เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 476 ถ้ำสวรรค์เก้ายอด
ตอนที่ 476 ถ้ำสวรรค์เก้ายอด
แม้ตอนจี้หยวนปรึกษากับจูหยวนจื่อก่อนหน้านี้จะรู้แล้วว่าผู้สูงส่งบางคนอาจไม่สนใจงานชุมนุมเซียนพเนจรเท่าไหร่นัก ทว่าที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คืองานชุมนุมเซียนพเนจรเป็นงานชุมนุมมรรคเซียนของแท้
จวนเซียน แดนอริยะ ถ้ำสวรรค์ และแดนผาสุกขนาดใหญ่บ้างมาเร็ว บ้างมาช้าง และมีสำนักอย่างเขาล้อมหยกที่มาตรงเวลา กอปรกับยังมีผู้ฝึกปราณ ภูต หรือปีศาจฝึกปราณที่มีชื่อเสียงมาด้วย ผู้ฝึกปราณที่อยู่ในอาณาเขตเขาเก้ายอดค่อนข้างเนืองแน่นเช่นกัน
ชาติก่อนจี้หยวนเคยฟังเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง เล่าว่าโยนเหรียญในเมืองหลวง หากมันตกลงมาแล้วรับไว้ไม่อาจต้องกลายเป็นทหารระดับล่าง สถานการณ์ในตอนนี้คือทั้งในและนอกเขาพิณพระจันทร์ ไปจนถึงอาณาจักรที่เขาพิณพระจันทร์ตั้งอยู่ หากเทียบกับสถานที่อื่นแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะได้เจอเซียนสักคนหนึ่งที่นี่มีสูงมากนัก
เห็นผู้ฝึกปราณคุมกระบี่มาถึงหลายคน จี้หยวนเผยรอยยิ้มจากใจจริง ศิษย์รุ่นเยาว์เขาล้อมหยกอย่างเว่ยหยวนเซิงและพวกซ่างอีอีที่อยู่ข้างๆ ตื่นเต้นอยากลองฝีมืออยู่บ้าง เพียงเสียดายที่มรรควิถีของเว่ยหยวนเซิงยังต่ำอยู่ รู้จักเคล็ดวิชาควบคุมต่างๆ แค่ผิวเผิน วิชาเหาะเหินยิ่งไม่เป็น ส่วนพวกกวนเหอและซ่างอีอีแม้พอเหาะได้ ทว่าก็เหาะได้เพียงอย่างเดียว
“ข้าอยากเล่นแบบนั้นบ้าง!”
เว่ยหยวนเซิงพึมพำประโยคหนึ่ง เห็นฉิวเฟิงที่อยู่ด้านข้างมองมาทางตนเองจึงรีบกล่าว
จูหยวนจื่อเห็นจี้หยวนมองคนรุ่นเยาว์คุมกระบี่เหาะเหินอยู่ไกลๆ เสมอ พลันถามด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้
“ท่านจี้คิดว่าสหายยุทธ์เหล่านั้นมีจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมอย่างยิ่งกระมัง”
มุมมองปัญหาแตกต่าง ความเข้าใจที่เกิดขึ้นย่อมแตกต่าง ที่จูหยวนจื่อเห็นก็คือคุณสมบัติแก่นกระดูกผู้ฝึกเซียนหนุ่มสาวที่ผ่านมาเหล่านั้น
จี้หยวนได้ยินแล้วส่ายหน้า ตอบทั้งๆ ที่รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่จางไป
“ข้าไม่ได้มองแก่นกระดูกของพวกเขา เพียงรู้สึกว่าพวกเขาสนุกสนานมาก ผู้ฝึกปราณอย่างพวกเราแสวงหามรรค พูดตามตรงว่าเพื่อเข้าใจความอัศจรรย์ของมรรค และเพื่อให้ตนเองมีอิสระเสรี หากต้องการแค่อายุขัยยืนยาว เช่นนั้นชีวิตก็ว่างเปล่าและน่าเบื่อนัก!”
จูหยวนจื่อลูบเครามองไปทางผู้ฝึกปราณเหล่านั้นที่เล่นสนุกอยู่ไกลลิบ พยักหน้าอย่างครุ่นคิด ความอัศจรรย์ของมรรคและอิสระเสรีที่ว่า เขาล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้น เนื่องด้วยฝึกปราณอยู่บนเขาตั้งแต่เด็ก เข้าใจความอัศจรรย์ของมรรคและมีชีวิตยืนยาวมีความสุขนัก ส่วนคำว่าอิสระเสรีเดิมทีเป็นความปรารถนาของผู้ฝึกเซียนทั้งหลาย
“สมกับเป็นท่านจี้”
จี้หยวนกับจูหยวนจื่อสนทนากันง่ายๆ สองคำ หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์อย่างเว่ยหยวนเซิงสนทนากัน ผู้อาวุโสคนใดได้ยินเข้าอาจรู้สึกว่าพวกเขาอาศัยข้ออ้างฝึกปราณสายตรงเพื่อการเล่นสนุกและความไม่รับผิดชอบของตนเอง ทว่าคำพูดเหล่านั้นออกจากปากคนอย่างจี้หยวนและจูหยวนจื่อแล้ว ผู้ฝึกปราณที่อยู่ใกล้เคียงล้วนรู้สึกว่าล้ำลึกมาก
ความจริงไม่เพียงเพราะเรื่องฐานะของทั้งสองคน ยังเป็นเพราะความสงบนิ่งของพวกเขาด้วย ต่างฝ่ายต่างมอบความรู้สึกอัศจรรย์ใจแฝงด้วยหลักการให้กับผู้อื่น แม้ส่งผลกระทบทางจิตใจกับคนส่วนใหญ่ ทว่านั่นทำให้ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งได้ง่ายนัก
ถึงผู้ฝึกปราณรับแขกของเขาเก้ายอดตั้งใจบังคับเรือใบไม้เขียว แต่ก็ยังคงสนอกสนใจความสงบนิ่งของ ‘เซียนอาวุโส’ ทั้งสองท่าน ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกปราณรับแขก ได้ยินหลักการอัศจรรย์จากผู้สูงส่งนับว่าได้ประโยชน์มหาศาล จากประสบการณ์ของศิษย์พี่ศิษย์น้องจำนวนหนึ่ง หลักการสำคัญมักซ่อนอยู่ในคำพูดเรียบง่ายนี่แหละ
“สหายยุทธ์ทุกท่านตั้งสมาธิทำให้จิตใจผ่องใส ข้างหน้าก็คือเขตต้องห้ามอันเกิดจากค่ายกลวงแสงลวงของเขาเก้ายอด เป็นอุปสรรคอันสมจริง ผ่านไปได้แล้วจะเหมือนผ่านโลกใบหนึ่ง เมื่อเข้าไปข้างในแล้วก็คือประตูสำนักเขาเก้ายอดแล้ว”
ระหว่างพูดอยู่นั้น สองมือของผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดทำมุทราเชื่อมจุดกลางอากาศตรงหน้า บนเรือใบไม้เขียวเกิดแสงธรรมระลอกหนึ่ง นำทุกคนลอยขึ้นในแนวทแยง แสงเรือธรรมค่อยๆ เลือนรางกลืนเข้ากับแสงลวงตารอบนอกเขาเก้ายอด จากนั้นค่อยลอยเข้าสู่ข้างในนั้น
เดิมทีตรงหน้าทุกคนมองเห็นยอดเขายักษ์สูงเสียดฟ้าเก้ายอด ตอนนี้กลับมองเห็นเพียงความขมุกขมัว มีเพียงแสงที่เปลี่ยนแปลงไปและไอหมอกที่แตกกระเจิงออกไปเป็นระลอก ปรากฏสภาวะไร้ท้องฟ้าไร้ผืนดิน
ประมาณสี่หรือห้าลมหายใจ ตรงหน้ากลับมาแจ่มชัดดังเดิม แสงสีโดยรอบคล้ายกับถูกชำระล้างครั้งหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น มันชัดแจ้งปรุโปร่งยิ่งกว่าเดิม ปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้น
ยอดเขายักษ์เก้ายอดของเขาเก้ายอดปรากฏตรงหน้า ใหญ่ยิ่งกว่าที่เห็นก่อนหน้านี้เสียอีก เรือใบไม้เขียวของพวกจี้หยวนเพียงอยู่รอบนอกของยอดเขายอดหนึ่งเท่านั้น ทว่ายอดเขาที่พวกเขาเห็นเหมือนเชื่อมฟ้าเชื่อมดิน กว้างไกลยากประมาณ
จี้หยวนใช้ตาทิพย์มองลงไปเบื้องล่าง
สิ่งที่เห็นตอนนี้คือยอดเขายักษ์เก้ายอดของเขาเก้ายอดไม่ได้อาศัยบรรยากาศแขวนอยู่บนชั้นเมฆตรงขอบฟ้าอีก ทว่าห้อยอยู่ใต้เมฆ ชักเจนว่ามีรากฐานเช่นเดียวกัน ถึงขนาดมองเห็นยอดเขาเล็กยอดอื่นข้างล่างชั้นเมฆได้เลือนราง แน่นอนว่าคำว่าเล็กนี้พูดเทียบกับยอดเขายักษ์เก้ายอด ความจริงแล้วอาจสูงเทียมฟ้าเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
“นี่ไม่ใช่เขาพิณพระจันทร์หรือ”
“เรียนท่านเซียน ที่นี่คือที่ตั้งถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดของพวกข้า ไม่ใช่โลกมนุษย์ภายนอก ย่อมไม่ใช่เขาพิณพระจันทร์!”
คำพูดนี้เปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ ห่างออกไปไกลโพ้น ว่ากันว่าโลกคือลานธรรมถ้ำสวรรค์ เป็นความเกรียงไกรของมรรคเซียนทุกระดับ สำนักจวนเซียนระหว่างฟ้าดินมีรากฐานแบบเดียวกันนี้กี่มากน้อยกัน
จี้หยวนสะท้านใจเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาข้างในถ้ำสวรรค์อย่างแท้จริง ไม่พูดถึงความยิ่งใหญ่ของยอดเขายักษ์เก้ายอด แค่ภูเขาใต้เมฆและความเชื่อมโยงเหนือภูเขาก็เพียงพอแล้วให้เขาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งแล้ว
“สหายยุทธ์ทุกท่าน ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปยอดเขาเซียนมาเยือนกัน”
ความเร็วของเรือใบไม้เขียวใต้เท้าเพิ่มขึ้น พาทุกคนลอยไปยังยอดเขาที่ใกล้ที่สุด รอบข้างสดในเงียบสงบหมู่นกโผบิน ใบไม้เขียวมุ่งไปข้างหน้าเมฆหมอกหลีกทางให้
ยอดเขาเซียนมาเยือนดูสูงและอันตราย ความจริงแล้วเป็นเพราะตัวภูเขายิ่งใหญ่ ด้านบนเป็นพื้นที่ซึ่งไม่สูงมากเหมาะแก่การอยู่อาศัย ทิศทางข้างใต้เรือใบไม้เขียวก็คือตำแหน่งแนวสันเขาตะวันออก ที่นั่นมีหินยักษ์ยื่นออกมา บนนั้นสร้างอาคารที่งดงามประณีต มีอาคารหลายหลังที่คล้ายกับอาคารนี้บนยอดเขาเซียนมาเยือน
เมื่อเรือใบไม้เขียวลดระดับลง คนบนนั้นทยอยลงมา ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดผู้นี้ภายมือ แนะนำว่า
“ที่นี่คือสวนไผ่หยก สร้างด้วยไม้ไผ่วิญญาณ แขวนอยู่บนก้อนหินหันไปทางทิศตะวันตก ต้อนรับแสงแรกของอรุณรุ่ง ยามราตรีเห็นแสงจันทร์ชัดเจน สหายยุทธ์จากเขาล้อมหยกน่าจะพอใจกระมัง หากไม่พอใจ พวกข้าเปลี่ยนสถานที่ให้ได้”
“ไม่ต้องหรอก ตามเดิมดีแล้ว แค่ที่พักอาศัยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเลือกมาก”
ฟังจูหยวนจื่อพูดเช่นนั้นแล้ว ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดประสานมือเล็กน้อย
“ขอบคุณสหายยุทธ์ทุกท่าน พวกท่านพักผ่อนสักหน่อย ข้ารายงานสำนักแล้ว จะมีศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นส่งป้ายคำสั่งตามรายชื่อให้สหายยุทธ์ทุกท่าน ข้ายังต้องกลับไปประจำการที่เขาพิณพระจันทร์ ขอไม่รบกวนแล้ว!”
“ดี สหายยุทธ์เดินทางปลอดภัย!”
“สหายยุทธ์ไม่ต้องไปส่งแล้ว!”
จี้หยวนพลันถามขึ้นมา
“พวกข้าได้อยู่แค่ที่สวนไผ่เขียว หรือยอดเขาเซียนมาเยือนแห่งนี้”
“ผู้อาวุโสจี้ล้อเล่นแล้ว ขอเพียงทุกท่านไม่กระทำการใดลบหลู่เขาเก้ายอด จะไปที่ไหนก็ย่อมได้ หากมีที่ไหนไปไม่ได้ ย่อมมีค่ายกลขัดขวาง ข้ารู้ว่าสหายยุทธ์ทุกท่านมรรควิถีล้ำลึก ทว่าเจอค่ายกลห้ามไว้โปรดอย่าบุกรุก”
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว!”
จี้หยวนได้รับคำตอบแล้วพอใจยิ่งนัก ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดไม่รั้งอยู่นานเช่นกัน กล่าวขอตัวลาแล้วเหยียบเรือใบไม้เขียวลอยขึ้นฟ้าจากไป
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ผู้ฝึกปราณรับหน้าที่รับแขกของเขาเก้ายอดอีกหลายคนมาถึง เชิญทุกคนจากเขาล้อมหยกลงชื่อที่รายนาม จากนั้นค่อยมอบป้ายคำสั่งให้ อีกทั้งบอกว่านอกจากเหาะออกไปนอกเขาเก้ายอดได้เองแล้ว จะไปยังตำแหน่งที่ผู้ฝึกปราณรับแขกประจำการอยู่หลายแห่งก็ย่อมได้ เพื่อขอให้อีกฝ่ายส่งตนเองออกจากเขาเก้ายอดไปยังเขาพิณพระจันทร์หรือสถานที่เหมาะสมอื่นๆ นี่เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ฝึกปราณที่ยังใช้วิชาเหาะเหินไม่คล่องแคล่วอย่างชัดเจน
เมื่อจัดการธุระทุกอย่างเรียบร้อย สวนไผ่เขียวเหลือเพียงจี้หยวนและทุกคนจากเขาล้อมหยก ทั้งหมดแยกย้ายไปยังอาคารและห้องของตนเอง อีกทั้งแยกย้ายไปเดินเล่นรอบๆ
จำต้องพูดว่าเขาเก้ายอดแข็งแกร่งกว่าเขาล้อมหยกอย่างแท้จริง อย่างน้อยก็พูดได้ว่าบรรยากาศในสำนักเป็นเช่นนั้น
หลังจากพักผ่อนฝึกปราณเล็กน้อยแล้ว จี้หยวนเดินไปถึงปลายหินยักษณ์ที่ยื่นออกจากหน้าผา มองลงไปยังที่ไกลซึ่งมีเมฆหมอกลอยวน
‘ไม่รู้เหมือนกันว่าในถ้ำสวรรค์เขาเก้ายอดแห่งนี้มีคนสร้างขึ้นหรือไม่ หรือว่าเป็นโลกใบเล็กอีกใบหนึ่ง’
ขณะคิดในใจ มีเสียงหัวเราะสดใสดังมาจากกลางอากาศ
“โลกนี้กลมนัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะท่านจี้ผู้มีนิสัยรักความสงบจะมาเข้าร่วมความคึกคักของงานชุมนุมเซียนพเนจร ฮ่าๆๆๆๆ…”
จี้หยวนหันไปมอง มีคนเหยียบเมฆขาวมาถึง เป็นขอทานชราหลู่เนี่ยนเซิงที่ยังคงสวมชุดเก่าขาด ข้างกายไร้เงาของหลู่เสี่ยวโหยวและหยางจง
“ผู้อาวุโสหลู่เข้าใจผิดแล้ว ข้าคนแซ่จี้ชอบความคึกคักมากกว่าที่ท่านคิดไว้ อย่างงานแต่งงานเลี้ยงของชาวบ้านทั่วไป ข้าล้วนไปขอดื่มสุรามงคลสักถ้วย สถานที่คึกคักอย่างงานชุมนุมเซียนพนเจร ในเมื่อข้ารู้ว่ามี ไหนเลยจะไม่มาเยือนเล่า”
ระหว่างสนทนากัน ขอทานชราลดระดับร่อนลงข้างกายจี้หยวน สองคนประสานมือคารวะกัน ฝ่ายแรกประสานมือให้ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกที่กำลังเดินมาแต่ไกลเช่นกัน นับว่าทักทายแล้ว
ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว ขอทานชราค่อยหมุนกายไปเผชิญหน้ากับชี้หยวนอีกครั้ง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
“ท่านจี้ พบหยางจงแล้วกระมัง รู้สึกอย่างไรบ้าง”
จี้หยวนตอบอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก
“เกิดใหม่เปลี่ยนกระดูก อัศจรรย์ไม่ธรรมดา!”
“ฮ่าๆ ขอบคุณท่านจี้ที่ชม!”
จี้หยวนรู้จักนิสัยของขอทานชราเป็นอย่างดี รวมถึงความคิดของเขาในตอนนี้ด้วย จึงกล่าวเสริมคำพูดจากใจด้วยความจริงจังยิ่ง
“ไม่ใช่คำชม ทว่าเรื่องจริงเป็นเช่นนั้น วิธีการนี้เทียบได้กับความอัศจรรย์ของจักรวาลเชียว!”
หลังจากของทานชราทำให้หยางจงได้หยางคืนกลับเป็นคนแล้ว เหมือนกับได้ฟังคำชมของจี้หยวนแล้วถึงนับได้ว่าสมบูรณ์แบบ ตอนนี้ถูกจี้หยวนสะกิดต่อมแล้วเบิกบานใจอย่างยิ่งยวด
“ฮ่าๆๆๆ…ท่านจี้ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว!”
จะฟังคำชมแต่ละครั้งต้องแยกแยะว่าใครเป็นคนชม แม้สมาชิกราชวงศ์กล่าวชมซึ่งหน้า ขอทานชราพึงพอใจเช่นกัน แต่คำพูดของจี้หยวนทำให้เขาซาบซึ้งใจยิ่งนัก อีกทั้งทำให้ขอทานชราผู้นี้อารมณ์ดียิ่งกว่าขามาเสียอีก
“จริงสิ ในเมื่อท่านจี้ชอบดูความคึกคัก รีบตามข้าไปสถานที่หนึ่งด้วยกันเถอะ เดิมทีข้าอยากไปตามลำพัง แต่ท่านจี้มาที่นี่แล้ว พวกเราสองคนไปเป็นเพื่อนกันพอดี ไปๆๆ!”
“ความคึกคักอะไร”
จี้หยวนสงสัย ขอทานชรากลับบังคับเมฆเหาะขึ้น ฝ่ายแรกทำได้เพียงเหยียบเมฆขึ้นไปก่อน
“ฮ่าๆๆๆ…มางานชุมนุมเซียนพเนจรแล้วจะยังมีความคึกคักอะไรได้ แน่นอนว่าต้องเป็นเซียนวิวาทกัน เอ้ยไม่ใช่ เซียนประชันมรรคกัน! สหายยุทธ์เขาล้อมหยกทุกท่าน ข้ากับท่านจี้จะออกไปเดินเล่น พวกเจ้าฝึกปราณอยู่ที่นี่เถอะ ขอตัวแล้ว…”
พูดยังไม่ทันจบตนเองกลายเป็นแสงจากไปแล้ว เหลือไว้เพียงหางเสียงยืดยาวอยู่ท่ามกลางภูเขา
จูหยวนจื่อยืนมองลายแสงบนอาคารฝึกปราณของตนเองพลางส่ายหน้า ขอทานชราผู้นี้ระดับการฝึกปราณสูงล้ำ แต่นอกจากจี้หยวนแล้ว คนอื่นไม่อยู่ในสายตาเขาโดยสิ้นเชิง