เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 773 นายน้อยเยี่ยน! (อวสาน 3)
ตอนที่ 773 นายน้อยเยี่ยน! (อวสาน 3)
ในขณะเดียวกัน ณ สำนักชางอู๋!
หยางชีซานที่ได้รับโทรจิตจากอีอิ่น เขาส่งโทรจิตให้ตำหนักสวรรค์เป็นครั้งที่สาม สุดท้ายก็สูญเปล่า
“พี่ใหญ่ ยังไม่ได้รับการตอบอีกหรือ” ผู้อาวุโสรองมองหยางชีซานอย่างเป็นกังวล อดถามไม่ได้ว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าตำหนักสวรรค์ก็เกิดเรื่องแล้ว”
หยางชีซานส่ายศีรษะ “คงไม่ถึงขั้นเกิดเรื่อง แต่วันนี้วันมงคลของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ เกรงว่าจอมโจรฉวยโอกาสนี้ลงมือทำบางอย่างกับค่ายกลรับสาร”
“แล้วจะทำอย่างไรดี” ผู้อาวุโสรองเป็นกังวลกว่าเดิม “หากจอมโจรมีแผนการไม่ดี สถานการณ์ของโยวตูมีแต่จะยิ่งย่ำแย่!”
“ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของสำนักทั้งหมดถูกเรียกไปแล้ว! ต้องแน่ใจว่าโยวตูจะไม่เป็นอะไร!” หยางชีซานได้แต่สั่งการเช่นนี้
ผู้อาวุโสรองกลับกล่าวว่า “ไปกันหมดแล้ว! นอกจากเจ้าสำนักจ่านเลี่ยงซาน คนอื่นๆ ก็นำคนไปหมดแล้ว”
“เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปเอง!” แม้หยางชีซานยังไม่เคยเจอสัตว์ประหลาดเหล่านั้น แต่เขามีอายุไม่น้อยแล้ว สามารถเห็นจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ว่าปัญหาของโยวตูในครานี้เกรงว่าจะรุนแรงกว่าครั้งที่แล้ว
ครั้งที่แล้วถือว่าเป็นภัยพิบัติที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ แต่ครั้งนี้… หยางชีซานไม่มั่นใจเลย
“ได้อย่างไรกัน! จะไปข้าก็ต้องเป็นคนไป ท่านต้องดูแลสำนักที่นี่!” ผู้อาวุโสรองไม่เห็นด้วยกับการจากไปของหยางชีซาน เพราะว่าฝ่ายหลังเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในยามนี้ของสำนัก และเป็นคนเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเข้าเขตต้องห้าม ดังนั้นเขาต้องอยู่ดูแลสำนักที่นี่
หยางชีซานกลับยังคงยืนยันที่จะไปโยวตูด้วยตนเอง ทว่าผู้ดูแลสำนักเข้ามารายงานว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรอง มีชายหนุ่มที่เรียกตนเองว่าโฮ่วอี้ และยังแบกธนูและลูกธนูขนาดใหญ่มาขอเข้าพบขอรับ”
“โฮ่วอี้หรือ” หยางชีซานขมวดคิ้วแน่น “รีบเชิญเข้ามา!”
ผู้ดูแลกำลังจะออกไปนำคนเข้ามา หยางชีซานกลับหายตัวไปข้างนอกก่อนแล้ว
ผู้อาวุโสรองที่ชะงักไปครู่หนึ่งรีบตามไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง… หยางชีซานที่ปรากฏตัวขึ้นข้างหน้าประตูสำนัก เขาก็เห็นโฮ่วอี้ผู้แบกธนูและกระบอกใส่ลูกธนูขนาดใหญ่ โฮ่วอี้ที่หลังจากเจอกุ่ยหมู่ในครานั้นก็มายังโลกมนุษย์และอาศัยในเมืองชางอู๋
โฮ่วอี้ที่เห็นหยางชีซานเช่นกัน เขาก็ประสานมือคารวะ “ท่านผู้อาวุโส”
“ท่านคือ… โฮ่วอี้?” หยางชีซานไม่ค่อยมั่นใจ เพราะว่าเขาไม่เคยเจอโฮ่วอี้ แต่ธนูที่ถูกแบกอยู่ข้างหลังฝ่ายหลังไม่ธรรมดาจริงๆ เขามองไม่ออกด้วยซ้ำว่าอยู่ในระดับใด
ส่วนตัวโฮ่วอี้เอง… ไม่มีตบะ!?
หยางชีซานจึงรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มคนนี้คือผู้ใด
แต่เขาก็ยอมรับว่า “ข้าเองขอรับ”
“จริงๆ หรือ!?” หยางชีซานเกือบจะเกาหน้าเหมือนเด็กน้อยแล้ว “แล้วท่าน…”
“ข้าเห็นว่าโยวตูส่งสารให้ชางอู๋ไปไม่น้อย พวกท่านยังส่งให้ตำหนักสวรรค์ด้วย แต่เหมือนกับว่าตำหนักสวรรค์จะไม่ตอบเลย ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ต้องการให้ข้าน้อยช่วยสิ่งใดหรือไม่ขอรับ” โฮ่วอี้กลับพูดอย่างตรงไปตรงมา
หยางซีซานย่อมไม่เล่าทั้งหมดให้ฟังอย่างโง่เขลา จะให้เชื่อง่ายๆ ว่าผู้ที่เรียกตนเองว่าโฮ่วอี้คนนี้คือโฮ่วอี้จริง ๆไม่ได้ แต่ว่า…
“ธนูของท่านยิงขึ้นตำหนักสวรรค์ได้หรือไม่” หยางชีซานมองคันธนูและลูกธนูของโฮ่วอี้
ทว่า… โฮ่วอี้พูดว่า “ธนูนี้ไม่ได้ขอรับ”
ความหวังที่เพิ่งมีมากขึ้นของหยางชีซานหายไปอีกครั้ง
แต่โฮ่วอี้หยิบกระบอกลูกธนูล้ำค่ากระบอกหนึ่งออกมา ในนั้นมีลูกธนูขนสีขาวเพียงลูกเดียว
วี้ด!
หงส์เพลิงในสำนักชางอู๋บินทะยานมาจากสำนักในครานี้ มันบินวนเหนือศีรษะของโฮ่วอี้ หยางชีซานมองลูกธนูลูกนั้น
หยางชีซานคารวะทันที “ท่านหงส์เทพ”
“เขาคือโฮ่วอี้จริงๆ” สายตาของหงส์เพลิงเปลี่ยนจากลูกธนูไปที่โฮ่วอี้ มันยืนยันตัวตนของโฮ่วอี้ “ธนูเทียนตี้และธนูสวรรค์โลหิตที่เขาแบกสามารถยิงสารขึ้นไปตำหนักสวรรค์ได้”
ผู้อาวุโสรองที่มาช้าไปเล็กน้อยได้ยินดังนั้นก็โล่งอก เขายื่นหนังสือที่รวบรวมไว้แล้วยื่นไปข้างหน้าโฮ่วอี้โนเวลพีดีเอฟ
โฮ่วอี้รับมาถามว่า “ขอเสียมารยาทถามเล็กน้อยว่าเกิดอะไรขึ้นได้หรือไม่”
หลายปีก่อนหน้านี้ เนื่องจากพระคุณของกุ่ยหมู่ เดิมทีเขามาชางอู๋เพื่อรอเวลายิงต้าซือมิ่งตาย
แต่หลายปีมานี้ ประการแรกเขาหาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้ ประการที่สองเขาไม่รู้สึกว่าผู้ที่ขึ้นตำแหน่งจวินโฮ่วคนนี้จะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อผู้คน เขาจึงอาศัยอยู่ในเมืองชางอู๋เรื่อยมา หากไม่ใช่เช่นนี้ เขาคงรับรู้ไม่ได้ว่าโยวตูส่งสารมาไม่หยุด ส่วนข่าวที่สำนักชางอู๋ส่งให้ตำหนักสวรรค์ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ เลย
ในฐานะที่เป็นทายาทวยเทพ แม้จะถูกขจัดความเป็นเทพไปหมดแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าโฮ่วอี้ยังคงมีประสาทสัมผัสและไหวพริบที่เฉียบแหลม
หยางชีซานจึงไม่ได้ปิดบังอีก “โยวตูส่งข่าวมาว่า บริเวณผนึกของโลกมนุษย์และแดนมืดปรากฎสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักมากมาย พลังกลืนกินและพลังการกัดกร่อนของสัตว์ประหลาดเหล่านี้แข็งแกร่งมาก ผนึกจะถูกทำลายแล้ว!”
“ข้าเข้าใจแล้ว” โฮ่วอี้จับหนังสือไว้ มัดมันไว้บนลูกธนูที่มีขนสีขาวอย่างแน่นหนาและเบามือ
“ขอบคุณ!” หยางชีซานโค้งตัวขอบคุณ
โฮ่วอี้ไม่ได้ตอบอะไรอีก เขามองไปที่ท้องฟ้า หงส์เพลิงเองก็มองไปที่ท้องฟ้า “ให้ข้าช่วยหรือไม่”
มันรู้ว่าโฮ่วอี้ในยามนี้ไม่ได้มีพลังความเป็นเทพแล้ว พลังของเขาย่อมมีจำกัด
แต่โฮ่วอี้ส่ายศีรษะบอกว่า “ในเมื่อเจ้าเชื่อว่าข้าสามารถส่งข่าวเข้าไปในตำนักสวรรค์ได้ ข้าย่อมไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
หงส์เพลิงอ้าปากจะพูดว่า มันไม่ได้สงสัยในความสามารถของเขา เพียงแต่ว่า…
ช่างเถอะ ไม่พูดแล้ว
หงส์เทพปิดปาก
โฮ่วอี้กลับหลับตาลง แต่เขาเพ่งจิตไปที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว!
ทว่าเขาก็พบในทันทีว่า จิตเหนือสำนึกของเขาถูกขัดขวาง ทำให้เขาไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งของตำหนักสวรรค์ได้!?
ทว่า… เมื่อโฮ่วอี้ลืมตาขึ้น ตำแหน่งที่เขามองก็ตรงกับตำแหน่งของตำหนักสวรรค์พอดี นี่คือที่ตั้งของตำหนักสวรรค์ที่เขาอนุมานได้จากความทรงจำของเขา
จากนั้น โฮ่วอี้ที่หยิบคันธนูออกมาก็ขึ้นสายลูกธนู!
หึ่ง!
คันธนูสีเลือดแผ่ซ่านความศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ออกมา!
ซู่!
ขนของลูกธนูที่แผ่ออกอย่างรวดเร็ว ทั่วตัวของมันควบแน่นร่างอสูรนิรนามออกมา! เหมือนนกหลวนเหนี่ยวและไก่ฟ้า
เพียงแค่ครู่เดียว… หยางชีซานก็รู้สึกว่ารอบกายของโฮ่วอี้เหมือนกับเคลือบทองไว้
หงส์เพลิงกลับรู้ว่านี่เป็นเพราะสายเลือดความเป็นเทพในร่างกายของโฮ่วอี้ถูกกระตุ้นถึงจุดสูงสุด
ในขณะเดียวกัน…
ฟิ้ว!
ลูกธนูที่พุ่งไปกลางอากาศเหมือนกับอสูรตัวยักษ์ มันพุ่งเข้าไปบนท้องฟ้าของชางอู๋
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง…
หึ่ง!
ประตูสวรรค์เปิดแล้ว
กองกำลังมารที่นำโดยปีศาจแฝงฝันสถิตลงมาพอดี
“เฮ้ย!”
ปฏิกิริยาแรกของหยางชีซานคือพ่นคำหยาบ!
ผู้อาวุโสรองตะลึงงันยิ่งกว่า “แดนสวรรค์มาช่วยเหลือเร็วเช่นนี้เลยหรือ”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“ผู้ที่มาคือเผ่ามาร” สีหน้าโฮ่วอี้ขาวซีด ยังคงไม่ได้เก็บคันธนูในมือ กระทั่งยังเตรียมพร้อมจะใส่ลูกธนูยิงอีกครั้ง
ทว่าหงส์เพลิงเข้ามาห้าม “อย่ายิง เผ่ามารในตอนนี้อพยพไปทะเลสาบสือซ่าไห่หมดแล้ว สัตว์ประหลาดที่ปรากฎในแดนมืดตอนนี้คงเกี่ยวข้องกับเผ่ามาร ข้าจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อพูดจบ หงส์เพลิงก็บินไปทางปีศาจแฝงฝันทันที
ในขณะเดียวกัน…
ฟิ้ว!
ลูกธนูโฮ่วอี้ที่ทะลุท้องฟ้าพุ่งผ่านสวรรค์แต่ละชั้น จนถึงสวรรค์ชั้นเก้าแล้ว ทำเอาเทียนอ๋อง มหาเทพและท่านเซียนแต่ละชั้นสวรรค์ตื่นตระหนก
“นี่มัน…”
“ธนูเทียนตี้!?”
“ท่านเทพโฮ่วอี้ลงมือกับตำหนักสวรรค์อีกแล้วหรือ!”
เทพอาวุโสมากมายคิดถึงเรื่องที่โฮ่วอี้เคยสังหารบุตรเทียนตี้เพราะความเข้าใจผิด บัดนี้ธนูเทียนตี้ยิงไปตำหนักสวรรค์อีกครั้ง ทำให้ทวยเทพมากมายคิดไปต่างๆ นานา
แต่เทียนอ๋องแต่ละชั้นสวรรค์กลับคิดได้ด้วยสัญชาติญาณว่าค่ายกลส่งสารขัดข้องอีกแล้ว
ในขณะเดียวกัน
ชิ้ว!
ลูกธนูของโฮ่วอี้ยิงไปที่ตำหนักสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
แต่เทียนตี้ในครานี้กำลังร่ำสุราที่จักรวาลดั้งเดิม แม้ต้าซือมิ่งไม่ได้ออกมาต้อนรับก็ไม่ได้มีผลต่อเหล่าทวยเทพ คน และอสูรรื่นเริง
ทว่าเทียนตี้ในครานี้ยังเหน็บแนมว่า “อาจารย์พ่อก็จริงๆ เลย ไม่ออกมาดื่มสักจอก! คงกลัวว่าจะเมาเหมือนครั้งที่แล้ว!”
“ตี้จวิ้น ท่านกล้าพูดต่อหน้าจวินโฮ่วหรือไม่!” อินหลิวเฟิงพูดท้าทาย
“แน่นอน!” เทียนตี้บอกว่าไม่มีอะไรที่ตนไม่กล้า!
ซีหวังหมู่ลุกขึ้นดึงเขา “เช่นนั้นพี่สาวจะพาเจ้าไปอาละวาดเรือนหอ!”
“อย่า!” เทียนตี้รีบคว้าโต๊ะไว้ “ซีซีเจ้ารีบนั่งลง! อย่าดึงไปดึงมา หญิงชายไม่สมควร”
จิ่วอิงจึงรับบทแทน “เช่นนั้นปู่จิ่วดึงเจ้าเอง!”
“อย่า! ข้าพูดผิดเอง! ลงโทษสามจอก!” เทียนตี้รีบรินสุราให้ตนเอง
“ฮ่าๆๆ..” ทวยเทพมากมายหัวเราะ
เทพอัสนีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “น่าเสียดายที่เสี่ยวเฮ่าเฮ่ามาไม่ได้”
“ไม่เป็นไร! เราเอาสุราไปหาเขา!” ซีหวังหมู่เสนอ!
“ความคิดนี้ดี!” อสูรหน้ามนุษย์ตอบเป็นคนแรก มันไปขนสุราแล้ว
จากนั้นทวยเทพทั้งกลุ่มก็ออกจากจักรวาลดั้งเดิมและกลายเป็นกลีบเมฆหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาทททท…”
เทพรับใช้ที่ถือธนูมาที่นี่พอดีเรียกไม่ทัน เขาร้อนรนมาก!
ทว่าอินหลิวเฟิงที่ยังไม่ไปเพราะไปหยิบลูกอมมงคลได้ยิน เขาจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เทพรับใช้มอบธนูให้ รายงานว่า “เมื่อครู่นี้ธนูยิงเข้ามาในตำหนักสวรรค์ หนังสือบนนั้นมีตราประทับของสำนักชางอู๋ในแดนมนุษย์ ตามที่ฝ่าบาทเคยบัญชาไว้ ข่าวของสำนักชางอู๋ต้องส่งมาถึงที่พระองค์โดยตรง”
อินหลิวเฟิงที่ได้ยินว่าเป็นข่าวของสำนักชางอู๋ก็เปิดหนังสือทันที เสียงของหยางชีซานดังขึ้นว่า “เทียนตี้ โยวตูประสบปัญหาใหญ่! มี… ได้โปรดช่วยเหลือ!”
สีหน้าของอินหลิวเฟิงที่ได้ยินว่าประสบปัญหาใหญ่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อได้ยินว่ามีสัตว์ประหลาดคล้ายร่มปรากฏก็ย่ำแย่กว่าเดิม “เจ้าส่งหนังสือไปที่ทะเลสาบสือซ่าไห่ ต้องส่งมอบให้ถึงมือเทียนตี้!”
“ขอรับ!” เทพรับใช้ได้ยินสารในหนังสือแล้ว ย่อมรู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ เขารีบตามพวกเทียนตี้ไป
อินหลิวเฟิงรีบกลับไปจักรวาลดั้งเดิมพาท่านพ่อของเขาออกมา แต่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นแตกตื่น เพียงแค่พาท่านพ่อเขาลงมาโลกมนุษย์กลับโยวตู
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” อินสวินอี้ที่งุนงงไม่เข้าใจอะไรเลย
“เกิดเรื่องแล้ว” ในขณะที่อินหลิวเฟิงตอบ เขาก็ปรากฏตัวที่ริมแม่น้ำเย่ว์หมิง
ทหารโยวตูที่เฝ้าอยู่ที่นี่ตะลึงงันกับสองพ่อลูกที่สถิตลงมาจากสวรรค์ แต่อินหลิวเฟิงที่ทิ้งอินสวินอี้ไว้ที่นี่ เขาก็ลงไปในแม่น้ำ เหลือเพียงท่านพ่อเขากับทหารโยวตูที่มองกันไปมา
ดังนั้น… จวินฮวนที่เพิ่งถอยออกมาจากแดนมืดก็ได้ยินเสียงของอินหลิวเฟิง
อินหลิวเฟิงที่ลงมาดูด้วยตนเองตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า “เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด”
“ตั้งแต่ที่ท่านจูจูแจ้งเตือนจนถึงตอนนี้ ประมาณหนึ่งชั่วยามแล้ว” จวินฮวนตอบ
อินหลิวเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด “เมื่อพวกเจ้าโจมตี ต้องรักษาค่ายกลให้ดี ห้ามแยกจากกันเด็กขาด! ทันทีที่ค่ายกลพังให้รีบถอยกลับทันที”
“ขอรับ!” จวินฮวนหยักหน้า กลับรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย “กองทัพหนุนของแดนสวรรค์คงใกล้จะถึงแล้วใช่หรือไม่”
“อย่าหวังพึ่งกองกำลังสวรรค์มากนักเลย” อินหลิวเฟิงจำเป็นต้องพูดเช่นนี้ เนื่องจากข่าวคราวของแดนมนุษย์ต้องพึ่งพาธนูเทียนตี้ส่งไป เขามีเหตุผลที่จะสงสัยว่าแดนสวรรค์ก็คง ‘แพ้ทาง’ แล้ว
จวินฮวนเคร่งเครียด แต่กลับชูดาบบัญชาอย่างไม่ชักช้าว่า “ศิษย์ทั้งหลายจงฟัง! โจมตีพร้อมข้า อย่าแยกจากกัน รักษาแนวค่ายกลให้ดี!”
“ขอรับ!” สำนักจวินจื่อที่ไม่ทันคารวะอินหลิวเฟิงทยอยลงไปแดนมืดอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน ศิษย์ชั้นยอดของสำนักจวินจื่อที่นำโดยจวินอั้นเทียนก็มาถึงแล้ว แม้แต่นักดาบอาวุโสก็มาแล้ว
เมื่อพวกเขาเห็นอินหลิวเฟิงก็แค่พยักหน้าทีหนึ่งก่อนจะทยอยกันเข้าไปร่วมต่อสู้
อินหลิวเฟิงเองก็ไม่มีเวลาทักทายคนรู้จัก เขาปรากฏขึ้นข้างกายจูจูแล้ว “จูจู!”
“กูรู!” จูจูที่เห็นอินหลิวเฟิงตาเป็นประกาย แต่ใบหน้าของนางประกายสีเขียว สิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในร่างกายของนางแผ่ขยายขึ้นมาถึงคอของนางแล้ว
อินหลิวเฟิงมองใบหน้างดงามของจูจูชัดเจน ใจตกลงไปตาตุ่ม “จูจู ฟังข้านะ! เจ้าถอยออกไปก่อน ข้าจะเฝ้าที่นี่เอง!”
“กูรู!” จูจูส่ายศีรษะแน่นอน
แต่อินหลิวเฟิงพูดขึ้นว่า “เจ้าถอยออกไปก่อน รักษาบาดแผลบนตัวของเจ้าเสร็จแล้วค่อยกลับมา นี่คือสงครามระยะยาว! ไม่มีเจ้าไม่ได้ ข้าเองก็แค่ช่วยเจ้าเฝ้าได้ชั่วคราว”
“กูรู?” จูจูมองสัตว์ประหลาดที่แผ่ขยายเข้ามาในร่างกายของมันไม่หยุด สีหน้าเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
อินหลิวเฟิงพยักหน้า “ใช่ พวกมันจะมาเรื่อยๆ ไม่มีวิธีกำจัดได้ในตอนนี้ ดังนั้นเจ้าห้ามล้มลง! เข้าใจหรือไม่”
“กูรู…” จูจูตอบอย่างเคร่งขรึม ก่อนจะเงยหน้ามองอินหลิวเฟิงอีกครั้ง “กูรู?” นายท่านล่ะ?
อินหลิวเฟิงเดาออกว่านางถามอะไร เขาจึงตอบว่า “นายท่านแต่งงานวันนี้ เจ้าไม่รู้หรือ”
“กูรู!” จูจูที่กระจ่างทันทีพยักหน้า บอกว่ามีคนบอกมันแล้วแต่มันลืม
อินหลิวเฟิงจึงเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “ดังนั้นเจ้าถอยไปก่อน ข้าจะช่วยเจ้าเฝ้าสักครู่ เมื่อเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะกลับไปรายงานตำหนักสวรรค์ นายท่านจะมาเร็วๆ นี้”
ในที่สุดจูจูก็พยักหน้า แต่กลับยังส่งเสียงไม่หยุด “กูรู กูรู…”
“วางใจเถอะ ข้าไม่ให้สัตว์ประหลาดใดๆ เข้าไปแดนมนุษย์ได้หรอก!” อินหลิวเฟิงรับประกัน
จูจูจึงเริ่มเก็บผนึก เตรียมจะถอยกลับไปที่เดิมเมื่ออินหลิวเฟิงเข้ามาแทนที่
ด้วยระดับตบะของจูจู นางสามารถออกจากที่นี่ได้ตลอดเวลา แต่ถึงแม้เผ่ามารในแดนมืดจะอพยพไปแล้ว นางกลับยังคงไม่ไปไหน เพราะว่าเยี่ยนอวี๋ยังไม่ได้เรียกนางไป
ทว่าเยี่ยนอวี๋ไม่ได้ลืมจูจู แต่นางมีข้อคำนึงอย่างอื่น ดังนั้นจูจูจึงอยู่ในผนึกใต้น้ำแม่น้ำเย่ว์หมิงตลอดมา! ร่างของมันไม่เคยจากที่นี่ไปแม้แต่ครึ่งก้าว
บัดนี้ เป็นเพราะอินหลิวเฟิงรับปากกับนาง นางจึงค่อยๆ เก็บร่างของตนเอง
วี้ด!
อินหลิวเฟิงที่กลายร่างเป็นวิหคทมิฬขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ของมันปกคลุมช่องโหว่สองแดนที่ผนึกค่อยๆ จางหายไป และลุกโชนด้วยเปลวไฟ
กรูกรู!
จิ๊บ…
สัตว์ประหลาดมากมายถูกเปลวเพลิงแผดเผา พวกมันไม่สามารถทะลุผ่านเปลวเพลิงที่ลุกโชนนี้เข้าแดนมนุษย์ได้
จูจูเห็นดังนี้จึงถอยกลับไปอย่างวางใจ มันไปชำระล้างสัตว์ประหลาดน้อยที่อยู่ในร่างกายของมันที่ด้านหลัง
เพียงแต่ว่า… จูจูเพิ่งถอยลงไป
จิ๊บ!
สิ่งมีชีวิตไร้ปัญญาลักษณะคล้ายปลาไหลที่จู่จู่ทะลักออกมาจากส่วนลึกของแดนมืด พวกมันพุ่งทะลักออกมาที่นี่อย่างกะทันหัน! จำนวนนับหมื่นนับพัน พวกมันถูกจัดระเบียบและวางแผนไว้ล่วงหน้า คิดจะทำลายการป้องกันขณะที่อินหลิวเฟิงและจูจูสลับหน้าที่
ทำเอานักดาบอาวุโสตกใจอุทานว่า “แย่แล้ว! นายน้อยถอยเร็วเข้า!”
จูจูถึงกับลุกขึ้นอีกครั้งทำท่าจะเข้าไปช่วยปิดกั้น แต่ว่า…
“เพลิงลี้ลับ!”
อินหลิวเฟิงที่พ่นเพลิงลุกโชนน่าสะพรึงกว่าเดิมออกมาจากทั้งร่าง เขาเหมือนกับดวงพระอาทิตย์ขนาดยักษ์ที่แผดเผาไม่หยุด ทำให้สิ่งมีชีวิตไร้ปัญญาทั้งหมดที่เข้าใกล้ถูกเผาสลายสิ้น
เพลิงสีแดงเจิดจ้าอันลึกลับยังบดขยี้เข้าไปในแดนมืดอย่างต่อเนื่อง มันเผาเข้าไปในส่วนลึกของแดนมืด ทำให้แดนมืดที่มืดสนิทสว่างไปด้วยเพลิงไฟ ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงเห็นส่วนลึกของแดนมืดได้ชัดเจน
“ไม่มีสัตว์ประหลาดแล้ว!?”
“ว่างเปล่า?!”
“นี่มัน…” จวินฮวนขมวดคิ้วมองไปที่ส่วนลึกของแดนมืด รู้สึกไม่ชอบมาพากล
ความจริงก็พิสูจน์แล้วว่าการรับรู้ของจวินฮวนไม่มีผิด เพราะว่าจุดสิ้นสุดที่แสงไฟส่องถึงปรากฎสิ่งมีชีวิตไร้ปัญญาลักษณะคล้ายร่มขนาดยักษ์ตัวหนึ่งเลือนราง
ศีรษะของมัน… ใหญ่เท่าร่างของเหล่าเทพขุนเขาโบราณ! ภูเขาขนาดใหญ่ลักษณะคล้ายร่มที่สง่างามและเคลื่อนไหวได้!
มารดามันเถอะ!
อินหลิวเฟิงร้องทันที “จูจู เจ้ารีบไปตำหนักสวรรค์เดี๋ยวนี้! เรียกตี้จวิ้นมาช่วยข้าที!”
“เดี๋ยวสิ นายน้อย! ให้ข้าช่วยดีหรือไม่?” เอ้อร์เหมาที่ไม่รู้ปรากฏตัวข้างหลังอินหลิวเฟิงตั้งแต่เมื่อใด เขาก็พูดขึ้น
อินหลิวเฟิงชะงักเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าลูกน้องโง่เขลาคนนี้จะพึ่งพาได้ในยามวิกฤต รู้ด้วยว่าต้องตามลงมา! เขาคิดว่าลูกน้องคนนี้เมาหัวราน้ำไปแล้ว
“นายน้อย?”
“ไสหัวไปซะเจ้าน่ะ! รีบไปเรียกเทียนตี้มา!”
“เดี๋ยวสิ เทียนตี้เองก็ถูกขวางไว้ที่ทะเลสาบสือซ่าไห่ ว่ากันว่าสัตว์ประหลาดทางนั้นก็มีจำนวนมากเช่นกัน”
“แล้วซีซีเล่า”
“ช่วยอยู่ที่นั่น!”
“ไม่มีใครสักคนมาช่วยข้าได้เลยรึ”
“ข้าน้อยก็มาแล้วนี่ไงขอรับ” เอ้อร์เหมาตอบ “ข้าน้อยก็ใช้ได้นะ! นายน้อยท่านถอยหลังไป ขอที่ว่างให้ข้าน้อยแผลงฤทธิ์วิชาปลาคุนนกเผิง!”
อินหลิวเฟิงประชดประชันทันทีว่า “เจ้าคนพึ่งไม่ได้ ไสหัวไปข้างๆ เลย! รอข้าไม่ไหวแล้วเจ้าค่อยเข้ามาหนุน!”
“แต่ว่า…” เอ้อร์เหมาอยากจะถามว่านายน้อยท่านไหวหรือ
แต่สัตว์ประหลาดยักษ์นั่น ‘ลอย’ เร็วขึ้น! เพียงพริบตาก็อยู่ข้างหน้าไม่ไกลแล้ว
อินหลิวเฟิงรับรู้ได้ว่า ประสาทสัมผัสทั้งห้าของตนถูกกดอย่างรุนแรง
วี้ด!
อินหลิวเฟิงที่เพลิงสีแดงลุกโชนทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว เขาพร้อมจะสู้สุดชีวิตแล้ว! เขาสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตรายที่มาจากร่างสัตว์ประหลาดยักษ์ตนนี้
ทว่า… ขณะที่เขากำลังจะสู้สุดชีวิตนี่เอง!
กรู!
อันตรายที่ร้ายแรงยิ่งกว่ามาพร้อมเสียงที่ดังขึ้นจากข้างล่างอินหลิวเฟิง มันกลืนกินเขาจากล่างขึ้นบน
จากนั้น…
กรู!
สิ่งมีชีวิตไร้ปัญญาคล้ายร่มขนาดใหญ่ยิ่งกว่าตัวหนึ่ง ขณะที่มันกลืนกินอินหลิวเฟิง มันก็ ‘บังเกิด’ ขึ้นจากพื้นดินอย่างรวดเร็วและเข้า ‘แทนที่’ อินหลิวเฟิง ‘ปิดกั้น’ บริเวณเข้าออกของสองแดนไว้
มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก! ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดสัมผัสได้เลย! เพราะว่าประสาททั้งห้าของทุกคนถูกสิ่งมีชีวิตไร้ปัญญาขนาดยักษ์ที่ปรากฎขึ้นตรงหน้ากดไว้
ไม่มีใครคาดคิด ยิ่งไม่มีใครรู้สึกถึง ดังนั้นเขาจึงถูกกลืนกินไป
“นายน้อย!”
เอ้อร์เหมากรีดร้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่านายน้อยที่ก่อนหน้านี้ยังพูดจาประชดประชันเขาจะหายสาบสูญไปในครานี้แล้ว
แทบจะในเวลาเดียวกัน…
“อ้ะเนะ!”
เด็กน้อยตกใจตื่นจากความฝัน เขาลุกนั่งขึ้นทันที
************************