เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2007 ป่าภูเขาไฟ ตอนที่ 2008 ร่วมเดินทางในป่า
ตอนที่ 2007 ป่าภูเขาไฟ ตอนที่ 2008 ร่วมเดินทางในป่า
ตอนที่ 2007 ป่าภูเขาไฟ
“ก็ได้!”
ฮุยหลางถอนหายใจเบาๆ “ก็จริง ด้วยพลังของภูตหมอ น่าจะมีคนทำร้ายนางได้น้อย ยิ่งไปกว่านั้น นางเล่ห์เหลี่ยมมากเหมือนจิ้งจอก ใครเจอนางจะเสียเปรียบเสียส่วนใหญ่”
ขณะกำลังเอ่ยก็เห็นอิ่งอีที่อยู่ข้างๆ มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ฮุยหลางรู้ตัวทันที รีบยิ้มแห้ง “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง” แม้ภูตหมอจะเล่ห์เหลี่ยมเยอะอย่างไร นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ โชคดีที่นายท่านไม่อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นหากนายท่านได้ยิน เขาจะต้องลำบากแน่ๆ
หลังจากวันนั้น เฟิ่งจิ่วอยู่ที่หอยาสวรรค์หลายวัน เพราะใกล้ออกเดินทางแล้ว เธอจึงกลั่นยาเม็ดและยาน้ำขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อถึงเวลาจะได้มีพอขาย
หลายวันต่อมา หลังสะสางเรื่องในหอยาสวรรค์เสร็จเธอกลับมาที่จวนเฟิ่ง ครั้นถึงยามพลบค่ำ เฟิ่งจิ่วเปลี่ยนเสื้อผ้าและแปลงโฉมเดินไปทางประตูตะวันตก เธอเดินทอดน่องอยู่บนถนนเพียงลำพัง
ในหมู่ประตูทั้งสี่ทิศของเมืองร้อยนที ประตูตะวันตกหากเดินออกไปแล้วก็จะเป็นถนนภูเขา ปกติมีคนสัญจรไม่มาก เธอเดินออกมาแล้วก็หยิบแกนเคลื่อนย้ายออกมา
“น่าจะเก็บประกายแสงของแกนเคลื่อนย้ายจี๋กวงเวลามันเคลื่อนย้ายได้ สองครั้งก่อนก็ใช้เป็นแล้ว เวลาใช้ประกายแสงสะดุดตาเกินไป อาจนำภัยมาถึงตัวได้ง่ายๆ”
เธอพึมพำกับตนเอง หยิบแกนเคลื่อนย้ายขึ้นมาจ้องพิจารณา คราวนี้เธอไม่ได้รีบร้อนใช้งานมัน ด้วยเหตุนี้ ก่อนใช้งาน เธอจึงใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำอีก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยเปิดแกนเคลื่อนย้ายจี๋กวงและท้องชื่อป่าภูเขาไฟในใจ
ทันทีที่เธอท่องชื่อ ร่างกายพลันถูกประกายแสงห่อหุ้มจนโปร่งแสง จากนั้นก็หายวับไป ทว่าครั้งนี้ กลับไม่มีลำแสงทะลุเส้นขอบฟ้า และไม่มีประกายแสงที่เจิดจ้าสะดุดตาอีก
ยามเฟิ่งจิ่วทิ้งตัวลงบนพื้นก็ไม่ได้ตกลงมาจากบนท้องฟ้าเหมือนครั้งก่อนๆ เพียงปรากฏตัวและหมุนคว้างอยู่บนพื้น ก่อนจะค่อยๆ ยืนอย่างมั่นคง เธอมองดูสภาพแวดล้อมอันมืดมิดรอบๆ กาย อดเผยยิ้มไม่ได้
“ที่แท้นี่ต่างหากคือวิธีการใช้แกนเคลื่อนย้ายจี๋กวงที่ถูกต้อง ใช้อย่างนี้สะดวกกว่าเยอะเลย” เธอสะบัดเสื้อผ้าสีเขียวบนตัว จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะสาวเดินไปข้างหน้า
ที่นี่ก็คือป่าภูเขาไฟงั้นหรือ?
น่าจะยังอยู่รอบนอกกระมัง? เพราะอย่างไรในข้อมูลก็บอกไว้ว่าต้นไม้ในป่าภูเขามีค่อนข้างน้อยอีกทั้งอุณหภูมิก็สูงด้วย ทว่าที่นี่ต้อนนี้เป็นเวลากลางคืน แต่กลับสามารถมองเห็นต้นไม้และใบไม้อันอุดมสมบูรณ์ผ่านแสงจันทร์เหนือหัว สายลมกลางคืนพัดผ่านในป่า ให้ความรู้สึกเย็นสบาย ดูท่า ที่นี่คงเป็นรอบนอกของป่าภูเขาไฟ
เดินทางเพียงลำพัง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนสะดวกสบาย เธอโฉบไหวผ่านต้นไม้ในป่าด้วยฝีเท้าอันเบาหวิว เงาร่างสีเขียวราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งกับสีเขียวของผืนป่า กลางค่ำคืนหากไม่สังเกตอย่างละเอียด ก็ยากจะมองออกว่าเงาที่กำลังเคลื่อนไหวนั้นเป็นเงาร่างของคนคนหนึ่ง
เธอเขย่งปลายเท้าโฉบไหวไปข้างหน้าอย่างผ่อนคลาย ครั้นเห็นแสงไฟอยู่ข้างหน้ารางๆ กอปรกับได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน ก็อดชะลอฝีเท้าไม่ได้ เธอกระโดดขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ มองดูคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ในป่า
ในกลุ่มนั้นมีทั้งหญิงและชาย บางคนในนั้นดูเหมือนเป็นทหารรับจ้าง และคนที่เหลือก็ดูเหมือนจะเป็นนายจ้างของทหารรับจ้างเหล่านั้น คนยี่สิบกว่าคนแยกกลุ่มเป็นสองกลุ่ม นั่งล้อมกองไฟและพูดคุยกัน
เธอสังเกตเห็นว่าแม้กลุ่มนายจ้างแม้จะไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา แต่สิ่งของบนตัวไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะใส่ได้ หนำซ้ำคนเหล่านั้นดูเหมือนอายุยังไม่มาก นอกจากชายวัยกลางคนอายุยี่สิบสามสิบปีสามคน ยังมีหญิงอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีอีกสามคน รูปร่างหน้าตาของพวกเขาไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนโดดเด่นสะดุดตา
………………………………….
ตอนที่ 2008 ร่วมเดินทางในป่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์สั่งให้พวกเรามาตามหาศิลาเพลิง แต่ท่านพ่อของข้าบอกว่าศิลาเพลิงหายากมาก หนำซ้ำยังพบเห็นได้เฉพาะตอนที่มีภูเขาไฟปะทุด้วย ถึงเราจะจ้างทหารรับจ้างมาคุ้มกัน แต่ข้ารู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ข้ากลัวว่าพวกเราเข้ามาแล้วจะออกไปไม่ได้” หนึ่งในผู้หญิงสามคนเอ่ยขึ้นเสียงเบา สีหน้าดูวิตกกังวล
ในกลุ่มพวกเขา ชายหนุ่มที่ดูเหมือนอายุมากที่สุดเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัว เรื่องคราวนี้ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝนก็แล้วกัน! ใช่ว่าพวกเราเพิ่งเคยออกมาฝึกฝนข้างนอกเป็นครั้งแรกเสียที่ไหน อย่าคิดมากไปเลย”
ได้ยินอย่างนั้น หญิงสาวอีกนางแย้งขึ้น “แต่ว่า พอมาถึงสถานที่ที่อันตรายขนาดนี้ เหตุใดท่านอาจารย์จึงไม่มากับพวกเราด้วยเล่า? หากมีอะไรเกิดขึ้น อย่างนั้น…”
ทุกคนเงียบงัน ต่างไม่รู้จะพูดคำใด อาจารย์ของพวกเขาสั่งให้พวกเขาลงเขามาหาสิ่งที่เรียกว่าศิลาเพลิงในป่าภูเขาไฟแห่งนี้ นอกจากมอบของป้องกันตัวไว้ให้พวกเขาไม่กี่อย่าง ก็ไม่มีผู้ผู้อาวุโสนำกลุ่มเดินทาง และเพราะเหตุนี้ หลังจากที่พวกเขาหารือกัน จึงได้ตกลงจ้างทหารรับจ้างให้ร่วมเดินทางมาพร้อมกับพวกเขา
ทหารรับจ้างพวกนั้นได้ยินพวกเขาคุยกันก็หัวเราะ เอ่ยว่า “พวกท่านไม่ต้องกังวลนัก ตอนนี้พวกเรายังอยู่รอบนอกของป่าภูเขาไฟ แม้จะมีอันตรายก็ต้องหลังจากเข้าไปข้างในนั้นแล้ว แต่หากพวกท่านคิดว่าอันตรายเกินไป เข้าไปเดินข้างในสักหน่อยแล้วค่อยออกมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้ภูเขาไฟปะทุที่จะมีแค่ครั้งเดียวในสามเดือนเท่านั้น”
“อีกอย่าง ศิลาเพลิงนั่นอาจจะมีอยู่ที่ไหนสักที่แถวในป่าภูเขาไฟก็ได้ เพราะแต่ละครั้งที่ภูเขาไฟปะทุก็ไม่มีใครมั่นใจได้ว่าเก็บศิลาเพลิงไปได้หมด พวกท่านว่าใช่หรือไม่?”
ได้ยินบทสนทนาของกลุ่มคนข้างล่าง นัยน์ตาของเฟิ่งจิ่วไหวระริก ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
หากเธอเดินเข้าป่าไปเพียงลำพังยังต้องคลำทางไป หนำซ้ำหากบังเอิญเจอหานหรงเพียงลำพัง ไม่สู้แฝงตัวไปกับกลุ่มคนอื่นดีกว่า หากทำอย่างนั้นแม้เขาจะระวังตัวอีกแค่ไหน ก็ไม่มีทางคาดคิดว่าเธอจะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนอื่น
ครั้นความคิดนี้ผุดเข้ามาในหัว เธอก็หมายตากลุ่มคนข้างล่าง ชายหญิงหกคนนั้นดูก็รู้ว่าเป็นศิษย์ของสำนักใดสำนักหนึ่ง หากจะแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มของพวกเขา น่าจะไม่ยากกระมัง!
แววตาของเธอไหวระริก รีบใช้สมองอย่างรวดเร็ว คิดหาทางที่จะร่วมเดินทางไปกับคนพวกนี้ เพียงแต่ จะใช้วิธีไหนดีเล่า?
ประกายความคิดผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง กลีบปากของเธอคลี่ยิ้ม มองดูกลุ่มคนข้างล่างพร้อมกับเผยยิ้มประหลาด
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง คนพวกนั้นทยอยกันดับไฟแล้วออกเดินทางต่อ ทว่าข้างหลัง เฟิ่งจิ่วกำลังเดินตามอย่างไม่รีบร้อน เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสม
กระทั่งเธอเดินตามพวกเขาอยู่ในป่าเป็นเวลาสองวัน หลังจากเข้าสู่รอบใน ในที่สุดโอกาสที่รอคอยก็มาถึง
“อ้อ? ที่แท้พวกเจ้าก็ออกมาฝึกฝนหรือ ในเมื่อพวกเราจะไปป่าภูเขาไฟเหมือนกัน ไม่สู้ร่วมเดินทางไปด้วยกันเลยดีกว่ากระมัง!” ศิษย์สำนักหลายคนเสนอขึ้น เพราะเห็นอีกฝ่ายมีสามสิบสี่คน อีกทั้งหัวหน้ากลุ่มก็ยังมีพลังแข็งแกร่งกว่าพวกเขา จึงอยากร่วมเดินทางไปกับพวกเขา อย่างน้อยระหว่างทางจะได้ปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย
คนจากตระกูลเหล่านั้นเห็นว่าพวกเขาเป็นศิษย์ของสำนักดาราจักร ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ ก็คิดอยากจะผูกสัมพันธ์เช่นกัน “ก็ดีเหมือนกัน ร่วมเดินทางไปด้วยกันอย่างไรก็ปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว”
เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่คนไร้ที่มาที่ไป หากเป็นคนอื่น พวกเขาย่อมไม่มีทางเชิญมาร่วมเดินทาง แต่ศิษย์สำนักดาราจักรล้วนเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ หากผูกมิตรกับตระกูลที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาได้ ก็ถือเป็นเรื่องดีกับพวกเขาเช่นกัน
………………………………….