เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 462 ขนนกปีศาจชวนประหวั่น
ตอนที่ 462 ขนนกปีศาจชวนประหวั่น
รอเมื่อคนของเขาล้อมหยกจากไป เหล่าผู้ฝึกปราณหญิงแห่งสำนักยรรยงค่อยก้าวเข้าอาคารดินเหนียวปูกระเบื้องเคลือบภายใต้การนำทางของผู้อาวุโสข้างหน้าสุดคนนั้น แต่ฝ่ายหลังยังหันมองทางที่ผู้ฝึกปราณแห่งเขาล้อมหยกจากไป
ชายดวงตาสีเทาเมื่อครู่นั้น นางมองพลังปราณของเขาไม่ออก เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเป็นคนธรรมดา คนรุ่นเยาว์สื่อจิตบอกเขายังรับรู้
สำหรับสถานการณ์นี้ผู้นำหญิงแห่งสำนักยรรยงรู้ว่าเขาคงไม่เจตนาสำแดงวิชาหยั่งเชิงอะไร แค่ปราณสูงส่งถึงระดับหนึ่ง ทั้งเป็นผู้ครองมรรคอัศจรรย์สภาวะจิตผ่องแผ้วความรู้สึกแจ่มชัด บางครั้งหากมีคนรอบตัวพูดถึงตน เขาย่อมสัมผัสได้
“บรรพจารย์ คิดไม่ถึงว่าพวกคนจากเขาล้อมหยกซึ่งไม่ชอบออกมาข้างนอกหลายร้อยปี ครั้งนี้กลับส่งคนมามากขนาดนี้ ทั้งมีผู้ครองมรรควิถีลึกล้ำยากหยั่งถึง ก่อนหน้านี้ดูถูกพวกเขาแล้ว”
ชัดเจนว่าหญิงสาวที่เอ่ยกล่าวเมื่อครู่สังเกตเห็นการเหลือบมองก่อนหน้านี้ของจี้หยวนเช่นกัน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มองนาง แต่จูหยวนจื่อที่อยู่ข้างจี้หยวนพลังปราณลึกล้ำไม่เห็นก้นบึ้งเช่นกัน ตอนนี้นางจึงทอดถอนใจ
ได้ยินผู้ฝึกปราณรุ่นหลานของตนกล่าวเช่นนี้ ผู้ฝึกปราณหญิงที่เป็นผู้นำอึ้งงันเล็กน้อย หันกลับมามองนาง
“เจ้ารู้ว่าพวกเขามาทำอะไรหรือไม่”
“เอ่อ… บรรพจารย์ ตอนนี้คือปีจอธาตุดิน ทั้งเป็นฤดูกาลนี้ แน่นอนว่าย่อมไปร่วมงานชุมนุมเซียนพเนจร”
ผู้นำหญิงพยักหน้าอย่างเข้าใจกระจ่าง
“อ้อ… ครบรอบอีกแล้วหรือ…”
พวกเขาไม่พูดคุยอีก เดินเนิบช้าเข้าไปในอาคาร พื้นที่ว่างด้านในใหญ่กว่าที่เห็นภายนอกมาก น่าจะหลอมค่ายกลควบรวมจักรวาลบางอย่างด้วย
ตรงชั้นแรกคือห้องโถงโล่งกว้างแห่งหนึ่ง บนผนังสูงต่ำมีป้ายทิพย์มากมายแขวนอยู่ถ้วนทั่ว บ้างส่องประกายบ้างมืดสลัว บนนั้นระบุชื่อเรือเหาะ สัตว์ประหลาด เกาะลอยทุกแห่ง ทั้งมีผู้ฝึกปราณเขากวางจันทร์ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกโดยรอบ
เมื่อเห็นผู้ฝึกปราณหญิงสำนักยรรยงซึ่งมีเอกลักษณ์กลุ่มนี้เข้ามา ผู้ฝึกปราณเขากวางจันทร์คนหนึ่งรีบเดินเข้ามาทักทาย
“ข้าน้อยแซ่หลี่ หนึ่งในผู้ดูแลท่าเรือยอดเขาแห่งเขากวางจันทร์ สหายยุทธ์สำนักยรรยงทุกท่านลำบากแล้ว!”
“อืม สหายยุทธ์หลี่ไม่ต้องมากพิธี บอกพวกเราเรื่องคนที่ต้องการโดยสารสัตว์กลืนนภา รวมถึงมีสิ่งของซึ่งต้องบรรทุกเพิ่มเติมหรือไม่ก็พอ”
แต่ไหนแต่ไรคนของสำนักยรรยงไม่ชอบพูดมาก ทั้งไม่ชอบติดต่อกับคนนอกมากเกินไป แน่นอนว่าผู้ฝึกปราณแซ่หลี่ซึ่งถือเป็นผู้ดูแลย่อมรู้ชัด เขารีบหยิบม้วนหยกบันทึกสัญญาออกมา กวาดนิ้วเจอรายชื่อสัตว์กลืนนภาซึ่งมาถึงวันนี้ จากนั้นค่อยดึงแท่งหยกนั้นออกมา มอบให้ผู้ฝึกปราณสำนักยรรยงด้วยสองมือ
“สหายยุทธ์ทุกท่านโปรดตรวจสอบ ข้อมูลทั้งหมดอยู่บนนี้ หากไม่มีเรื่องด่วน หวังว่าสัตว์กลืนนภาจะเทียบท่าเรือยอดเขาสองวัน สะดวกต่อการขนของสำหรับผู้มีความประสงค์ หากต้องการสถานที่ฝึกปราณเพิ่มเติม เชิญทุกท่านติดต่อด้านบน!”
“อืม ทราบแล้ว!”
คนของสำนักยรรยงไม่สนใจขึ้นไปด้านบนต่อ พวกนางคิดหันหลังจากไป ถ้าอยากฝึกปราณจริงการบำเพ็ญเพียรอยู่บนสัตว์กลืนนภาของตนไม่ดีกว่าหรือ
แต่ยามหันหลังคิดจากไป ผู้ฝึกปราณรุ่นหลานของผู้นำหญิงคนนั้นพลันเอ่ยถามผู้ดูแลแซ่หลี่
“สหายยุทธ์หลี่เป็นผู้ดูแลท่าเรือยอดเขา แน่นอนว่าย่อมรู้จักผู้อาวุโสสูงส่งที่สัญจรไปมาทุกท่าน ขอล่วงเกินถามสักประโยค ก่อนหน้านี้เขาล้อมหยกมีผู้อาวุโสพลังปราณล้ำลึกสองคน สหายยุทธ์หลี่รู้จักหรือไม่”
สหายยุทธ์แซ่หลี่ครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าวตอบ
“ผู้เฒ่าเครายาวคือท่านเซียนจูหยวนจื่อแห่งเขาล้อมหยก ผู้อาวุโสท่านนี้ออกมาข้างนอกน้อยนัก เขากวางจันทร์มีบันทึกชื่อเขาล่าสุดเมื่อหกร้อยปีก่อน ไม่ทราบอายุแท้จริง ความล้ำลึกของมรรควิถีแค่คิดย่อมรู้ได้”
ใช่ว่าอายุคือเกณฑ์ประเมินพลังปราณ ตัวอย่างเช่นสาเหตุจากพรสวรรค์ ไม่แน่ว่าผู้ฝึกปราณอายุหกสิบปีคนหนึ่งจะมีพลังปราณต่ำกว่าผู้ฝึกปราณอายุร้อยปี แต่หากอายุมากถึงระดับหนึ่งย่อมเข้าเค้า ถึงอย่างไรอายุมากขนาดนี้ หากพลังปราณใช้ไม่ได้คงแก่ตายนานแล้ว
เมื่อกล่าวถึงจูหยวนจื่อจบ ผู้ฝึกปราณแซ่หลี่นึกถึงจี้หยวน เขาเอ่ยปากกล่าวต่อ
“มีผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่ง ข้าคนแซ่หลี่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกเคารพเขามาก แม้แต่จูหยวนจื่อก็เช่นกัน ทุกคนเรียกว่า ‘ท่านจี้’ จากการวิเคราะห์ของข้าคนแซ่หลี่ ผู้อาวุโสท่านนั้นน่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยก แต่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเขาล้อมหยก”
“เอาล่ะ ขอบคุณสหายยุทธ์ที่บอก!”
“ไม่ต้องเกรงใจ!”
เมื่อถามจบก็ไป เห็นชัดว่าผู้ฝึกปราณหญิงสำนักยรรยงดุดันวางมาดกว่าบุรุษหลายคน เมื่อพวกนางจากไป ผู้ดูแลแซ่หลี่คนนั้นเป่าปากโล่งอกเล็กน้อย คนสำนักยรรยงไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับคนนอก คนนอกซึ่งรู้ความเคยชินของสำนักยรรยงมีพอควร
ใช่ว่าคนสำนักยรรยงป่าเถื่อนไร้เหตุผล บรรดาผู้บำเพ็ญมรรคเซียนแท้จริงพวกไร้เหตุผลมีน้อยนัก แต่พวกยึดมั่นหลักการหรือไม่ยอมรับทัศนคติขัดกับตนเองมีไม่น้อย สำนักยรรยงเข้าข่ายอย่างแรกผสมอย่างหลังเล็กๆ วิชาที่ฝึกเน้นความสงบจิตผ่องแผ้วดุจน้ำนิ่ง ดังนั้นบางครั้งท่าทีจึงเย็นชามาก หากความเห็นไม่ตรงกัน ผู้ฝึกปราณหญิงสำนักยรรยงที่ใบหน้าไร้ความรู้สึก ไม่แยแสแต่กลับยึดมั่นหลักการย่อมน่ากลัวที่สุด
ตลาดนัดท่าเรือยอดเขา เหล่าผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกแยกกันเดินเล่นกับพวกพ้อง จี้หยวน จูหยวนจื่อ ฉิวเฟิงเดินร่วมกัน ฉิวเฟิงซึ่งมาถึงก่อนก้าวหนึ่งกำลังแนะนำสิ่งปลูกสร้างพิเศษบางแห่งกลางตลาดนัดกับจี้หยวนและจูหยวนจื่อ
สิ่งสำคัญคือสถานที่ซึ่งดำเนินการโดยเหล่าผู้ฝึกปราณบางแห่ง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการขายสมบัติวัตถุวิญญาณนานัปการ ทั้งมีผู้ฝึกปราณอาศัยโลกทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ของตน แยกแยะวัตถุวิญญาณแทนคนอื่นโดยเฉพาะ อาศัยสิ่งนี้มาผูกวาสนา
บ้างวางแผงกลางตลาดนัด บ้างเป็นอาคารแยกเดี่ยว เห็นชัดว่าเริ่มมี ‘ผลจากเครื่องหมายการค้า’ ที่มั่นคงแล้ว
ตลาดนัดที่นี่คึกคักกว่าตลาดเล็กบนเรือเหาะเขาเก้ายอดซึ่งจี้หยวนเคยไปมากอย่างชัดเจน มีสินค้ามากมาย ของแปลกนานาเหลือคณานับ
จี้หยวนถึงขั้นเห็นว่ามีผู้ฝึกเซียนขายภูตจิ๋วหายากนานัปการ ภูตจิ๋วเหล่านี้ล้วนอ่อนแอมาก บางส่วนหากไม่ระวังอาจถูกคนธรรมดาฆ่าตายได้ ทว่าต่างมีความอัศจรรย์ เขาเดินผ่านแผงแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกเซียนชราคนหนึ่งกำลังขายภูตสีน้ำเงินเข้มชนิดหนึ่ง
นั่นคือคนจิ๋วขนาดเท่านิ้วโป่ง ด้านหลังมีปีกสีน้ำเงินโปร่งแสงคู่หนึ่ง กำลังถูกขังอยู่ในกรงโลหะสีดำ กรงปกคลุมด้วยผ้าดำ แต่ด้วยสำแดงวิชา ผู้คนมองเห็นคนจิ๋วสามคนที่อยู่ข้างในผ่านผ้าดำได้ แต่คนจิ๋วด้านในกลับมองไม่เห็นข้างนอก
แผงของผู้ฝึกเซียนแตกต่างจากตลาดทางโลกมาก โดยทั่วไปเจ้าของแผงตะโกนน้อยนัก แค่เพียงสงบจิตฝึกปราณตรงแผง เมื่อมีสหายยุทธ์สนใจค่อยเอ่ยปากกล่าว
เห็นจี้หยวนกับเหล่าผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกหยุดมอง ผู้ฝึกปราณชราค่อยเอ่ยปากแนะนำ
“สหายยุทธ์ทุกท่าน ในกรงนี้คือภูตมายาคราม ชอบขโมยฝันจากโสตประสาทยามคนหลับสนิท หรือก็คือขโมยจิตวิญญาณ เห็นชัดว่าบางคนนอนหลับพอ แต่พอตื่นมากลับไม่กระปรี้กระเปร่า เป็นไปได้ว่าถูกพวกมันก่อกวน”
“ถ้าอย่างนั้นพวกมันมีประโยชน์อะไรหรือไม่”
จี้หยวนเอ่ยถามประโยคหนึ่ง เจ้าของแผงครุ่นคิดโดยละเอียด
“หากพวกมันยินดีย่อมช่วยคนย้อนห้วงฝัน สร้างฝันใหม่หรือยืดฝันเดิม แต่พวกมันเปราะบางมาก มักถูกคนหลับฝันพลิกตัวทับตายบ่อยครั้ง”
ด้วยเป็นภูตซึ่งอาศัยจิตใจกับแดนฝันเลี้ยงชีพ ส่วนใหญ่หลังตายไม่นานร่างกายจึงสลายไป เหลือเพียงรอยเลือดเล็กน้อย บางคนตื่นมาตอนเช้าพบว่าเตียงนอนมีรอยเลือด แต่บนตัวไม่มีบาดแผลอะไร เป็นไปได้ว่าเมื่อคืนอาจทับภูตจิ๋วตาย
“เป็นอย่างไร สหายยุทธ์ทั้งสามสนใจซื้อพวกมันหรือไม่ กรงนี้ถือว่ารวมด้วย มอบหยกวิญญาณธาตุไม้ให้ข้าหนึ่งตำลึงก็พอ หรือว่าลูกกลอนโอสถซ่อมเสริมปราณดั้งเดิมก็ได้”
ฉิวเฟิงเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้
“สำหรับพวกเราภูตเช่นนี้ถือว่าไม่มีประโยชน์ มีอะไรน่าซื้อเล่า แต่ของสิ่งนี้เหมือนพิเศษอยู่บ้าง”
ฉิวเฟิงพูดพลางหยิบขนนกสีแดงเหลือบทองขึ้นมาจากแผง ความยาวราวแขนเด็ก หลังจากแทรกปราณวิญญาณเข้าไป โดยรอบเริ่มร้อนขึ้นรางๆ
“ขนนกเส้นนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นของปีศาจอะไร บนตัวไม่ใช่ปราณปีศาจทั่วไป ปีนั้นเก็บมาจากทะเลตะวันออก บ้างมีความร้อนแผ่ออกมา แต่อยู่แค่ระดับเดียวกับการกระตุ้นจากสหายยุทธ์ตอนนี้ หนึ่งคือไม่อาจหลอมเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ สองคือไม่อาจช่วยคนฝึกปราณ บางทีอาจมีความอัศจรรย์อื่น แต่ข้าผู้ชราไม่ทราบ”
เดิมจี้หยวนไม่สนใจขนนกนี้ กระทั่งฉิวเฟิงแทรกปราณวิญญาณกระตุ้นจนเกิดกระแสความร้อน ทำให้เขารู้สึกถึงความน่าหวาดหวั่นที่แผ่ออกมาจากขนนก น่าตระหนกจนจี้หยวนแทบถอยหลังหลายก้าว อาศัยสมาธิจิตแข็งแกร่งฝืนทนไม่ขยับ
‘พูดเป็นเล่น… ไม่มีปราณปีศาจ? ปราณปีศาจล้นฟ้าแล้ว!’
จี้หยวนลืมตาทิพย์ จ้องขนนกบนมือฉิวเฟิงเขม็ง ฉิวเฟิงกับเจ้าของแผงกำลังคุยเรื่องขนนกเส้นนี้โดยไม่สะทกสะท้าน ปราณปีศาจน่ากลัวสีดำแดงแผ่ออกมาเป็นระลอก เบาบางมาก แต่กลับน่ากลัวยิ่ง
หลายปีมานี้จี้หยวนรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริงน้อยนัก
ขนนกเส้นเดียวยังขนาดนี้ จี้หยวนไม่กล้าจินตนาการว่าหากปีศาจเจ้าของขนนกอยู่ที่นี่ นั่นจะเป็นปีศาจแบบไหน หรือว่า…
ยามครุ่นคิดจี้หยวนเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างอดไม่ได้ คล้ายมองทะลุเมฆหมอกซึ่งไม่เคยซ่านสลายเหนือท่าเรือยอดเขา เห็นดวงอาทิตย์บนฟากฟ้า
“ท่านจี้ ท่านจี้?”
“หะ หา?”
จี้หยวนดึงสติกลับมาทันที ปราณปีศาจซึ่งขนนกนั่นแผ่ออกมาเมื่อครู่ ทำให้เขาจิตฟุ้งซ่าน เหม่อลอยอย่างเห็นได้น้อยนัก
จูหยวนจื่อกับฉิวเฟิงถือเป็นผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกที่จี้หยวนค่อนข้างคุ้ยเคย เมื่อทราบว่าท่านจี้มองขนนกนี้แล้วเหม่อลอย มีโอกาสสูงว่าขนนกเส้นนี้ไม่ธรรมดา แต่เจ้าของแผงไม่ทราบ
“คือว่า… ท่านจี้ ขนนกเส้นนี้ดูงามนัก ท่านอยากซื้อกลับไปวางประดับหรือไม่”
ฉิวเฟิงเอ่ยถามเช่นนี้ จี้หยวนพลันอึ้งงัน เผยรอยยิ้มก่อนกล่าวตอบ
“ไม่เลว แต่ไม่ใช่ของประดับ ในเมื่อขนนกนี้ดูดซับปราณวิญญาณได้ ข้าคนแซ่จี้ไม่เชื่อว่ามีแค่นี้ คิดนำกลับไปสำแดงวิชาศึกษาหน่อยว่ามันมีความอัศจรรย์อย่างอื่นหรือไม่ จริงสิ สหายยุทธ์ ขนนกเส้นนี้ขายอย่างไร”
ผู้ฝึกปราณชราเหลือบมองทั้งสามคน ก่อนชูสองนิ้วออกมา
“หยกวิญญาณธาตุไม้สองชั่ง หรือหยกวิญญาณห้าธาตุอื่นสองชั่งแปดตำลึง หรือลูกกลอนโอสถเสริมปราณดั้งเดิมก็ได้!”
“แพงขนาดนี้เชียว? ท่านบอกว่าไม่มีประโยชน์อะไรไม่ใช่หรือ”
ฉิวเฟิงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ ผู้ฝึกปราณชราเผยรอยยิ้มออกมา
“ของหายากย่อมมีราคาแพง ข้าครอบครองมันแล้วทำอะไรไม่ได้ หาความเป็นมาของมันไม่เจอ อีกอย่างสหายยุทธ์สองท่านนี้มรรควิถีล้ำลึก บางทีอาจมีวิธี”
“ท่าน…”
ฉิวเฟิงยังคิดกล่าวต่อ แต่จี้หยวนกลับห้ามเขาไว้
“สหายยุทธ์พูดมีเหตุผล ข้าไม่ต่อรองราคา แต่ไม่มีหยกวิญญาณธาตุไม้ติดตัว ทั้งไม่มีลูกกลอนโอสถเสริมปราณดั้งเดิม ท่านดูสิว่าสิ่งนี้ซื้อได้หรือไม่”
จี้หยวนพูดพลางหยิบเหรียญทิพย์สองเหรียญซึ่งก่อนหน้านี้หลอมขึ้นใหม่ออกมาจากแขนเสื้อ
เมื่อนำเหรียญทิพย์ออกมา ปราณวิญญาณโดยรอบสั่นสะเทือนรางๆ แสงสีทองเหลืองลึกล้ำวาบออกมาจากเหรียญทิพย์ กลิ่นอายมรรคซ่อนเร้นควบรวมไม่สลาย
ผู้ฝึกปราณชราขยับเข้ามาใกล้ตามจิตใต้สำนึก
“ขอข้าดูโดยละเอียดได้หรือไม่”
“เชิญ”
จี้หยวนส่งมอบเหรียญทิพย์หนึ่งออกไป ผู้ฝึกปราณชรารับมาแล้วโคจรพลังสัมผัส เข้าใจความอัศจรรย์ภายในนั้นทีละน้อย แต่กลับไม่เข้าใจทั้งหมดอยู่บ้าง
“สิ่งนี้นามว่าเหรียญทิพย์ เป็นของที่ข้าคนแซ่จี้บรรจงหลอม ได้แค่บอกว่าความอัศจรรย์มากมี เหรียญทิพย์สองเหรียญนี้เทียบเท่าราคาสินค้าได้หรือไม่”
ฉิวเฟิงจ้องมองเหรียญทิพย์ ยกมือขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก
“ท่านจี้ ข้ามีหยกวิญญาณธาตุไม้ ข้ามี! เหรียญทิพย์นี้ท่าน…”
“ขายๆ ข้าต้องการเหรียญทิพย์พวกนี้ ตอนนี้ข้าไม่ต้องการหยกวิญญาณธาตุไม้แล้ว ต้องการเหรียญทิพย์!”
แม้ว่าเจ้าของแผงเป็นผู้ฝึกเซียน แต่ตอนนี้กลับร้อนรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง มองฉิวเฟิงอย่างระแวง กลัวว่าเหรียญทิพย์ซึ่งเพิ่งถึงมือจะเปลี่ยนเจ้าของ
“หึๆ ได้ เหรียญนี้มอบให้ท่าน โปรดรับไว้”
จี้หยวนส่งเหรียญทิพย์อีกเหรียญให้ จากนั้นค่อยยื่นมือหยิบขนนกไป