองทัพเรือเมืองตะวันตก ยังทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทั่วไปและทูตของกองเรือตามหาเซียนในทะเลบูรพา ปีนั้นเคยกล่าวว่าเซียนชี้แนะให้นำกองเรือกลับอาณาจักร วันนี้เซียนมาเยือนตามนัด ข้าจึงตั้งใจพาเซียนทั้งสองมาพบใต้เท้าโหรหลวงที่สำนักปรมาจารย์!”
“เฉียวหย่ง!?”
“พลเรือเอกกองทัพเรือเมืองตะวันตก?”
“เหมือนจะเป็นคนผู้นั้นนะ!”
“สองคนข้างหลังคือเซียนหรือ”
สำนักปรมาจารย์มีผู้มีความสามารถพิเศษนับไม่ถ้วน แต่มีคุณสมบัติจนเรียกได้ว่า ‘เซียน’ มีอยู่ไม่มาก ‘ปรมาจารย์เซียน’ คนอื่นถือว่าได้รับเกียรติอย่างเป็นทางการ ความจริงแล้วคนไม่น้อยถูกเรียกว่านักพรตเหมาะสมกว่า
“แต่ใต้เท้าโหรหลวงไม่อยู่ที่สำนักปรมาจารย์ ทุกท่านค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ได้หรือไม่”
จี้หยวนยิ้ม
“ข้าคนแซ่จี้รู้ว่าโหรหลวงผู้นั้นกับฮ่องเต้ต้าซิ่วอยู่ที่ศาลหลักเมือง”
“เอ๋!?”
นายทหารหลายคนเตรียมป้องกัน ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ถามอะไร จี้หยวนก็หันหน้าไปถามขอทานชราเสียแล้ว
“ผู้อาวุโสหลู่ ท่านคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรดี”
“หึๆ มาๆ ไปๆ ยุ่งยากนัก ต้องใช้วิธีที่รวดเร็วหน่อยแล้วกระมัง”
ก่อนหน้านี้จี้หยวนกับขอทานชราตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่หน่อยได้
ขณะที่ขอทานชราพูด เขาโคจรพลังทั่วร่าง ยื่นมือชี้ท้องฟ้าและผืนดินก่อนหมุนวน จากนั้นเขียนอักษรวิญญาณที่ฝ่ามือซ้าย จากนั้นตบลงบนพื้นดินเบาๆ ครั้งหนึ่ง เมื่อตั้งสติเต็มที่แล้วเอ่ยว่า
“เทพหลักเมืองต้าซิ่ว จงรีบมาพบ!”
ปึง…
ริ้วคลื่นดุจสายน้ำขยายออกไป ควันดำสายหนึ่งค่อยๆ เกิดขึ้นเหมือนลมหมุน ปรากฏขึ้นตรงหน้าขอทานชรา
ร่างหนึ่งสวมชุดคลุม สวมผ้าคลุมศีรษะสีดำ แสงเทพข้างหลังเรืองรอง ทว่าสีหน้าดูน่ากลัวอยู่บ้าง…
เทพหลักเมืองต้าซิ่วเบิกตาโพลง อ้าปากเล็กน้อย มองไปทางจี้หยวนกับขอทานชราอย่างเหลือเชื่อ
[1] อูฐผอมโซตายไปตัวยังใหญ่กว่าม้า หมายถึง ผู้เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ แม้จะพบอุปสรรคก็ยังเหนือกว่าคนที่ไม่เชี่ยวชาญ