เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2221 รู้แล้วอย่างไร / ตอนที่ 2222 จอมมารตาเดียว
ตอนที่ 2221 รู้แล้วอย่างไร
หญิงวัยกลางคนที่ล้มอยู่บนพื้นหน้าซีด เหงื่อบนหน้าผากมีขนาดเท่าเม็ดถั่ว นางถูกสกัดจุดที่กระดูกไหปลาร้า เจ็บจนแม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่ได้ ยามนี้พอได้ยินคำถามของเฟิ่งจิ่ว ได้แต่จ้องเธอด้วยสายตาที่ราวกับจะมีไฟลุกไหม้
หากยามนี้นางพูดได้ นางจะต้องถามอย่างเคียดแค้นว่า ‘เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าคิดจะทำอะไร?’
เรื่องที่นางทำมาเนิ่นนานขนาดนี้ เคยพบผู้ฝึกตนมาก็มากมายนับไม่ถ้วน แม้จะเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่านางจนนางไม่กล้าแตะต้อง ก็ยังไม่เคยมีใครจับได้ว่าที่นี่มีอะไรผิดปกติ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับต่างจากคนอื่น
จับได้ไม่ว่า แต่นางกลับตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย คิดอย่างไรก็แค้นใจนัก
“พูด!”
เฟิ่งจิ่วตวาด สีหน้าเฉื่อยชาเกียจคร้านพลันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด ตวัดสายตามองผู้หญิงพวกนั้น กลิ่นอายพลังเร้นลับขุมหนึ่งแผ่ปกคลุมไปยังผู้หญิงสามคนนั้นทันที
หญิงสาวที่ถูกเฟิ่งจิ่วใช้เข็มโจมตีจนร่วงตกกลางอากาศ เดิมลุกขึ้นมานั่งแล้ว แต่ครั้นถูกแรงกดดันโจมตี นางก็รู้สึกเหมือนถูกหินก้อนใหญ่ทับลงมาบนตัว อึดอัดจนหายใจไม่ออก เลือดลมป่วนพล่าน เลือดคำหนึ่งตีขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
ส่วนผู้หญิงอีกสองคนกลับคุกเข่าลงไปอย่างเข่าอ่อนภายใต้แรงกดดัน พวกนางสองคนที่ตอนแรกไม่คิดจะเอ่ยปาก ยามนี้รีบร้องขึ้นอย่างอ้อนวอน
“พวกข้าบอกแล้ว พวกข้าจะบอก”
เฟิ่งจิ่วเก็บแรงกดดันกลับมา ชำเลืองมองพวกนางสองคน “พูด!”
หญิงสาวสองคนนั้นไม่กล้าหันไปมองหญิงวัยกลางคน ได้แต่ก้มหน้าลง “ท่านอาจารย์ชำนาญการดองเหล้าสมุนไพร ปกตินางมักเอาสัตว์มาแช่เหล้าสมุนไพร หลังจากเติมสมุนไพรเข้าไปก็จะมีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มพลัง ท่านอาจารย์ขายของพวกนี้ให้กับจอมมารตาเดียวคนหนึ่ง ต่อมา…ต่อมาเพราะความต้องการของจอมมารนั่น ท่านอาจารย์เริ่มใช้พวกข้าเป็นเหยื่อ ล่อพวกผู้ฝึกตนเข้ามาในบ้าน ให้พวกเขาดื่มสุราเซียนเมาเข้าไป จากนั้นก็ควักแก่นพลังในของพวกเขา…”
เล่ามาถึงตรงนี้ เสียงของผู้หญิงชุดขาวเบาลงเรื่อยๆ “แก่นพลังในของผู้ฝึกตน ท่านอาจารย์บอกว่าใช้ทำเป็นยาได้ หากดูดซับกลิ่นอายพลังวิญญาณจากแก่นพลังในหมดแล้ว ก็จะช่วยให้วรยุทธ์พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับกำเนิดวิญญาณเป็นต้นไป ในแก่นพลังในจะมีวิญญาณต้น เป็นสมบัติล้ำค่าที่หายากมาก ฉะนั้น ฉะนั้น…”
เฟิ่งจิ่วที่นั่งฟังอยู่ขมวดคิ้ว แก่นพลังในของสัตว์อสูรเป็นของมีค่า แก่นพลังในของผู้ฝึกตนยิ่งล้ำค่ากว่า ต้องบอกว่ามีคนมากมายต้องฝึกวรยุทธ์เป็นเวลาหลายสิบปี กระทั่งนับร้อยปีจึงจะก่อกำเนิดแก่นพลังในได้ พวกนางสังหารคนเพื่อเอาแก่นพลังในเช่นนี้ วิธีการโหดเหี้ยมไร้ความเป็นคน คนอย่างนี้ ถึงแม้วันนี้พวกนางจะไม่เจอเธอ อย่างไรสักวันก็ต้องเจอคนที่จะเอาชีวิตพวกนางอยู่ดี
เวลานี้ ต้วนเยี่ยที่ขับเคลื่อนลมปราณจนเหงื่อออกไปทั้งตัวเดินออกมา จ้องหน้าพวกนั้นด้วยแววตาเย็นชา พลันนั้น ฝ่ามือไล้ผ่านเอว ประกายเยือกเย็นของกระบี่ยาวพาดผ่าน สามคนนั้นสิ้นใจในพริบตา
เห็นอย่างนั้นเฟิ่งจิ่วก็ตะลึง “เจ้าฆ่าพวกนางหมดเลยหรือ?” เจ้าหมอนี่ใจร้อนเกินไปแล้ว มาถึงก็ฆ่าพวกนางโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงสักนิด
“คนอย่างพวกนาง ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย” ต้วนเยี่ยเอ่ย สายตาจับจ้องหญิงวัยกลางคนที่ล้มอยู่บนพื้น ถือกระบี่ยาวย่างกรายเข้าไปทีละก้าวๆ
เฟิ่งจิ่วรีบลุกขึ้นยืน “ช้าก่อน”
ต้วนเยี่ยมองเธอ “ทำไม?”
“คนคนนี้ยังฆ่าไม่ได้ ข้ายังต้องใช้นางอีก” เฟิ่งจิ่วยิ้มบอก เดินเข้าไปมองหญิงวัยกลายคน “เจ้ารู้วิชาสะกดจิตหรือ?”
หญิงวัยกลางคนกัดฟันจ้องหน้าเธอ อดทนต่อความเจ็บปวดในร่างกาย กระตุกปากเผยยิ้มที่ดูน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าร้องไห้ เอ่ยย้ำออกมาทีละคำๆ “รู้แล้วจะทำไม? อย่าคิดว่าข้าจะบอกเจ้า!”
………………………………….
ตอนที่ 2222 จอมมารตาเดียว
พอได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่คิดจะให้เจ้าบอกข้าอยู่แล้ว” เอ่ยจบ เธอเผยยิ้มประหลาด “เพราะข้ามีธีที่จะรู้เอง” พูดจบ เธอกางฝ่ามือวางบนหัวของนาง
หญิงวัยกลางคนที่เห็นอย่างนั้นม่านตาหดเล็ก ตกตะลึงจนอยากจะถอยหนี “จะ เจ้าจะสำรวจวิญญาณ!”
สำรวจวิญญาณ เป็นวิธีที่สามารถล่วงรู้ทุกเรื่องของอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ หากผ่านการถูกใช้วิธีสำรวจวิญญาณแล้ว สถานเบาก็กลายเป็นคนสติไม่ดี เรียกได้ว่า หลังจากถูกสำรวจวิญญาณ คนคนนั้นก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป
เฟิ่งจิ่วกระตุกมุมปาก ไม่สนใจนางที่ขัดขืนด้วยความกลัว วางมือกดลงไป ขณะเดียวกัน กลิ่นอายพลังเร้นลับถูกขับเคลื่อน ดวงจิตดวงหนึ่งสำรวจเข้าไปในสมองของนาง…
ต้วนเยี่ยยืนมองอยู่ด้านหนึ่ง เห็นเธอยืนหลับตานิ่ง หญิงวัยกลางคนยืนแน่นิ่งราวกับเหม่อลอยไร้สติ เนิ่นนานผ่านไป จึงเห็นเฟิ่งจิ่วเก็บมือกลับมา เวลานี้เอง หญิงวัยกลางคนทิ้งตัวลงบนพื้น กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็สิ้นลมไป
เฟิ่งจิ่วหลับตาทำความเข้าใจกับข้อมูลในสมอง ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงค่อยลืมตาขึ้นเอ่ยว่า “ข้าเห็นจอมมารตาเดียวที่คบค้าสมาคมกับพวกนาง เขาก็คือจอมมารตาเดียว หนึ่งในสิบจอมมาร”
เธอหันไปมองเขา แล้วกล่าวว่า “สิบจอมมารภายใต้อาณัติของจอมมารปีศาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดา ตอนนี้พลังวิญญาณของข้าถูกผนึก และจากที่ข้าสำรวจวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่นัดหมายกับจอมมารตาเดียวไว้พอดี พวกเราจัดการพวกนางแล้วรีบไปจากที่นี่ดีกว่า”
“ได้” ต้วนเยี่ยพยักหน้า หันไปมองรอบๆ บอกว่า “จุดไฟเผาสะดวกที่สุดแล้ว”
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองใช้สุราเป็นเชื้อเพลิงเพื่อจุดไฟเผาที่นี่ เปลวเพลิงลุกลามไปตามน้ำสุราแรง ขวดเหล้าดองเหล่านั้นก็ระเบิดออกเพราะอุณหภูมิสูง เสียงบึ้มดังก้อง เปลวไฟลุกไหม้สูงเทียมฟ้า แทบจะส่องท้องฟ้าให้สว่างไปกว่าครึ่งแถบ
พวกเขายืนมองจากที่ไกลๆ ที่นั่นอยู่ใต้เนินเขาพอดี เปลวไฟจึงไม่ได้ลุกลามไปไหน กระทั่งบ้านหลังนั้นถูกเผาจนสิ้นซาก เปลวเพลิงก็เริ่มมอดลง พวกเขาจึงค่อยขี่กระบี่บินจากไป…
ตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า แสงสว่างแรกของวันใหม่สาดส่องผืนดินใหญ่ รุ่งอรุณมาเยือนอย่างเงียบงัน
ต้วนเยี่ยยืนอยู่บนกระบี่บิน มองเฟิ่งจิ่วที่เอนกายหลับตาอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าเองก็ดื่มสุราเซียนเมาเข้าไปแล้วแท้ๆ เหตุใดจึงไม่เมา?”
เฟิ่งจิ่วที่หลับตาพักผ่อนได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มๆ เธอตอบด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาโดยไม่ลืมตา “จะเหมือนกันได้อย่างไร? เจ้าไม่ดูเสียบ้างว่าข้าเป็นใคร?”
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว ต้วนเยี่ยมุมปากกระตุก “เจ้าคือเฟิ่งจิ่ว เจ้ามันร้ายกาจ” เขาอัดอั้นตันใจ ในเมื่อสุรานั่นคือสุราเซียนเมา แล้วเหตุใดนางจึงไม่เมากันเล่า?
“ถึงได้บอกอย่างไรเล่า คราวหน้าระวังหน่อย ของที่ข้ากินได้ เจ้าใช่ว่าจะกินได้เหมือนกัน” ขณะเอ่ย เธอลืมตาลุกนั่ง ยิ้มบอกว่า “เจ้าว่าเจ้าเรียนอะไรจากสำนักเซียนมาบ้าง? เหตุใดข้าไม่เห็นพัฒนาการอะไรเลย?”
ต้วนเยี่ยที่ได้ยินคำสบประมาทของเธอหน้าบึ้งตึง แต่กลับหาคำมาโต้เถียงไม่ได้ เรื่องครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขาประมาท แต่เป็นเพราะเขาเชื่อใจนางมากไป และหวังพึ่งพาเธอมากเกินไป เขาคิดว่าหากเธอลองแล้วไม่มีปัญหา และไม่ได้ห้ามเขาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
แต่จะว่าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องโทษเธอ รู้ทั้งรู้ว่าของนั่นมีปัญหาก็ไม่เตือนเขา เขาที่หันไปมองเธอและกำลังจะอ้าปากพูด เห็นเธอบิดขี้เกียจหรี่ตา นอนคว่ำบนกระบี่บินเชยชมดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยตัวพ้นขอบฟ้า ใบหน้างามดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ จึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดพวกนั้นลงไป
………………………………….