เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2103 ตระกูลจัว / ตอนที่ 2104 เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตก
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 2103 ตระกูลจัว / ตอนที่ 2104 เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตก
ตอนที่ 2103 ตระกูลจัว
“ไม่รู้ว่ากลับมาคราวนี้ นายท่านจะเอาอะไรดีๆ กลับมาด้วยบ้าง” เขาเอ่ยอย่างตั้งตารอ รู้สึกว่านายท่านไปครั้งนี้ นอกจากสังหารหานหรงผู้นั้นแล้วจะต้องได้อย่างอื่นกลับมาด้วยแน่ๆ
เหลิ่งหวากับฟั่นหลินได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มมองหน้ากัน ทั้งสองคนหนึ่งเดินไปที่ลานสวนด้านหลัง คนหนึ่งกลับเอ่ยว่า “ข้ากลับไปดูที่จวนหน่อย”
สองวันต่อมา ในเมืองแห่งหนึ่ง ด้านหน้าประตูตระกูลจัวมีคนยืนอยู่สามคน
“ถึงแล้ว” จัวจวินเยวี่ยหันไปบอกเฟิ่งจิ่ว
“จะว่าไป ข้าก็ไม่ได้มานานแล้วเหมือนกัน” ฮุ่นหยวนจื่อลูบหนวด มองจัวจวินเยวี่ยที่อยู่ข้างหน้า ชำเลืองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ก่อนถามว่า “อีกเดี๋ยวพวกเจ้าคิดจะแนะนำตัวกันอย่างไร? บอกไปตามตรงว่ามาหาท่านย่าของเจ้าหรือ?”
เฟิ่งจิ่วมองตาเฒ่าแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยกับจัวจวินเยวี่ยว่า “เข้าไปแล้วข้าจะอยู่ข้างๆ ตาเฒ่า ไม่ต้องแนะนำข้า แค่หาโอกาสให้ข้าได้ไปพบท่านย่าของเจ้าก็พอ”
ตาเฒ่ายิ้มตาหยี “อยู่ข้างๆ ข้า? เป็นศะ…อะแฮ่ม!” ยังไม่ทันพูดคำว่าศิษย์ออกไป ก็เห็นนางมองมาตาขวาง จึงรีบกลืนคำนั้นลงไป
ข้ายังต้องเรียนวิชามวยไทเก๊กกับนางอีก! จะหาเรื่องทำให้นางไม่พอใจไม่ได้
จัวจวินเยวี่ยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว” เขาเดินเข้าไปเคาะประตู ไม่นาน ประตูใหญ่เปิดออก ชายชราผู้หนึ่งชะโงกหน้าออกมาครึ่งตัว
“คุณชายใหญ่กลับมาแล้วหรือ!” ชายชราเผยยิ้ม หันมองข้างกายเขา ยามเห็นฮุ่ยหยวนจื่อที่กำลังลูบหนวด ก็รีบคารวะ “ท่านเซียนฮุ่นหยวน”
“อืม” ตาเฒ่ารับคำ เหลือบมองชายชราแวบหนึ่ง
“คุณชายใหญ่ ท่านเซียนฮุ่นหยวน เชิญพวกท่านเข้ามาข้างใน ข้าจะไปเรียนท่านผู้นำตระกูล” ชายชรารีบเชิญพวกเขาเข้ามาข้างใน เวลานี้เพิ่งสังเกตเห็นข้างหลังท่านเซียนฮุ่นหยวนมีเด็กหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งตามมา เด็กหนุ่มชุดเขียวแต่งกายเรียบง่าย ยืนก้มหน้าเงียบท่าทางเรียบร้อย เขาคิดว่าน่าจะเป็นผู้ติดตามของท่านเซียนฮุ่นหยวน
“ไม่ต้องรบกวนท่านลุงรองหรอก เขาจะตามข้าไปที่เรือนตะวันตก” จัวจวินเยวี่ยเอ่ย
ชายชราชะงัก มองพวกเขาเข้าจวนมาก็มุ่งหน้าไปยังเรือนตะวันตก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าในเมื่อท่านเซียนฮุ่นหยวนมาแล้ว แม้จะไปเรือนตะวันตก เขาก็ควรไปรายงานให้ผู้นำตระกูลทราบ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากปิดประตูใหญ่ ชายชราจึงไปที่เรือนใหญ่
เฟิ่งจิ่วที่เดินตามหลังตาเฒ่าแอบมองพิจารณาที่นี่เงียบๆ เห็นว่าที่นี่นอกจากองครักษ์และสาวใช้จำนวนหนึ่ง ในที่ลับยังมีองครักษ์ลับคอยสังเกตความเคลื่อนไหวรอบๆ ด้วย ข้างในนี้ไม่ว่าจะเป็นศาลาบันได หรือทางเดินหินกรวดล้วนประณีต สภาพแวดล้อมเงียบสงบและงดงามมาก
ทว่า หลังจากเดินผ่านทางเดินเล็กๆ เส้นหนึ่งไปยังเรือนตะวันตกกลับกลายเป็นอีกสภาพแวดล้อมหนึ่ง เรียกได้ว่าบนทางเดินเล็กๆ เส้นนั้นไม่เห็นเงาองครักษ์แม้แต่คนเดียว แม้แต่ในที่ลับก็ไม่มีองครักษ์อยู่สักคน กระทั่งหลังจากเข้ามาในเรือนตะวันตก ราวกับเป็นคนละที่กับจวนตระกูลจัวที่อยู่ด้านหน้าอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่เรือนหลังหนึ่งสูงส่งดูมีระดับ เรือนอีกหลังดูเงียบสงบเรียบง่าย
บริเวณนี้ไม่มีคนอยู่เลย เฟิ่งจิ่วถามจัวจวินเยวี่ยที่อยู่ข้างหน้า “เหตุใดที่นี่จึงเงียบนัก? ในเมื่ออยู่ในจวนตระกูลจัวเหมือนกัน เหตุใดยังต้องแบ่งออกมาเป็นเรือนตะวันตก?”
จัวจวินเยวี่ยยังไม่ทันตอบ ก็ได้ยินฮุ่นหยวนจื่อลูบหนวดหันมาหาเฟิ่งจิ่ว “ใช่แล้ว ข้ายังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังเลยนี่นา! เรื่องนี้มีเหตุผลอยู่”
เขาชะลอฝีเท้าเดินเคียงไหล่เฟิ่งจิ่ว ก่อนเล่าว่า “ตระกูลจัวแบ่งเป็นเรือนตะวันออกและเรือนตะวันตก แม้จะอยู่ในจวนเดียวกัน แต่เจ้าก็เห็นแล้ว มีถนนสองเส้นที่นำไปสู่เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตกซึ่งอยู่คนละทิศกัน”
………………………………….
ตอนที่ 2104 เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตก
“ตระกูลจัวนั้นบุตรคนรองเป็นผู้นำตระกูล อาศัยอยู่ที่เรือนตะวันออก ฉะนั้นฝั่งนั้นจะมีคนมากกว่า เรียกได้ว่าตระกูลจัวยึดเรือนตะวันออกเป็นหลัก ส่วนเรือนตะวันตกทางนี้ก็คือที่อาศัยของครอบครัวพวกเขา คนไม่มาก มีแค่พ่อแม่และน้องสาวน้องชายของเขาไม่กี่คน รวมถึงคนรับใช้สองสามคนด้วย”
ฮุ่นหยวนจื่อชี้จัวจวินเยวี่ยที่อยู่ข้างหน้า กระซิบเบาๆ ว่า “ส่วนเหตุผลเจ้าก็น่าจะรู้ ก็อย่างนั้นแหละ”
เฟิ่งจิ่วเม้มปาก เขาเล่าให้ฟังขนาดนี้เธอย่อมต้องรู้แล้ว
คนที่อาศัยอยู่ที่เรือนตะวันออกคือลุงรองของจัวจวินเยวี่ย หรือก็คือสายเลือดที่แท้จริงของตระกูลจัว การให้เขาสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลก็เป็นเรื่องที่สมควร ผู้นำตระกูลอาศัยในเรือนตะวันออกก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลเช่นกัน เพียงแต่ เรือนตะวันตกจะไม่เงียบเหงาเกินไปหน่อยหรือ เธอเดินข้างในนี้รู้สึกเพียงว่า เรือนตะวันตกแม้อยู่ในจวนตระกูลจัวเช่นเดียวกับเรือนตะวันออก ทว่าที่นี่กลับเหมือนถูกแบ่งแยกออกมา และเป็นจวนที่ถูกลืมมากกว่า
ขนาดเรือนยังมีสภาพเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเขาที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะต้องรู้สึกอึดอัดขนาดไหนกัน? จะรู้สึกเหมือนอาศัยเขาอยู่หรือไม่? หากท่านอาจารย์ของเธอรู้ว่าทายาทรุ่นหลังของเขาต้องมีชีวิตอย่างนี้ จะต้องรู้สึกผิดมากแน่ๆ
เธอรู้สึกหนักอึ้งข้างในใจ มองจัวจวินเยวี่ยที่กำลังสาวเดินอยู่ข้างหน้า นาทีนี้ในที่สุดเธอก็รู้แล้ว เหตุใดเขาจึงมีนิสัยเงียบขรึมพูดน้อยเช่นนี้
หลังจากเดินมาได้ระยะหนึ่ง จัวจวินเยวี่ยพาพวกเขามาที่ห้องโถงของเรือนตะวันตก บอกทั้งสองว่า “พวกท่านนั่งก่อน ข้าจะไปพบท่านพ่อกับท่านแม่ข้าหน่อย”
“ไปเถอะๆ!” ตาเฒ่าโบกมือ หาที่นั่งเองตามอัธยาศัย หยิบน้ำเต้าสุราออกมาดื่ม ไม่ลืมบอกเฟิ่งจิ่วด้วย “นั่งๆ ไม่ต้องเกรงใจ จวนของพวกเขาไม่ค่อยมีคนมาหรอก”
เห็นอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วจึงหาที่นั่ง มองดูห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย อดถามขึ้นไม่ได้ “เหตุใดพวกเขาไม่ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก? ด้วยความสามารถของจัวจวินเยวี่ย น่าจะมีคุณสมบัติมากพอที่จะสร้างจวนเองได้แล้ว”
“เป็นท่านย่าของเขา ท่านย่าของเขาไม่ยอมให้พวกเขาย้ายออกไปอยู่ข้างนอก อีกอย่าง นอกจากจัวจวินเยวี่ย พรสวรรค์ของพ่อของเขาก็ไม่ค่อยเท่าไร กลับเป็นน้องชายของจัวจวินเยวี่ยที่ถือว่าไม่เลวนัก เพียงแต่ไม่มีอาจารย์ดีก็ถือว่าเสียเปล่า” ตาเฒ่าดื่มสุรา พลางส่ายหน้า
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดจึงไม่มีอาจารย์ดี? ไปสอบเข้าสี่สำนักใหญ่ก็ได้ไม่ใช่หรือ?”
ตาเฒ่าลูบหนวดท่าทางครุ่นคิด “หรือว่าข้าไม่เคยเล่าให้เจ้าฟังหรือ น้องชายของเขาพิการขาทั้งสองข้างตั้งแต่กำเนิด นั่งรถเข็นมาตลอด” เขากลอกตาไปมา นึกไม่ออกว่าเคยเล่าให้เฟิ่งจิ่วฟังหรือไม่
เฟิ่งจิ่วรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย “ท่านเคยเล่าเสียที่ไหน? ท่านแค่เคยบอกว่าเขามีน้องชายและน้องสาว จากนั้นก็บอกว่าครอบครัวของเขาค่อนข้างลำบากพอสมควร ในบ้านก็มีกันเพียงไม่กี่คน บอกว่าท่านย่าของเขาเพราะร่างกายไม่แข็งแรงจึงได้แต่สวดภาวนาอยู่ในเรือนเล็กอยู่ทุกวัน เคยเล่าถึงรายละเอียดพวกนี้เสียที่ไหน?”
“ไม่เคยหรอกหรือ? ข้าเองก็ลืมไปแล้ว จำไม่ค่อยได้”
เขายิ้มแห้ง เอ่ยว่า “บอกตอนนี้ก็ยังไม่สายไปนี่! เรื่องก็เป็นอย่างนั้นแหละ พรสวรรค์นั้นไม่เลว แต่ขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ ลุกไม่ขึ้นจะคารวะอาจารย์ก็ทำได้ไม่สะดวก เจ้าว่า ใครจะยอมรับคนที่นั่งรถเข็นเป็นศิษย์กัน? ฉะนั้นเขาจึงได้แต่อยู่ในบ้าน ระดับพลังวิญญาณถือว่าใช้ได้ แต่ด้านวรยุทธ์นั้นฝึกฝนไม่ค่อยสะดวกนัก”
เฟิ่งจิ่วมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก แทนที่จะถามตาเฒ่าที่พึ่งพาไม่ได้ มิสู้อีกเดี๋ยวเธอดูเองถามเองจะดีกว่า
………………………………….