เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2003 ต้องคว้ามาให้ได้ ตอนที่ 2004 จุดที่อ่อนแอที่สุด
ตอนที่ 2003 ต้องคว้ามาให้ได้ ตอนที่ 2004 จุดที่อ่อนแอที่สุด
ตอนที่ 2003 ต้องคว้ามาให้ได้
“หึๆ…”
เฟิ่งจิ่วหัวเราะเบาๆ ในเสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความเย็นชา และไปไม่ถึงดวงตา เธอยืนพิงขอบประตู นัยน์ตาสุกใสกวาดมองคนสิบกว่าคนในลานสวน สุดท้ายก็หยุดจ้องที่ชายคนแรก
“งั้นหรือ? น่าเสียดาย ข้าไม่ได้ชื่นชมท่านมากนัก” เธอเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน สองมือกอดอกสายตาจับจ้องไปที่ชายคนนั้น วาจาที่เอ่ยออกจากปากกลับเป็นคำสั่งต่อคนในจวน “สังหารผู้บุกรุกเสีย!”
วาจาเรียบๆ ประโยคเดียว น้ำเสียงไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ไม่หนักไม่เบาถูกถ่ายทอดออกไปกลางค่ำคืนนี้ ความเย็นชาและไอสังหารในวาจานั้นทำให้คนของตำหนักราตรีสังหารตะลึงงัน ผู้หญิงคนนี้กลับกล้าเป็นศัตรูกับตำหนักราตรีสังหารของพวกเขา?
ขณะกำลังคิด ก็เห็นเงาร่างยี่สิบกว่าเงากรูออกมาจากรอบด้าน และพลังของคนเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับเซียนเหินขึ้นไป คนเหล่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาก็คือสมาชิกที่เฟิ่งจิ่วเคยฝึกฝนมาด้วยตนเองนั่นเอง
ตอนแรกพวกเขาแยกย้ายกันไป เพียงแต่บางคนหลังจากผ่านไปช่วงหนึ่งก็กลับมาอยู่กับเธอ และทำงานให้เธอ เพราะสำหรับผู้ฝึกตนบางคน ขอเพียงพวกเขายอมรับ ไม่ว่าที่ใดล้วนนับเป็นบ้านและที่พักพิงได้ทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของเฟิ่งจิ่ว พวกเขาลงมือโจมตีคนที่อยู่ในลานสวนทันที พวกเขาที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้วมีฝีมือและพลังต่อสู้ที่โดดเด่น พวกเขารู้ว่าจุดไหนคือจุดที่อ่อนแอที่สุดของร่างกายมนุษย์ ลงมือเมื่อใดล้วนพุ่งตรงไปยังจุดสังหาร
พลังกระบี่อันดุดันผสมกับไอสังหารกระจายไปทั่วอากาศโดยรอบ การล้อมโจมตีของคนยี่สิบกว่าคน ซ้ำยังเป็นการล้อมโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินยี่สิบกว่าคนด้วย ทำให้คนของตำหนักราตรีสังหารหน้าเปลี่ยนสี รีบต้านรับการโจมตีอย่างรวดเร็ว
สำหรับคำสั่งฆ่าของเฟิ่งจิ่ว เจ้าตำหนักราตรีสังหารกลับเพียงกระตุกมุมปาก แววตาเร่าร้อนและมุ่งมั่นที่จะคว้ามาให้ได้จ้องไปยังหญิงงามชุดแดงตรงหน้า
“ช่างถูกใจข้าจริงๆ เจ้า ข้าจะเอามาให้จงได้!”
“หึ! น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะหรือ?”
เฟิ่งจิ่วแสยะยิ้ม มือไหวผ่านเอวบาง กระบี่คมพยับพลันปรากฏ ลำแสงสีเขียวและกระแสอากาศรุนแรงรวมกันกลายเป็นพลังกระบี่อันเยือกเย็นพุ่งไปทางเจ้าตำหนักผู้นั้น
“ใช่ น้ำหน้าอย่างข้านี่แหละ!”
เขาหรี่ตา จ้องเธอด้วยสายตาสนอกสนใจ “เดิมทีคืนนี้แค่ตั้งใจมาดู แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว คืนนี้ข้าจะเอาตัวเจ้าไปด้วยให้ได้!” ขณะเอ่ย เขารวบรวมกลิ่นอายพลังวิญญาณกลางฝ่ามือ ปัดเอาพลังกระบี่ของเฟิ่งจิ่วที่พุ่งเข้ามา เบี่ยงตัวหลบ ก้าวขาลอยตัวกลางอากาศ มาหยุดยืนข้างเฟิ่งจิ่ว
“หญิงงามเห็นมานักต่อนัก แต่หญิงงามที่น่าสนใจเช่นนี้ กลับพบเห็นได้ยาก ภูตหมอ เจ้าว่าใช่หรือไม่?” เขาใช้นิ้วมือเชยคางเฟิ่งจิ่วขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันโดนตัวเฟิ่งจิ่ว ก็เห็นลำแสงสีเขียวพาดผ่าน อาการเจ็บแปลบกระจายไปทั่วท่อนแขน
“อึก!”
เขาร้องคราง รีบถอยหลังไปหลายก้าว เอียงหน้ามองแขนที่ถูกกระบี่คมพยับฟันเป็นรอยแผล ตวัดสายตาเย็นชามองเฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วเชิดคางเล็กน้อยจ้องตาเขากลับ น้ำเสียงเยาะหยันเย็นชา “ไม่ส่องกระจกชะโงกดูน้ำหน้าตัวเองบ้างเล่า เจ้ากล้าพูด แต่ข้าแทบไม่กล้าฟังอยู่แล้ว”
เจ้าตำหนักคนนั้นถูกดูแคลนเช่นนี้ สีหน้าสะดุด จ้องเธอด้วยแววตาชั่วร้าย “ปากคอเราะร้าย! หากเจ้าตกอยู่ในกำมือข้าเมื่อใดแล้วยังมีความกล้าเช่นนี้ค่อยว่ากันเถิด!”
สิ้นเสียง เขางอฝ่ามือสองข้างกลายเป็นกรงเล็บพุ่งโจมตีใส่เฟิ่งจิ่วพร้อมกับกระแสอากาศอันแข็งแกร่ง ทั้งสองปะทะกันสามสี่กระบวนท่า เขาทำท่าจะคว้าไหล่เฟิ่งจิ่วอีก แต่กลับร้องครางด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกครั้ง ใบหน้าของเขาพลันแดงก่ำขึ้นมาในพริบตา
………………………………….
ตอนที่ 2004 จุดที่อ่อนแอที่สุด
“อึก! ซี๊ด!”
เขาร้องครวญ สูดลมหายใจ เข่าสองข้างหนีบเข้าหากัน ใบหน้าแดงก่ำขณะรีบถอยกรูดไปข้างหลัง จากนั้นชี้หน้าเฟิ่งจิ่วด้วยสีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“จะ จะ เจ้าไม่ใช่ผู้หญิง!”
เขากัดฟันกรอดชี้หน้าเธอ จุดสำคัญที่อยู่กลางหว่างขาถูกเตะอย่างแรง เจ็บจนขาสั่นไปทั้งสองข้าง เหตุใดเขาจึงนึกไม่ถึง หญิงสาวที่หน้าตางดงามบุคลิกโดดเด่นเช่นนี้ กลับเตะจุดที่อ่อนไหวที่สุดของผู้ชายขณะที่กำลังประมือกับเขาอยู่อย่างนี้ นางกลับใช้การโจมตีที่หยาบช้าเช่นนี้ได้อย่างไม่ลังเล มันเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนเขาไม่มีโอกาสหลบ
“ซี๊ด!”
เขาสูดหายใจ หนีบขาสองข้างเข้าหากัน หากไม่ติดว่าอยู่ต่อหน้าคนมากมายจึงทำให้ยกมือขึ้นกุมเป้าไม่ได้ เขาคงยกมือขึ้นมากุม และลูบคลำดูว่าเจ้าสิ่งนั้นของตนเองถูกเตะจนเสียหายไปแล้วหรือไม่
เฟิ่งจิ่วหลุดหัวเราะ สายตากวาดมองหว่างขาเขาเล็กน้อย ก่อนยิ้มหยัน “เจ้าอย่าลืมว่าข้าคือภูตหมอ เจ้าคิดว่าข้าจะเตะส่งเดชไปอย่างนั้นเองหรือ?”
ได้ยินอย่างนั้น เขาหน้าเปลี่ยนสีไปทันที นัยน์ตาหดเล็กลงจ้องหน้าเธอ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” บัดซบ ลูกเตะนั่นแรงจนเขาเจ็บแทบตายอยู่แล้ว
“ก็หมายความอย่างที่พูด!” เฟิ่งจิ่วมองเขาอย่างดูแคลน “จิตใจต่ำตม สายตาหยาบช้า ข้าจึงกำจัดต้นพันธ์ชั่วร้ายของเจ้าเสีย เชื่อว่าคงเป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับเจ้า”
เขาใจหายวาบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของเธอ หรือลูกเตะนั่นเป็นจริงอย่างที่เธอว่า ยามนี้เขากลับรู้สึกว่าจุดที่อ่อนไหวที่สุดของเขาเริ่มไร้ความรู้สึกแล้ว เขาพลันตึงเครียด เอื้อมมือออกไปหมายจะโจมตีเธอ “ข้าจะจับเจ้ากลับไป! หากของข้าไม่ขัน เจ้าก็ต้องทนรับไว้!”
“เพ้อเจ้อไร้สาระ!” กระบี่ยาวในมือเฟิ่งจิ่วพลิกหมุน พลังกระบี่พุ่งออกไปอีกครั้ง เห็นเพียงพลังกระบี่สีเขียวอันคมกริบพุ่งใส่เจ้าตำหนักผู้นั้นเส้นแล้วเส้นเล่า
คนของตำหนักราตรีสังหารมีเพียงสิบกว่าคน เดิมพวกเขาไม่นึกว่านอกจากคนของหอยาสวรรค์ ที่นี่จะยังมีคนอยู่มากมายขนาดนี้ พวกเขาตั้งตัวรับมือไม่ทัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นนายท่านสู้กับภูตหมอแล้วเริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขาก็ยิ่งตื่นกลัว
กอปรกับนึกถึงผู้แข็งแกร่งระดับเซียนเหินขั้นสูงสุดคนนั้นที่ตายด้วยน้ำมือของภูตหมอ และเมื่อได้เห็นความร้ายกาจของคนพวกนี้ในคืนนี้อีก ยิ่งสู้พวกเขาก็ยิ่งกลัว แต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บ กลิ่นคาวเลือดกระจายไปทั่วอากาศ
“พลั่ก!”
เฟิ่งจิ่วหมุนตัวแล้วตวัดลูกเตะออกไป เจ้าตำหนักราตรีสังหารถูกเตะกระเด็นออกไปหลายเมตร ร่างกระแทกกับกำแพงล้มลงกับพื้น เลือกสีแดงสดกระอักออกจากปาก
“พรืด!”
เขากระอักเลือดใช้มือค้ำกำแพงลุกขึ้น และหันไปมองพวกคนที่กรูกันออกมาอีก ได้แต่กัดฟันกรอดจ้องหญิงสาวในชุดแดงเพลิงสะดุดตา “เฟิ่งจิ่ว คอยดูต่อไปเถิด!”
“ถอย!”
สิ้นเสียง ชายสิบกว่าคนถอยหนีไปในสภาพสะบักสะบอม เฟิ่งจิ่วเก็บกระบี่คมพยับหรี่ตาจ้องพวกนั้นที่หนีไป ไม่ได้ไล่ล่าแต่อย่างใด
“ภูตหมอ? ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ได้บาดเจ็บกระมัง?” ฮุยหลางกับอิ่งอีพาคนวิ่งมาหยุดข้างกายเฟิ่งจิ่ว ก่อนจะถาม
“ไม่เป็นไร” เฟิ่งจิ่วส่ายหน้า มองพวกเขา แล้วพูดอย่างประหลาดใจ “พวกเจ้ามาได้อย่างไร? ไม่ได้ไปสะสางเรื่องต่างๆ ในตำหนักยมราชหรอกหรือ?”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อไม่อยู่ทางนี้ แต่พอเขามาถึงที่นี่ ตำหนักยมราชที่กำลังขยายอำนาจอย่างลับๆ ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน ยามนี้เขาไม่อยู่ จึงสั่งให้อิ่งอีกับฮุยหลางคอยดูแลเรื่องต่างๆ ในตำหนักยมราชแทน ทว่าเวลานี้ ทั้งสองคนที่ควรอยู่ในตำหนักยมราช กลับมาอยู่ที่นี่
………………………………….