เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 440 กระบี่เกล็ดหิมะ
บทที่ 440 กระบี่เกล็ดหิมะ
บทที่ 440 กระบี่เกล็ดหิมะ
ซูอันค่อยๆ เข้าใจสถานการณ์ “ตามที่เจ้าบอกข้า การบริจาคนี้เป็นการสนับสนุนทางการเมือง พ่อค้าที่ร่ำรวยจะแบ่งปันความมั่งคั่งบางส่วนให้กับราชสำนักเป็นการแลกเปลี่ยน และราชสำนักก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาในทางที่ดี ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายได้ผลประโยชน์ แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ท่านแม่ยายเครียดได้ล่ะ?”
ฉู่ชูเหยียนอธิบายว่า “งั้นข้าขออธิบายสิ่งต่าง ๆ โดยใช้กิจการค้าเกลือเป็นตัวอย่าง ระบบการออกใบอนุญาตค้าเกลือทั้งหมดถูกออกโดยราชสำนักซึ่งมันช่วยให้ผู้ค้าเกลือบางรายประสบความสำเร็จในการผูกขาดตลาดในมณฑลนั้น ๆ และได้รับผลกำไรไปมหาศาล และราชสำนักก็คาดหวังกับผลตอบแทน พ่อค้าเกลือกลุ่มเดียวกันนี้เข้าใจดีว่าเหตุผลของความสำเร็จในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะนโยบายของราชสำนักทั้งสิ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่คัดค้านการบริจาคเหล่านี้เลย
“แต่ถ้าจู่ ๆ ราชสำนักขอเงินบริจาคทุกสองสามวันขึ้นมา มันไม่มีตระกูลไหนหรอกไม่ว่าจะร่ำรวยหรือมีอำนาจเพียงใดที่จะสามารถทานทนต่อการรีดไถที่โจ่งแจ้งเช่นนั้นได้
“ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าตระกูลฉู่ของเราเป็นเจ้าของที่ดินของเรามานานหลายศตวรรษ ความเจริญรุ่งเรืองของเราในวันนี้ไม่ได้เกิดจากความโปรดปรานใด ๆ ที่ราชสำนักมอบให้เรา แต่มาจากเหมืองเกลือและเหล็กที่เราแลกมาด้วยเลือดและหยาดเหงื่อของเราเอง อันที่จริงนี่เป็นเรื่องที่น่าใจหาย ตระกูลฉู่ของเราได้ครอบครองดินแดนนี้ตั้งแต่ก่อนราชวงศ์โจวจะได้รับการก่อตั้งซะอีก
“ไม่เพียงแต่เราไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ จากราชสำนักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ขณะนี้เรายังถูกกดดันให้บริจาคอีก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่แม่ของข้าย่อมไม่เต็มใจ”
ซูอันรู้สึกประหลาดใจ “จากน้ำเสียงของเจ้า มันเกือบจะเหมือนกับว่าตระกูลฉู่ได้ตัดสินใจที่จะเป็นกบฏแล้ว?” เขาตั้งข้อสังเกต
“อย่าพูดเรื่องไร้สาระแบบนั้น!” ฉู่ชูเหยียนตอบ มองเขาอย่างเคร่งเครียด “เราแค่ไม่พอใจเล็กน้อย สิ่งต่าง ๆ ยังไม่ดำเนินไปถึงจุดนั้น นอกจากนี้ราชสำนักยังมั่งคั่งและมีอำนาจ แม้ว่าเราจะมีความคิดเช่นนั้น การทำตามนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรนหาที่ตาย”
“แต่ข้าคิดว่าการวางตัวของตระกูลเจ้ามันเป็นเหมือนหอกข้างแคร่ของราชสำนัก” ซูอันถอนหายใจ “ถ้าข้าเป็นจักรพรรดิ ข้าจะกำจัดพวกเจ้าก่อน”
“จริง ๆ แล้ว ยังมีอีกสองสามตระกูลที่เป็นเช่นเรา และจักรพรรดิไม่สามารถกำจัดได้เพียงเพราะต้องการให้พวกเขาหายไป ถ้าทำเช่นนั้น คนทั้งอาณาจักรจะลุกขึ้นก่อกบฏได้อย่างง่ายดาย” ฉู่ชูเหยียนตอบ “นี่คือเหตุผลที่จักรพรรดิสามารถดำเนินการบ่อนทำลายผ่านระบบกฎหมายได้เท่านั้น ซ่างหงมาที่นี่เพื่อรับหน้าที่นี้อย่างเห็นได้ชัด พวกเขาจับตาดูเหมืองเกลือและเหล็กของเรา แต่พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดอย่างโจ่งแจ้งได้
“ทั้งสองฝ่ายจะต่อสู้ต่อไปอย่างลับ ๆ เพื่อรอดูว่าใครจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย”
แม้ว่าเสียงของฉู่ชูเหยียนยังคงสงบราบเรียบ แต่คิ้วของนางก็ค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันด้วยความกังวล
ซูอันถูกบังคับให้เสนอความคิดเห็นของเขา “ดังคำกล่าวที่ว่า ‘กิ่งก้านของต้นไม้ย่อมอยู่ในความเมตตาของรากเสมอ’ ข้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตระกูลฉู่ของเจ้ากำลังเดินไปตามเส้นทางแห่งความพินาศ”
ฉู่ชูเหยียนหรี่ตาลง “แน่นอนว่าเรารู้เรื่องนั้นดี แต่เราไม่สามารถปล่อยให้รากฐานที่บรรพบุรุษของตระกูลฉู่สร้างขึ้นพังทลายลงในยุคของเราใช่ไหม? นี่เป็นเหตุผลที่เราต้องพยายามอย่างเต็มที่ นี่คือความภาคภูมิใจและความจงรักภักดีที่เรายึดมั่นต่อตระกูลของเรา”
ซูอันตกตะลึง ใบหน้าของนางดูเปล่งประกายเจิดจ้าแบบแปลก ๆ ขณะที่นางพูด
โลกก่อนหน้านี้ของเขาไม่ค่อยมีตระกูลแบบนี้ ดังนั้นจึงค่อนข้างยากที่ชายหนุ่มจะเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ นี่เป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับเขา
หากเป็นคำถามเกี่ยวกับศีลธรรม ไม่ว่าจักรพรรดิ ราชสำนัก หรือตระกูลฉู่ ก็ไม่มีใครผิด พวกเขาทั้งหมดมีแรงจูงใจและวัตถุประสงค์ของตนเอง สุดท้ายเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน
“ยังไงก็ตามเรื่องของชิวฮัวเล่ยคืออะไร? ทำไมจู่ ๆ นางถึงส่งบัตรเชิญมาให้เจ้า?” ฉู่ชูเหยียนถาม นางจ้องมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ
“ข้าไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน แต่ไม่ต้องกังวลไปไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างข้ากับนาง ข้ายังต้องทำให้ตัวเองขาวสะอาดเพื่อประโยชน์ของเจ้า!” ขณะที่ซูอันพูดเช่นนี้ ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าระหว่างเขากับเสวี่ยเอ๋อร์มันมีอะไรเกิดขึ้นไปแล้วนี่นา เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มก็กลัวว่าตัวเองจะถูกฟ้าผ่าตายจากการพูดปดครั้งมโหฬารทันที
แต่เจ้าก็เป็นคนยกเสวี่ยเอ๋อร์ให้ข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? เอาเข้าจริง ข้าไม่ได้พูดปดหรือทำตัวแปดเปื้อน หรือทำให้ฉู่ชูเหยียนผิดหวังตรงไหนเลย
ความชอบธรรมของเขาก็พุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้งทันที
“ทำให้ตัวขาวสะอาดเพื่อข้า?” ฉู่ชูเหยียนเยาะเย้ย “เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นนางใช่ไหมที่ทิ้งรอยชาดทาปากเอาไว้?”
ซูอันกัดฟันเงียบ ๆ
ทำไมเจ้ายังจำมันได้อีกเนี่ย?
ฉู่ชูเหยียนถอนหายใจแล้วพูดว่า “วันนี้เจ้าอย่าเตร่ออกไปไหนอีกนะ เฉินเซวียนพยายามลอบสังหารเจ้าเมื่อเช้านี้ อย่าเอาตัวเองออกไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น”
ขณะที่นางพูด ก็หยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าด้านในแล้วยื่นส่งให้เขา “สิ่งนี้ข้าให้เจ้า หากเจ้าว่างแล้วเบื่อ ๆ เจ้าก็ลองเอามันไปฝึกฝนดู มันอาจจะช่วยทำให้เจ้าปลอดภัยมากขึ้นจากเฉินเซวียน”
“มันคืออะไร?” ซูอันนิ่งอึ้ง เขาเอื้อมมือไปรับหนังสือเล่มนั้นมา บนหน้าปกมีคำว่า ‘กระบี่เกล็ดหิมะ’
“นี่…” ซูอันรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเล่มหนังสือนี้ นี่ไม่ใช่ทักษะที่สำคัญที่สุดของตระกูลเหรอ?
ฉู่ชูเหยียนหน้าแดง นางเบือนหน้าหนีเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องมองของเขา และแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ อย่างเกินจริง “ข้าแค่ไม่อยากให้เฉินเซวียนฆ่าเจ้า ถ้ามันเกิดขึ้นจริง จะไม่มีใครคอยรักษาข้าอีกต่อไป”
ซูอันหัวเราะอย่างเต็มที่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเก็บคัมภีร์วิชากระบี่เกล็ดหิมะเอาไว้ในอกเสื้อ “ข้าสัญญาว่าจะใช้สมบัติล้ำค่านี้อย่างคุ้มค่าแน่นอน”
ฉู่ชูเหยียนพยักหน้า พอใจที่เห็นเขาเก็บมันอย่างระมัดระวัง “ศึกษามันด้วยตัวเจ้าเองก่อน และถ้าหากมีจุดไหนที่เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าสามารถมาถามข้าได้ ข้าศึกษามันจนละเอียดแล้ว ดังนั้นข้าจึงมีประสบการณ์มากกว่าเจ้า”
ซูอันทุบอกของเขาและพูดว่า “อย่าห่วงไปเลย! เจ้าไม่รู้หรอกว่าสามีของเจ้าเก่งแค่ไหน! ไม่มีทางที่ข้าจะไม่เข้าใจมัน เจ้าเผลอแปบเดียวข้าก็ฝึกสำเร็จแล้ว!”
ฉู่ชูเหยียนมองเขาอ้าปากค้าง
พรสวรรค์ในการบ่มเพาะของชายผู้นี้ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง? อีกฝ่ายอยู่แค่ชั้นเรียนสีเหลืองเอง เขาจะฝึกมันสำเร็จได้ง่าย ๆ ได้ยังไง!
ขี้โม้!
แต่ฉู่ชูเหยียนเลือกที่จะไม่พูดอะไรเพื่อไม่ให้เป็นการบั่นทอนกำลังใจของเขา นางคิดว่าหลังจากนี้ตัวเองจะคอยชี้แนะเขาให้ดีที่สุดเมื่อเขาต้องการ
“เจ้าต้องดูแลคัมภีร์ลับนี้ให้ดีที่สุด ห้ามทำมันหายโดยเด็ดขาด” ฉู่ชูเหยียนเตือนเขา นางคิดว่ามันเป็นไปได้ที่ผู้ชายคนนี้อาจจะเตร่ไปทั่วแล้วทำของสำคัญหายได้
ซูอันสะกิดคางของนางด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา “ว่าแต่คัมภีร์นี้เป็นวิชาลับที่สำคัญของตระกูลฉู่ไม่ใช่หรือไง? เจ้าไม่ประมาทไปหน่อยเหรอที่ปล่อยให้คนนอกอย่างข้าเรียนรู้มัน?”
ฉู่ชูเหยียนหดตัวหนีการสะกิด ท่าทางของนางดูค่อนข้างอึดอัด “หยุดคิดเรื่องไร้สาระ เจ้าเป็นนายน้อยของตระกูลฉู่ ดังนั้นจึงไม่ใช่คนนอก มันไม่ใช่เรื่องผิดที่เจ้าจะเรียนรู้มัน ตราบใดที่เจ้า…ตราบใดที่เจ้าไม่เอาไปสอนผู้หญิงคนอื่น!”
คิ้วของซูอันกระตุก “เจ้าหึงเหรอ?”
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดอีก ข้าจะไปแล้วนะ” ฉู่ชูเหยียนหมุนส้นเท้า หน้าของนางแดง เห็นได้ชัดว่านางไม่คุ้นเคยกับการพูดจาเย้าแหย่เช่นนี้
“รอเดี๋ยว!” ซูอันรีบคว้ามือนางไว้ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ จางลงจนเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “ตระกูลฉู่ดูค่อนข้างลำบากใจกับเรื่องเงินบริจาคนี้ เจ้าต้องการเงินเท่าไหร่? ข้ายังพอมีอยู่บ้าง มันน่าจะเพียงพอที่จะช่วยให้ตระกูลฉู่ผ่านเรื่องนี้ไปได้”
ฉู่ชูเหยียนสะบัดแขนโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่สามารถสลัดมือเขาออกได้ ดังนั้นนางจึงปล่อยให้เขาจับมือไว้ “เก็บเงินนั่นไว้สำหรับตัวเจ้าเองเถอะ ตระกูลฉู่ไม่ได้ลำบากจนต้องใช้เงินส่วนตัวของลูกเขยเพื่อกอบกู้สถานการณ์ของเราเอง”
ใบหน้าของซูอันเหี่ยวเฉาเล็กน้อย
ทำไมคำพูดนี้มันฟังดูแปร่ง ๆ? มันเกือบจะเหมือนกับคำพูดที่ชายหนุ่มสมัยก่อนพูด เช่น ‘ข้าจะไม่ใช้สินสอดทองหมั้นของเจ้าสาวของข้า!’ หรืออะไรทำนองนั้น
เมื่อเห็นการแสดงออกของเขา ฉู่ชูเหยียนก็คิดว่านางทำร้ายความภาคภูมิใจของอีกฝ่าย
“เจ้าอย่าคิดไปไกล ปัญหาของตระกูลฉู่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงินของเจ้า ดังนั้นต่อให้เจ้าเอามาให้พวกเรา มันก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้” นางรีบเอ่ยขึ้น “ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ลำบากขึ้นกว่าเดิมเพราะธุรกิจอาวุธของเราได้รับผลกระทบอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของเราอย่างหนัก”
“ยิ่งไปกว่านั้น เกิดการค้าเกลือที่ผิดกฎหมายขึ้น ดังนั้นตระกูลฉู่ของเราจึงประสบปัญหาแม้กระทั่งการขายเกลือของเรา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมากกว่า”