เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 359 เจวี๋ยหมิงไม่เข้าใจ
ตอนที่ 359 เจวี๋ยหมิงไม่เข้าใจ
การขว้างคทาขักขระทำให้เจ้าภูเขาลู่เข้าใจผนึกอารามเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง สิ่งของเจือพลังธรรมทะลวงผนึกได้ดังคาด
ความจริงผนึกอารามนี้ไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้เขาคิดเขาไปดื่มชารอจริงๆ แต่กลับถูกดีดกระเด็นโดยไม่ทันตั้งตัว
ต่อมาภิกษุใหญ่พวกนั้นเห็นท่าไม่ดี ทยอยกลับเข้าผนึกท่องคัมภีร์ เชื่อมั่นในพลังผนึกอาราม
ต่อให้ก่อนหน้านี้เจ้าภูเขาลู่ส่งสัญญาณว่าคิดพุ่งตัวเข้าอาราม แต่รู้ว่าคงไม่สำเร็จโดยง่าย แน่นอน ตอนนั้นเขาไม่คิดเผยร่างเดิมออกมา
ผลคือเจ้าภูเขาลู่ประเมินความยึดมั่นกับการกำราบมารปีศาจของเหล่าภิกษุชราต่ำไป เขาแค่หยั่งเชิงไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายคิดเหมือนกัน พวกเขาร่วมแรงร่วมใจงัดวิชาทั้งหมดออกมา ใช้พลังธรรมสยบเขา กำราบปราณปีศาจกับพลังไว้ มุ่งเป้าเล่นงานปีศาจโดยเฉพาะ
การลงมืออย่างเด็ดขาดเช่นนี้ นอกจากทำให้ปีศาจรู้สึกไม่ดีแล้วยังทำให้เจ้าภูเขาลู่มองออก ภิกษุพวกนี้ไม่มีทางปล่อยให้ตนเจอจ้าวหลงแน่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากโชคดีคงเผยร่างเดิมต้านแสงธรรมได้โดยง่าย
ตอนนี้เจ้าภูเขาลู่ใช้คทาขักขระสร้างช่องโหว่บนผนึกอาราม จริงอยู่ว่าผนึกนี้แข็งแกร่ง แต่การเปลี่ยนแปลงกลับซ้ำซาก เน้นพลังด้อยทักษะ แข็งกร้าวไม่นุ่มนวล ไม่เหมือนผนึกอัศจรรย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับอานุภาพภูผา วารี ฟ้า ดินอย่างจวนเซียน
เจ้าภูเขาลู่มองภิกษุชราซึ่งกระอักเลือดตรงหน้าประตูอาราม ทั้งมองภิกษุอีกสองรูปที่เมื่อครู่ถูกซัดกระเด็นไปไกล
แม้ว่าทั้งสามได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนสาหัส แต่ด้วยมีวิชาวิทยาราชพิทักษ์กาย ความจริงจึงไม่เป็นไรนัก
แน่นอน แรงต้านทานของภิกษุชราสามรูปลดลงไม่น้อย หากเจ้าภูเขาลู่อยากรุกไล่ต่อเนื่องจริงคงไม่อาจต้านทานอีก เท่ากับลดตัวปัญหาไปสามคน
เจ้าภูเขาลู่ยิ้มหยันในใจ ทั้งไม่ลงมือสังหาร ควบคุมลมหอบร่างปีศาจมหึมาลอยขึ้นบนท้องฟ้าเหนืออารามวิทยาราช ก้มมองทั้งอารามจากเบื้องสูง
ปราณปีศาจบนฟ้ากลายเป็นเปลวเพลิง ม้วนพัดลมปีศาจอบอวลท้องฟ้าครึ่งหนึ่ง สร้างความกดดันต่อเหล่าภิกษุภายในอารามอย่างมาก
“จ้าวหลง… เจ้ายังไม่ออกมาอีกหรือ ภิกษุอารามวิทยาราชปกป้องเจ้าเช่นนี้ ดูท่าว่าเจ้าคงไม่ธรรมดาอยู่บ้างเช่นกัน หรือว่าอยากเห็นพวกเขาตายเพราะเจ้า”
เสียงของเจ้าภูเขาลู่แพร่กระจายทั่วอารามวิทยาราช เสียงสะท้อนดังกระหึ่มราวฟ้าคำราม ร่างปีศาจมหึมาโรยตัวลงเหนืออารามวิทยาราชช้าๆ
วงแสงสีเหลืองสว่างชั้นหนึ่งปรากฏเหนืออาราม คล้ายแสงครอบไหลวนชั้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีผนึกนี้อยู่จึงดีดเจ้าภูเขาลู่กระเด็น
แต่ตอนนี้ร่างปีศาจของเจ้าภูเขาลู่กลับโรยตัวลงมาช้าๆ กรงเล็บมหึมาคมกริบข้างหนึ่งสัมผัสผนึก แม้ว่าผนึกส่องสว่าง แต่กลับไม่อาจส่งผลอะไรต่อร่างปีศาจ
บนกรงเล็บคมกริบมีเส้นแสงพิเศษชั้นหนึ่ง ผนึกซึ่งเดิมควรลื่นจนเกาะไม่อยู่ ถึงกับถูกกรงเล็บคมกริบฝังเข้าไปเหมือนตัดเนยทีละน้อย จากนั้นค่อยแผ่ปราณปีศาจออกมาจากกรงเล็บคมกริบ
เปรี๊ยะ… เปรี๊ยะๆๆ…
เมื่อเจ้าภูเขาลู่งุ้มกรงเล็บ เสียงกระทบเหมือนเครื่องกระเบื้องแตกดังขึ้นทีละน้อย ภายในผนึกกระบวนเริ่มไม่เสถียร
ภิกษุทั่วอารามมองผนึกบนท้องฟ้าอย่างประหม่า เห็นดวงตาทองทมิฬดุจอำพันของปีศาจซึ่งไม่เคยได้ยินหรือพบเจอมาก่อน คล้ายดวงตาคู่นั้นมีพลังประหลาด สามารถกระตุกจิตวิญญาณ ทำให้ผู้คนตกสู่ความหวาดกลัวจนสูญเสียพลัง
ปึง…
เมื่อเสียงดังขึ้นภิกษุทุกรูปตัวสั่น ผนึกอารามเปราะบางเหมือนถ้วยหลากสี แตกละเอียดทั้งอย่างนั้น
ภิกษุมากมายเผยสีหน้ายากจะเชื่อ ไม่กล้าเชื่อว่าผนึกอารามเปราะบางเช่นนี้ พูดตามหลักการคือต่อให้ปีศาจตนนี้ร้ายกาจจริงก็ไม่ควรทำลายผนึกได้โดยง่ายเช่นนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรความจริงก็คือผนึกยืนหยัดภายใต้กรงเล็บเจ้าภูเขาลู่ได้ไม่ถึงสิบลมหายใจ ตอนนี้ลมปีศาจพัดปราณปีศาจเข้มข้นเข้าอาราม กรงเล็บปีศาจมหึมาข้างหนึ่งก้าวเข้าอาราม จากนั้นค่อยตามมาด้วยข้างที่สอง ข้างที่สาม ข้างที่สี่
“จะ เจ้าปีศาจ… เจ้าถึงกับกล้าบุกเข้ามาหรือ แดนบำเพ็ญเพียรแห่งพระวิทยาราช… เหล่าภิกษุแห่งอารามวิทยาราช ร่วมกันปราบปีศาจ…!”
ภิกษุชราตรงประตูอารามโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ รู้สึกเพียงว่าแดนพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งบำเพ็ญเพียรมากว่าครึ่งชีวิตถูกปีศาจทำให้แปดเปื้อน เขาเช็ดเลือดแดงสดตรงมุมปาก ตวาดเดือดดาลเสียงสูง
แต่เสียงตวาดเดือดดาลของภิกษุชรากลับไม่มีการตอบรับที่ควรมี ภิกษุทุกรูปจ้องดวงตาเจ้าภูเขาลู่เหมือนต้องมนตร์ ปากไม่อาจพูด ร่างกายไม่กล้าขยับ เหล่าภิกษุทั่วไปหรือพระธรรมตื้นเขิน ถึงขั้นตัวสั่นไม่หยุด หมดสติไปก็มีไม่น้อย
เจ้าภูเขาลู่มองภิกษุชรานอกอาราม
“ภิกษุชราอย่างเจ้า ตัวเองอยากสู้ก็ช่างเถอะ เหตุใดต้องให้ภิกษุน้อยพวกนี้เป็นตั๊กแตนขวางรถ”
ขณะกล่าวเจ้าภูเขาลู่กวาดมองทั่วอาราม ต่อให้กำจัดผนึกแล้วแต่ยังมองไม่ออก
“จ้าวหลง… อย่าหลบเลย เจ้ากับข้าไม่ช้าก็เร็วต้องเจอกัน พบกันเร็วดีกว่าเจอกันช้า พบกันวันนี้ดีกว่าเจอกันวันหน้า ในเมื่อข้าเป็นปีศาจชั่วร้าย อีกเดี๋ยวไม่แน่ว่าอาจกลืนภิกษุกลุ่มนี้และทำลายทุกอย่างโดยรอบ เจ้ายังไม่ออกมาอีกหรือ”
เจ้าภูเขาลู่ส่งเสียงคำรามอีกครั้ง น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดอยู่บ้างแล้ว ถ้าหาไม่เจอจริงย่อมได้แค่รื้ออารามวิทยาราช ขุดดินสามฉื่อคงเจอจ้าวหลง
บนชั้นเมฆ จี้หยวนยืนกลางเมฆหมอกห้อมล้อม หรี่ตามองอารามวิทยาราชซึ่งเกลื่อนกลาดระเนระนาดกับเจ้าภูเขาลู่ในร่างปีศาจมหึมาเบื้องล่าง ใคร่ครวญว่าต้องลงมือขวางหรือไม่
จี้หยวนรู้ว่าเจ้าภูเขาลู่ควบคุมตนเองมากจริงๆ แต่ไม่ว่าคนหรือปีศาจ ความอดทนย่อมมีขีดจำกัด แน่นอนว่าการกลืนภิกษุย่อมไม่มีทาง แต่อีกไม่นานเจ้าภูเขาลู่อาจทำลายอารามวิทยาราชอย่างอดไม่ได้
แม้ว่าอารามวิทยาราชแห่งนี้เทียบกับสำนักจวนเซียนหรือแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่อารามทางโลกทั่วไป ถือว่ามีรูปปั้นวิทยาราชอยู่ แม้ว่าร่างจำแลงวิทยาราชไม่ปรากฏ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ปรากฏตัว
สุดท้ายสำนักพุทธวิทยาราชถือว่ามีรากฐาน พลังธรรมแห่งต้าเจินไม่ปรากฏไม่ได้หมายความว่าสำนักพุทธไร้กำลัง หากอารามวิทยาราชคาบเกี่ยวบนเส้นความเป็นตายจริง ร่างจำแลงวิทยาราชมีโอกาสปรากฏตัวสูงมาก
ถึงตอนนั้นคงไม่ใช่จุดที่เจ้าภูเขาลู่หยุดมือได้
ไม่ว่าทำลายอารามหรืออาละวาดจริง ล้วนเป็นสิ่งที่จี้หยวนไม่อยากเห็น เชื่อว่าไม่ใช่สิ่งที่เหล่าภิกษุอยากเห็นเช่นกัน ถึงขั้นว่าไม่ใช่สิ่งที่เจ้าภูเขาลู่อยากเห็นด้วย
ผู้ขัดขวางทุกอย่างได้มีแค่สองคน คนหนึ่งคือจี้หยวนที่อยู่เหนือเมฆ อีกคนก็คือจ้าวหลง แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ไม่สนว่าทราบว่าโลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรหรือไม่ เกรงว่าจ้าวหลงคงไม่ยอมออกมา
เสียงคำรามของเจ้าภูเขาลู่ยังไม่ได้รับการตอบรับ บนหน้าปีศาจเผยรอยยิ้มหยันเสี้ยวหนึ่ง กวาดมองเหล่าภิกษุซึ่งถูกทำให้หวั่นหวาดโดยรอบ รวมถึงภิกษุชราบาดเจ็บสามรูปซึ่งรวมตัวกันเข้าอารามอีกครั้ง
“ไต้ซือเจวี๋ยหมิง ฉายาของเจ้าน่าขันนัก!”
แม้ว่าประโยคนี้ของเจ้าภูเขาลู่ยังดังก้องอาราม แต่เสียงกลับต่ำมาก เผยความรู้สึกว่าอันตราย
จี้หยวนเบิกตากว้าง รู้ว่ารอไม่ได้แล้ว ตอนนี้ศิษย์ของตนโกรธเข้าจริงแล้ว ถึงขั้นว่าปราณปีศาจยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยากสังเกตเห็น ทั้งมีไอสังหารแผ่ออกมาด้วย
แต่เมื่อเขากำลังเตรียมสื่อจิตบอกเจ้าภูเขาลู่ ทางเรือนหลักของอารามมีเสียงท่องธรรมซึ่งไม่ถือว่ากังวานดังมา
“สาธุพระวิทยาราช โยมลู่ จ้าวหลงอยู่ที่นี่!”
ประตูทางเข้าเรือนหลักของอารามเปิดออกจากด้านใน เผยให้เห็นรูปปั้นวิทยาราชในท่านั่งซึ่งสูงราวหนึ่งจั้งองค์หนึ่ง ทั้งมีภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่งยืนอย่างสำรวม เป็นจ้าวหลงเมื่ออดีต เจวี๋ยหมิงในปัจจุบันนั่นเอง
ตอนนี้เจวี๋ยหมิงพนมมือหลับตา หนังตาซึ่งกำลังขยับบ่งบอกว่าความจริงในใจไม่ได้สงบ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ลืมตามองปีศาจมหึมาตรงลานอาราม
เจวี๋ยหมิงทะยานตัวสู่ฟากฟ้า โคจรวิชาตัวเบาไม่กี่คราก็มาถึงตรงลาน ห่างจากกรงเล็บของเจ้าภูเขาลู่เพียงยี่สิบจั้ง ระยะห่างนี้สำหรับเจ้าภูเขาลู่ถือว่าใกล้พอ ใกล้ถึงขั้นใช้อุ้งมือตะปบภิกษุเจวี๋ยหมิงจนตายได้
“เจวี๋ยหมิง ทำไมเจ้าถึงออกมา เหตุใดเจ้าต้องออกมาด้วย หรือเจ้าไม่เชื่อไต้ซือฮุ่ยถง”
เห็นชัดว่าภิกษุชราที่เป็นผู้นำรูปนั้นตื่นเต้นมาก กล่าวกับภิกษุชราอีกสองรูป ห้อตะบึงไปอยู่ข้างกายภิกษุเจวี๋ยหมิง ขวางอยู่ตรงหน้าเขา มองปีศาจมหึมาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมอย่างประหม่ายิ่ง
ใบหน้ามนุษย์บนร่างปีศาจของเจ้าภูเขาลู่แสดงออกว่าชอบกล จ้องมองภิกษุเจวี๋ยหมิง จากการมองเห็นของเขาตอนนี้ บนตัวภิกษุใหญ่รูปนี้ปราณเพลิงเปี่ยมท้น อาการใจเต้นและการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายแสดงออกว่าเขาประหม่ามาก ปราณพลังธรรมอ่อนกำลัง แต่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่มีปราณพิฆาตหรือปราณแค้น
ทว่าที่นี่คืออารามวิทยาราช สำนักพุทธบำเพ็ญอย่างแท้จริง พลังธรรมย่อมชำนาญการตัดปราณแค้นกับปราณพิฆาต ไม่อาจบอกว่าจ้าวหลงไร้มลทินจริง
แต่เจ้าภูเขาลู่ไม่กังวลเรื่องนี้เช่นกัน ขอแค่จับตัวจ้าวหลง พาเขากลับบ้านหรือไปสถานที่อื่นสักรอบย่อมตรวจสอบได้
เวลานี้ภิกษุเจวี๋ยหมิงเอ่ยปากอีกครั้ง
“ฮุ่ยถงไต้ซือกล่าวว่าหากพบพิบัติเคราะห์ ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ห้ามปรากฏตัวเด็ดขาด ถ้าทนได้จะสลายเคราะห์ได้ หึๆๆ…”
เจวี๋ยหมิงฝืนยิ้มเล็กน้อย มองภิกษุชราข้างกาย
“เจ้าอาวาส ข้าไม่ใช่ภิกษุชั้นสูงเหมือนท่าน ทั้งมองไม่ออกและคิดไม่ตก นึกไม่ออกว่าเหตุการณ์นี้จะคลี่คลายอย่างไร ต่อให้ข้าหลบอยู่ใต้รูปปั้นวิทยาราชแล้วไม่เป็นไร ใครจะมาช่วยพวกท่านเล่า ข้าทั้งลังเลและดิ้นรน สุดท้ายจึงออกมา”
จี้หยวนฟังคำพูดนี้แล้วรู้สึกแปลกอยู่บ้าง ครุ่นคิดใคร่ครวญ หรือว่าเป็นเขาคนแซ่จี้ ไต้ซือฮุ่ยถงใช่คนที่เขารู้จักหรือไม่
เจวี๋ยหมิงที่อยู่เบื้องล่างเงยหน้ามองเจ้าภูเขาลู่ เดิมคิดว่าเป็นปีศาจเสือมาเยือน คิดไม่ถึงว่ารูปร่างกลับเหนือคาดเช่นนี้ เคร่งขรึมน่ากลัวยิ่งกว่าเสือร้ายในความทรงจำมาก
“เจ้าภูเขาลู่ จ้าวหลงอยู่ที่นี่ อาตมาทำความผิดซึ่งไม่อาจอภัยจริงๆ ตอนนั้นอาตมาถูกคนถ่อยหลอกใช้ สังหารเหล่าวีรชนกลุ่มหนึ่ง… หลังจากทราบความจริงอาตมานึกเสียใจและซื้อสุรามาดับทุกข์ แต่กลับเมาหลุดปากจนถูกคนอื่นได้ยิน ตอนนั้นในใจอาตมาปั่นป่วนจนยิ่งทำเรื่องต่ำช้า กลัวเรื่องแพร่งพรายชื่อเสียงย่อยยับ ตามหาพวกเขาจนเจอและเค้นถาม ทั้งกำจัดพวกเขาทุกคน…”
เจ้าภูเขาลู่ฟังพลางหรี่ตา แววตาเผยไอสังหารเล็กน้อย
“ภายหลังอาตมาสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายตลอด กลางวันสับสนงงงวยกลางคืนนอนไม่หลับ ได้แต่ท่องคัมภีร์หน้ารูปปั้นวิทยาราชจึงหลับลง!”
จี้หยวนมองจ้าวหลงจากบนชั้นเมฆ เกรงว่าตอนนั้นปราณแค้นคงรัดตัว ดังนั้นจึงได้แต่นอนหลับหน้ารูปปั้นวิทยาราช ส่วนอารามเทพผีคงคร้านจะสนใจจ้าวหลงเมื่อตอนนั้น
“กลางดึกคืนหนึ่ง อาตมาเมาค้างตรงรูปปั้นวิทยาราช พูดกับตัวเองว่าถ้ามีอายุขัยไร้ขอบเขต ขอยอมใช้กรรมไร้สิ้นสุด เดิมคิดจบชีวิตของตน แต่กลับถูกไต้ซือรูปหนึ่งช่วยไว้…”
เจวี๋ยหมิงเล่าเรื่องอดีตอันเจ็บปวดจบ คล้ายในใจผ่อนคลายลงบ้าง จากนั้นค่อยมองปีศาจยักษ์คล้ายเสือแต่ไม่ใช่เสือ เขาพลันเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“เจ้าภูเขาลู่ ตอนนั้นด้วยเคยกินคน ท่านสลัดความรู้สึกผิดเช่นนี้อย่างไร”
เจ้าภูเขาลู่มองท่าทางจ้าวหลง เสียงไม่เจือความท้าทาย คล้ายต้องการความกระจ่างจริงๆ เขาข่มโทสะและไอสังหาร ครุ่นคิดจริงจังก่อนกล่าวตอบ
“ตอนแรกยามตื่นรู้มีปัญญา มนุษย์ล่าข้าเพราะขน ข้าจึงพรากเนื้อหนังมนุษย์ ต่อมากินคนมีผีชาง ผีชางบอกข้าว่ายอมพาคนเป็นมาสังเวย ห้าคนหรือสิบคนก็ได้ หวังแค่แลกเปลี่ยนกับการหลุดพ้น ข้าจึงอนุญาต ภายหลังพบนายท่านจึงรู้ว่า ‘สรรพชีวิตมีความรู้สึก’ พบทางสว่างฉับพลัน เวลาล่วงเลยจวบจนวันนี้ ข้าคนแซ่ลู่แบ่งแยกถูกผิดเป็นแล้ว แต่ความรู้สึกผิดแสนเจ็บปวดอย่างเจ้าว่า ข้าคนแซ่ลู่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนจริงๆ”
เจ้าภูเขาลู่พูดตามความจริง แต่เห็นชัดว่าไม่ใช่คำตอบที่จ้าวหลงต้องการ เขาถอนหายใจ เช็ดเหงื่อบนหน้าเล็กน้อย หัวใจเต้นรัวกลับสงบลง
“หลายปีนี้นอกจากฝึกยุทธ์กับท่องคัมภีร์แล้ว ความรู้สึกเลวร้ายพัวพันจิตใจไม่เคยซ่านสลาย ความขมขื่นท่วมท้นรวมตัวเป็นมหาสมุทร ไร้ขอบเขตเอื้อมไม่ถึงผืนดิน ตอนนี้กลับหลุดพ้นแล้ว จะฆ่าจะแกงแล้วแต่เจ้าภูเขาจัดการ”
………………………………..