เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - บทส่งท้าย 39 เป่าที่เก่งที่สุด ฝ่าด่านเคราะห์ในยุคสมัยใหม่
บทส่งท้าย 39 เป่าที่เก่งที่สุด ฝ่าด่านเคราะห์ในยุคสมัยใหม่
หน้าผากของเด็กน้อยปรากฏลำแสงสีขาวลึกลับเหมือนภาพลวงตา มันมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ของเขาพระสุเมรุและมนต์เสน่ห์อันเก่าแก่ของขุนเขาและท้องทะเล ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“นี่คือปรากฎการณ์การผสานของโลกสองใบ?” อวิ๋นจื่อซีคาดเดา
แม้คนที่เหลือไม่สามารถให้คำตอบที่แน่นอนได้ แต่ก็คิดว่าคงจะเป็นเช่นนั้น
ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดเช่นนี้ ลำแสงที่หลั่งไหลออกมาจากหน้าผากของเด็กน้อยกำลังค่อยๆ รวมตัวและก่อตัวเป็นเด็กน้อยตัวน้อยๆ
ทว่า ‘เจ้าตัวน้อย’ เช่นนี้กลับทำให้หรงอี้สงสัย เพราะว่าเขารับรู้ได้อย่างเฉียบแหลมว่า เจ้าตัวน้อยที่เด็กน้อยควบแน่นออกมานั้นไม่เหมือนของตนเอง
หรงหวงกระจ่างในทันที “ตามที่คิดไว้”
“ท่านปู่หวง?” หรงอี้ถาม
หรงหวงกลับไม่ได้ตอบ เพียงแค่รวบรวมแสงที่หลั่งไหลออกมาจากหน้าผากของเด็กน้อยผสานกลับเข้าไปในหน้าผากของเขา จากนั้นก็ใช้พลังอันหนักหน่วงควบคุมมันไว้
การกระทำเช่นนี้ทำให้หรงอี้ขมวดคิ้วทันที ริมฝีปากอันเย้ายวนของเขาเม้นแน่น เขาเข้าใจปัญหาแล้ว
แต่เด็กน้อยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง เขายังคงมองท่านปู่ปวดหวงของเขาตาปริบ “เนะ?”
หรงหวงเก็บมือกลับมา รวบตัวเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมอก ในขณะเดียวกันก็มองไปที่หลานสะใภ้ที่มองเขาตาปริบ ถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “เสี่ยวเป่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอยู่ดี ข่าวดีคือแค่วิญญาณตามไป ร่างจริงยังอยู่ที่นี่”
ทุกคนหยุดหายใจ หัวใจถูกบีบเพราะคำพูดนี้จนไม่สามารถหายใจได้
เยี่ยนอวี๋วูบ สีหน้าซีดเผือด เกือบจะยืนไม่ไหว หรงอี้ที่ยืนอยู่ข้างกายนางโอบเอวอันบอบบางของนางไว้แน่น นางจึงไม่ล้มลงกองกับพื้น
ส่วนอวิ๋นจื่อซีเนื่องจากนางผ่านอะไรมามากแล้ว บัดนี้ยังพอรับไหว ถามเพียงว่า “ตอนนี้ต้องทำอะไร”
“ไม่ต้องทำอะไร เคราะห์กรรมครั้งนี้มีประโยชน์กับเสี่ยวเป่า วิญญาณของเขาแค่พึ่งพาพวกเขาไปโดยไม่รู้ตัว ตราบใดที่พวกเขาผ่านด่านเคราะห์ได้สำเร็จ เสี่ยวเป่าก็นั่งรอผลสำเร็จได้สบายๆ โดยพื้นฐานแล้วไม่ขาดทุนแน่นอน” หรงหวงอธิบายอย่างมั่นใจ
อวิ๋นจื่อซีถอนหายใจ “แล้วระหว่างที่พวกเขาผ่านด่านเคราะห์ จะมีผลกระทบอะไรกับเสี่ยวเป่าหรือไม่ แล้วก็หากพวกเขาผ่านด่านเคราะห์ได้ไม่ค่อยราบรื่น เสี่ยวเป่าจะ… เป็นอะไรหรือไม่”
คำถามสองข้อนี้ต่างหากที่สำคัญ
ดังนั้นทันทีที่อวิ๋นจื่อซีถาม ทุกคนก็มองไปที่หรงหวง รอคำตอบจากปากของเขา
เดี๋ยวนี้หรงหวงรู้แล้วว่าเขาไม่สามารถปิดบังภรรยาได้ ถึงอย่างไรที่โดนทำโทษคุกเข่ากับเปลือกทุเรียนก็ต้องไม่เสียเปล่า เขาพูดขึ้นว่า “ตราบใดที่พวกเขาไม่ตาย ก็จะไม่มีผลกระทบต่อเสี่ยวเป่า หากล้มเหลว แม้จะล้มเหลวเพียงหนึ่งคน เสี่ยวเป่าจะสูญเสียวิญญาณไปตลอดชีวิต กลายเป็นคนไร้สติปัญญา”
เยี่ยนอวี๋เข่าอ่อน นางยืนไม่ไหวแล้ว ใบหน้ามีน้ำตา
หรงอี้โอบนางเข้ามาในอ้อมอก ปลอบใจว่า “ต้องสำเร็จแน่นอน อย่ากังวลเลย”
แม้จะพูดเช่นนี้ เยี่ยนอวี๋จะไม่กังวลได้อย่างไร นางถึงกับคิดถึงตอนที่เด็กน้อยเพิ่งคลอดออกมา สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนขวัญหาย “สามี สามี…”
“ข้าอยู่นี่” หรงอี้ที่กอดภรรยาไว้แน่น ลูบหลังของนางเบาๆ ไม่หยุด “ไม่เป็นอะไรหรอก ข้ารับรอง”
“ตอนที่เพิ่งคลอดเสี่ยวเป่าออกมา ก็ ก็…” เยี่ยนอวี๋พูดต่อไปไม่ไหว รู้สึกเพียงหัวใจดวงหนึ่งถูกบีบแน่นจนเหมือนจะแตก
หรงอี้รู้ว่าตอนที่เด็กน้อยเพิ่งเกิดเป็นอย่างไร เขาจึงกอดภรรยาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม “ข้าจะไม่ทำให้เสี่ยวเป่ากลับไปเป็นเช่นนั้นอีก”
นอกจากกินและเคลื่อนไหวแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นอีกเลย ยิ้มไม่เป็น ไม่มีสีหน้าท่าทาง กระทั่งกะพริบตาก็ไม่เป็น…
เด็กน้อยเช่นนี้ เยี่ยนอวี๋แค่คิดก็รู้สึกรับไม่ได้แล้ว แม้ในตอนแรก นางคิดว่าเด็กน้อยที่เป็นแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดี ทั้งยังเป็นเด็กน้อยที่งดงามที่สุดที่เยี่ยนอวี๋ให้กำเนิดด้วย แต่ว่า… หลังจากที่รู้ว่าเด็กน้อยยิ้มเป็น กะพริบดวงตากลมโตเรียก ‘แม่’ และยังร่าเริงสดใสแล้ว เยี่ยนอวี๋ก็พบว่านางรับเด็กน้อย ‘โง่เขลา’ เช่นนั้นไม่ได้อีกแล้ว
“ไม่แน่นอน” หรงอี้ที่ลูบคอและหลังของนางไม่หยุดคอยปลอบประโลมภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกไม่หยุดอย่างไม่รู้สึกรำคาญและยังอ่อนโยนมาก
เยี่ยนอวี๋ถูกปลอบประโลมเช่นนี้พักหนึ่งกว่าจะตั้งสติได้ แต่กลับยังคงพิงสามีนางอย่างแขนขาอ่อนแรง นางรู้สึกผิดมากขึ้นทุกที จู่ๆ ก็รู้สึกวิตก
อวิ๋นจื่อซีและเยี่ยเชียนหลีกลับเข้าใจความรู้สึกของนางดี บัดนี้เห็นนางเหมือนกำลังโทษตนเองจึงช่วยปลอบประโลมว่า “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อย่ารู้สึกผิดเลย ไม่ว่าผู้ใด หากลูกเป็นอะไรไปล้วนวิตกกังวลทั้งนั้น”
“นั่นน่ะสิ เมื่อก่อนข้าวิตกกว่าเจ้ามาก”
“ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน อย่ากังวลเลย เราอยู่กันครบทุกคน จะปล่อยให้เสี่ยวเป่าเป็นอะไรได้อย่างไร”
“นั่นน่ะสิ” หนี่ว์ตี้และเหวินเหรินซู่ซินที่พากันปลอบเข้าใจความรู้สึกของเยี่ยนอวี๋ในบัดนี้เป็นอย่างดี
หรงหวงเองก็พูดขึ้นว่า “อวี๋เอ๋อร์วางใจเถอะ เสี่ยวเป่าเรียกข้าปู่ทวดหวง ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เขาเป็นอะไร อีกอย่างเคราะห์กรรมของเจ้าสามคนนั่นร้ายแรงน้อยกว่ามั่วมั่วและอี้เอ๋อร์มาก”
เยี่ยนอวี๋ได้ยินดังนั้นจึงวางใจลงเล็กน้อย กลับรู้ว่าถึงอย่างไรการผ่านด่านเคราะห์ย่อมมีความเสี่ยง ไม่สามารถวางใจลงอย่างสิ้นเชิงได้จึงได้แต่อุ้มเด็กน้อยที่ยังคงมองทุกคนอย่างงงงันกลับมาในอ้อมอกของตนเอง ใช้ร่างกายน้อยๆ อันอบอุ่นของเด็กน้อยเติมเต็มหัวใจที่ว่างเปล่าของตนเอง
ไม่ว่าอย่างไร… อย่างน้อยก็ดีกว่าฉากที่นางกลัวว่าจะเกิดขึ้นที่สุดมาก อย่างน้อยเด็กน้อยไม่ได้จากนางไปง่ายๆ ‘ตัว’ ของเขายังอยู่ที่นี่
เมื่อคิดได้ดังนี้ เยี่ยนอวี๋กอดเด็กน้อยไว้แน่นกว่าเดิมและยังจูบผมอ่อนของเด็กน้อยไม่หยุด
แม้เด็กน้อยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็รับรู้ถึงความหวาดกลัวของท่านแม่ และความเอ็นดูของท่านแม่ที่มีต่อเขา เขาจึงกอดท่านแม่ของเขากลับแน่นและยังปลอบอย่างอ่อนโยนว่า “แม่ ไม่กลัว เป่าดี ไม่เป็นอะไรขอรับ…”
เยี่ยนอวี๋เกือบจะน้ำตาไหลเพราะคำปลอบโยนของเด็กน้อยผู้น่ารัก น้ำเสียงของนางจึงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “อื้ม แม่ไม่กลัว เป่าก็ไม่กลัวนะ”
“ไม่กลัว” เด็กน้อยตอบเสียงดัง ราวกับว่าเสียงยิ่งดังก็ยิ่งหมายถึงตนเองไม่กลัว
หรงหวงในครานี้เขาพาหรงอี้ออกไปคุย “เสี่ยวเป่ามีความเสี่ยงน้อย แต่เจ้ายังคงต้องคอยจับตาดูเขาให้ดี ตั้งใจบำเพ็ญพลังจิตใจด้วย”
“ท่านปู่หวงควบคุมการเกี่ยวโยงของเขาและท่านอาทั้งสามไว้แล้วใช่หรือไม่” หรงหวงย้อนถามโนเวลพีดีเอฟ
หรงหวงเห็นเขารู้แล้วจึงไม่ได้ปิดบัง “ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าช่วยพวกเขาลดความเสี่ยงเคราะห์กรรมลงแล้ว และยังนำพาโอกาสที่ดีที่สุดให้พวกเขา หลังจากนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเขา เสี่ยวเป่าไม่จำเป็นต้อง ‘จัดการ’ อีก”
“…ขอรับ” หรงอี้เพิ่งรู้ว่าที่แท้ลูกของเขามีความสามารถเก่งกาจเช่นนี้ สามารถช่วยท่านอาทั้งสามนั่นของเขาลดความเสี่ยงเคราะห์กรรมและยังนำพาโอกาสที่ดีที่สุดมาให้พวกเขา เรื่องดีเช่นนี้ เหตุใดเมื่อก่อนเขาไม่เคยเจอบ้างเลยนะ
หรงหวงเหลือบมองเขา รู้ว่าหลานคนนี้กำลังคิดอะไรจึงตบศีรษะเขาทีหนึ่ง “เจ้าน่ะเป็นพ่อคนแล้ว ยังคิดจะให้ลูกช่วยเจ้า ศักดิ์ศรีน่ะมีบ้างหรือไม่”
หรงอี้ “…” แค่อยากให้ตอนผ่านด่านเคราะห์ไม่ลำบากเช่นนี้ ได้อยู่กับภรรยาเร็วกว่านี้ กลายเป็นถูกมองว่าไม่มีศักดิ์ศรีเสียเช่นนั้น หรงอี้รู้สึกไม่ยอม
ทว่าไม่ยอมก็ส่วนของไม่ยอม หรงอี้พูดอะไรไม่ได้ ได้แต่เปลี่ยนเรื่องคุย ครั้นกำลังจะถามบางอย่าง ท่านพ่อจอมปลอมของเขาจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “จอมขี้เกียจและหนุ่มรูปงามนั่นยังดี แต่เหมือนกับว่าผีผีจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก”
“ทำไมหรือ” อวิ๋นจื่อซีที่หูไวได้ยินก็ถามขึ้นทันที
หรงมั่วที่สัมผัสน้องทั้งสามคนอย่างเป็นกังวล เขารับรู้ได้ว่าหรงหลินและหรงซีแม้ต่างก็ประสบกับความยากลำบากในระยะที่ไม่มีที่สิ้นสุดและมีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย แต่เทียบกับหรงเจ๋อแล้ว กลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน
“เหมือนกับว่าผีผีจะเข้าไปต่างมิติอันมหัศจรรย์ เป็นมิติที่ต่างจากเราสิ้นเชิง” หรงมั่วที่ใช้พลังวิเศษอันยิ่งใหญ่ ‘เห็น’ ภาพบางอย่าง เขาถึงกับไม่รู้ว่าจะบรรยายสิ่งที่ตนเห็นอย่างไร
หรงหวงหนังตากระตุก เขาตั้งสติ ‘ดู’ สภาพปัจจุบันของบุตรชาย จากนั้นเขาก็ต้องขมวดคิ้วเรียวยาวของตนดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
หรงอี้เองก็รู้สึกถึงความ ‘ผิดปกติ’ ทั้งสามขมวดคิ้วแบบเดียวกัน ทำเอาทุกคนที่วางใจลงเล็กน้อยต้องกังวลอีกครั้ง
“ทำไมหรือ” เยี่ยเชียนหลีจับชายเสื้อของฝ่าบาทนางด้วยสีหน้าขาวโพลน
หรงมั่วสังเกตได้ตั้งแต่ตอนแรก บัดนี้เขานำภาพที่ตนเองเห็นผสานเข้าไปในอนุสติของภรรยา ทำให้นาง ‘เห็น’ เช่นกัน
จากนั้น… เยี่ยเชียนหลีที่เห็นดินแดนต่างมิติที่ไม่ปกติก็เบิกตากว้างทันที ทำให้หรงมั่วคิดถึงเสือดาวที่ตกใจอีกครั้ง
ทว่าหรงมั่วในยามนี้คิดว่าเสือดาวตัวเมียตัวนี้คงตกใจเพราะเห็นภาพที่ผิดปกติอย่างมาก หารู้ไม่ว่า แม้เยี่ยเชียนหลีจะตกใจจริงๆ แต่กลับตกใจเพราะประหลาดใจ
ดังนั้น หลังจากที่เยี่ยเชียนหลีตั้งสติได้ นางก็หันไปมองอวิ๋นจื่อซีกระทั่งเรียกออกไปว่า “จื่อซี”
อันที่จริงอวิ๋นจื่อซีเองก็กำลังตกใจ ที่ต่างกันคือ นางเห็นภาพช้ากว่าเยี่ยเชียนหลีเล็กน้อย ดังนั้นครานี้นางยังเรียกสติกลับมาไม่ได้
จนเมื่อเยี่ยเชียนหลีเรียกนาง นางจึงตั้งสติได้และพึมพำคนเดียวว่า “ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ ผีผีไปยุคสมัยใหม่?”
เยี่ยเชียนหลีที่เดิมทีคิดว่าตนเองตาฝาดไปได้ยินดังนั้นก็กอดอวิ๋นจื่อซีแน่น พูดอย่างตื้นตันว่า “ใช่แล้ว ไม่ผิดแน่ๆ”
“จริงๆ หรือ…” อวิ๋นจื่อซีกอดสะใภ้อย่างเหม่อลอย จู่ๆ ไม่รู้ว่าต้องแสดงปฏิกิริยาอย่างไร นางไม่มีสายใยอะไรที่นั่นแล้ว ครอบครัวก็ไม่มี
เยี่ยเชียนหลีกลับรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก แม้นางจะเป็นเด็กกำพร้า แต่นางยังมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นางคิดถึงใครคนหนึ่งทันที “เชียนฟางล่ะ”
หรงมั่วระวังตัวทันที “เขาไม่ได้มา ทำไมหรือ”
เยี่ยเชียนหลีที่ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเขาพูดเพียงว่า “ฝ่าบาท รีบเรียกเขามาเถิด ข้ามีเรื่องจะบอกเขา” ดีจังเลย ดีจังเลย บางทีพวกเขายังกลับไปได้
นางที่ดีอกดีใจเช่นนี้ ย่อมทำให้หรงมั่วยิ่งระวังตัว “เกิดอะไรขึ้น”
“น้องรองไปบ้านเกิดของข้าและท่านแม่ ที่ที่เราจากมา สิ่งที่ท่านเห็นเมื่อครู่นี้ก็คือที่ที่ข้าและท่านแม่เคยอาศัยและก็เป็นที่ที่เชียนฟางเคยอยู่ เขาต้องอยากกลับไปมากกว่าพวกข้า เขายังมีครอบครัวและว่าที่ภรรยาอยู่ที่นั่น”
“ว่าที่ภรรยา?” หรงมั่วผ่อนคลายลงทันทีและยังอยากส่งฮวาเชียนฟางกลับไปมากจริงๆ ในขณะเดียวกันก็คิดว่าเจ้าหมอนี่มีว่าที่ภรรยาแล้วแท้ๆ ยังแอบมองเสือดาวน้อยของตนเอง ขยะจริงๆ
“ใช่” เยี่ยเชียนหลีไม่รู้ว่าฝ่าบาทของนางกำลังว่าร้ายฮวาเชียนฟาง นางยังคงพูดต่อไปว่า “แต่พวกเขาถอนหมั้นแล้ว แต่พวกเขายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก”
“…” อารมณ์ของหรงมั่วขึ้นๆ ลงๆ
เยี่ยเชียนหลียังคงพูดต่อไปอย่างดีใจว่า “ข้าเองก็จะได้เจอเพื่อนของข้าไง โอ้ ไม่สิ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าข้าไปได้หรือไม่”
“เจ้ายังมีเพื่อนหรือ” หรงมั่วย้อนถาม
“มากมาย”
“ชายหรือหญิง”
“เอ๋?” เยี่ยเชียนหลีที่ในที่สุดก็รู้สึกถึงความผิดปกติมองฝ่าบาทของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าชัดเจนกว่าเดิม “ท่านหึงหรือ”
หรงมั่วไม่ได้ปฏิเสธ “เจ้ารู้ก็ดี”
เยี่ยเชียนหลียิ้มกอดเขา “ท่านวางใจเถอะ ไม่ว่าข้าจะมีเพื่อนผู้ชายกี่คน นั่นก็แค่เพื่อนเท่านั้น จะเทียบกับท่านได้อย่างไรกัน ท่านหน้าตาดีเช่นนี้ ข้าไม่หลงรักพวกเขาหรอกเพคะ”
“…” หรงมั่วที่สีหน้าเย็นชา แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่ง อันที่จริงเขาแอบดีใจในใจ แต่กลับพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่า “ตื้นเขิน”
“แน่นอน หากข้าไม่ตื้นเขินแล้วจะมีรักแรกพบท่านได้อย่างไรเล่า” เยี่ยเชียนหลียอมรับว่าตนเองเป็นคนตื้นเขิน เห็นคนหน้าดีก็อยากมีความสัมพันธ์ด้วย นี่มันนางชัดๆ
หรงมั่วที่ได้ผูกสัมพันธ์เพราะมีใบหน้างดงาม ครานี้เขาไม่พอใจจริงๆ “เจ้าหมายความว่า ข้านอกจากหน้าตาดีแล้ว ไม่มีอย่างอื่นดีเลยหรือ”
เยี่ยเชียนหลีไม่กลัวใบหน้าที่เย็นชาของเขาต่อไปแล้ว รู้ว่าเขาแค่ผยองตน ยังล้อเขาว่า “แน่นอน เทียบกับใบหน้าของท่านแล้ว อย่างอื่นก็แค่สิ่งเลื่อนลอย”
หรงมั่ว “…” อยากจะจัดการเสือดาวอาจหาญคนนี้จริงๆ…
ทว่าเยี่ยเชียนยังยังดึงดันหยอกล้อต่อไป นางเรียกมังกรทองตัวอ้วนมา “เจ้าอ้วน เจ้าช่วยข้าพาเชียนฟางมาได้หรือไม่”
ปี้ มังกรทองตัวอ้วนย่อมไม่มีความเห็นและยังทำท่าจะไปทันที
หลงตี้กลับคว้ามันไว้ “เจ้าไม่ควรกลับไปคนเดียว ข้าพาเจ้าไปเอง”
ปี้ มังกรทองตัวอ้วนไม่พอใจ มันบอกว่ามันไปเองได้
หลงตี้ไม่ได้สนใจการคัดค้านของมัน มันพามังกรทองตัวอ้วนจากไปแล้ว จะบ้าหรือ มันเป็นมังกรผู้สืบทอดที่มันฟูมฟักมากับมือ หากเป็นอะไรไป มันคงห่างจากวัยเกษียณไกลขึ้นอีกสิ
ทันทีที่มังกรทั้งสองตัวจากไป หรงมั่วก็มองเสือดาวตัวเมียตรงหน้าพลางแค่นเสียง ‘ฮึ’ ในลำคอ “ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย เจ้าก็คิดว่าต้องกลับไปได้แน่นอนแล้วหรือ”
“แน่นอน ฝ่าบาทปรีชาเช่นนี้ ต้องพาข้ากลับไปได้แน่นอนแล้วก็ท่านแม่ด้วย” เยี่ยเชียนหลียังคงยินดีปรีดามาก ไม่รู้เลยว่ายิ่งตอนนี้นางมีความสุขแค่ไหน กลับไปยิ่งต้องจ่ายหนักบนเตียงเท่านั้น
แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องภายหลัง ตอนนี้หรงหวงกำลังถามภรรยาของตนเองเงียบๆ “ซีเอ๋อร์ก็มีเพื่อน… ผู้ชายอยู่ที่นั่นมากมายเหมือนกันหรือ”
“…ข้าไม่มีหรอก” อวิ๋นจื่อซีตอบเบาๆ รู้สึกสะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของนางมายาวนาน ไม่รู้เลยว่าจอมหึงหวงของนางก็กำลังฉุนเฉียว
หรงหวงเห็นนางอารมณ์ไม่ดีนักจึงจับมือของนางไว้ ไม่ถามอะไรอีก “หากไม่อยากกลับก็ไม่ต้องกลับ ให้มั่วมั่วพาหลีเอ๋อร์กลับไปก็พอ”
อวิ๋นจื่อซีส่ายศีรษะ “ไม่ ข้าอยากกลับไปดู” จุดธูปไหว้พ่อแม่ที่นั่นสักดอกก็ดี…
เพียงแต่ไม่รู้ว่ากลับไปครานี้จะตรงกับเวลาที่นางจากมาในครานั้นหรือไม่