เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 402 ข้าควรช่วยดีหรือเปล่า?
บทที่ 402 ข้าควรช่วยดีหรือเปล่า?
บทที่ 402 ข้าควรช่วยดีหรือเปล่า?
“พวกเจ้าไม่ได้ส่งให้ข้า แต่ข้าก็ได้มาไม่ยาก การที่เราจะฉกฉวยของบางอย่างเพื่อตัวเองเป็นเรื่องผิดหรือไง?” ชายร่างกำยำยักไหล่ เขาดูไม่สะทกสะท้านราวกับว่าการกระทำของตัวเองเป็นเรื่องปกติ
ผู้คนภายในหอสุขนิรันดร์เกิดความโกลาหลทันที อันธพาลคนนี้กล้าทำกล้ารับการกระทำดังกล่าวอย่างเปิดเผยและไม่มีความละอายเลยแม้แต่น้อย!
คนที่ฉลาดกว่าบางคนในฝูงชนได้ตระหนักถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หอสุขนิรันดร์จะส่งบัตรเชิญให้กับบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับเท่านั้น หากอันธพาลกลุ่มนี้สามารถขโมยบัตรเชิญมาได้อย่างง่ายดาย มันก็แสดงว่าความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา
การแสดงออกของผู้ดูแลหอสุขนิรันดร์เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ คำพูดของอันธพาลผู้นี้เหมือนกับการตบหน้าเขาอย่างโจ่งแจ้ง “หอสุขนิรันดร์แห่งนี้ไม่ต้อนรับคนอย่างพวกเจ้า! ข้าคงต้องขอให้พวกเจ้าทั้งหมดออกไปจากที่นี่!” ผู้ดูแลพูดอย่างเย็นชา
“หืม? กลัวพวกข้าไม่มีเงินเหรอ?” ชายผมแดงโยนถุงผ้าลงบนโต๊ะ เสียงแท่งเงินหนัก ๆ กระทบโต๊ะอย่างคุ้นเคย
การทำเช่นนี้ทำให้หวางหยวนหลงเยาะเย้ย “พวกโง่ก็เป็นพวกโง่เสมอ พวกเราใช้จ่ายกันอย่างหนัก ตัวเลขที่สูงขนาดนี้ใครจะโง่พอที่จะนำเงินจริงมาใช้จ่าย? พวกเราทุกคนมาพร้อมกับตั๋วเงิน”
“ไอ้หนู! เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ชายผมแดงโกรธจัดราวกับถูกมีดแทง เขาคว้าจานอาหารแล้วเขวี้ยงใส่หน้าหวางหยวนหลง
หวางหยวนหลงหลบได้ในทันที แม้ว่าเขาจะไม่ใช่อัจฉริยะในการบ่มเพาะ แต่สถานะของชายหนุ่มคนนี้ในฐานะนายน้อยของตระกูลหวางก็ทำให้เขาไม่เคยขาดแคลนทรัพยากรการบ่มเพาะ ความมั่งคั่งยังคงสามารถหล่อเลี้ยงระดับความแข็งแกร่งได้เสมอ
ทว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นเร็วเกินไป แม้ว่าหวางหยวนหลงจะหลีกเลี่ยงไม่ให้จานกระทบใบหน้าได้สำเร็จ แต่อาหารก็ยังกระจัดกระจายไปทั่วตัวเขา ทำให้ในเวลานี้ หวางหยวนหลงอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช
“จองหอง…จองหองเกินไปแล้ว!”
หวางหยวนหลงโกรธจนตัวสั่น
ผู้ดูแลของหอสุขนิรันดร์ไม่สามารถทนดูเรื่องนี้ต่อไปได้ เขาสั่งให้คนของตัวเองลงมือทันที แต่โชคไม่ดีที่ผู้คุ้มกันที่แข็งแรงของเขาทั้งหมดกลับถูกลูกน้องของชายผมแดงทุบตีอย่างน่าอนาถ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใกล้ชายคนนั้นได้ด้วยซ้ำ
ชายผมแดงไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมอง เขาหยิบเมล็ดแตงโมกองหนึ่งจากจานข้าง ๆ โยนเข้าปาก จากนั้นก็ถ่มเปลือกทิ้งไปทุกที่ “นี่มันเรื่องระหว่างเราสองคน แล้วทำไมเจ้าถึงต้องลากคนอื่นเข้ามาด้วย? ถ้าเจ้ามีความสามารถ ทำไมเจ้าไม่ลองจัดการกับข้าดูล่ะ?”
สีหน้าท่าทางของหวางหยวนหลงนั้นแย่มาก เขาไม่ได้โง่ ด้วยความเร็วที่ชายผมแดงขว้างจานใส่เขา และคำนึงถึงความแข็งแกร่งของลูกน้องของอีกฝ่าย ทั้งหมดล้วนชี้ว่าพวกอันธพาลเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าเขา
บัตรเชิญอนุญาตให้ผู้ถือพาแขกมาได้เพียงคนเดียว ดังนั้นลูกน้องของหวางหยวนหลงทั้งหมดจึงยังคงอยู่ข้างนอก ถ้าเริ่มการต่อสู้กันจริง ๆ คนที่พ่ายแพ้ย่อมเป็นเขา
ทว่าถ้าเขาถอยหนี เขาจะรักษาภาพลักษณ์ในเมืองจันทร์กระจ่างได้ยังไง? จะมีใครมานับถือเขาอีก?
เขาคงไม่มีศักดิ์ศรีเหลือแล้ว!
วันนี้เป็นงานชุมนุมคณิกาด้วย ถ้าหากหวางหยวนหลงคนนี้ต้องอับอายภายใต้สายตาของชิวฮัวเล่ย เขาคงต้องร้องไห้จนไม่มีน้ำตาเหลือให้หลั่งอีกต่อไป!
ขณะที่หวางหยวนหลงพยายามหาทางออกจากสถานการณ์อยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงแทรกเข้ามาพร้อมการเยาะเย้ย “หืม? พี่ชายผู้นี้ดูไม่คุ้นหน้าเลย ข้าเดาว่าท่านคงไม่ได้ออกงานสังคมมากนักใช่ไหม?”
ซูอันตกตะลึง ฉู่อวี้เฉิงไม่ได้ยุ่งอยู่กับแม่สาวหมีของเขาอยู่เหรอ? ทำไมจู่ ๆ เขาก็แกว่งเท้าหาเสี้ยน? นี่ดูไม่เหมือนเขาเลย
เมื่อสังเกตเห็นความสับสนในแววตาของซูอัน ฉู่ฮงไฉก็อธิบายทันที “ตระกูลฉู่ของเราอยู่ในธุรกิจเกลือ และเราแลกเปลี่ยนเกลือของเรากับเมล็ดพืชของตระกูลหวางอยู่บ่อย ๆ พี่อวี้เฉิงทำงานอย่างใกล้ชิดกับตระกูลหวางมานาน และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหวางหยวนหลง”
เขาลุกขึ้นยืนขณะพูด เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ชายผมแดงคนนั้นทำให้ฉู่อวี้เฉิงลำบาก
ซูอันส่ายหัว ท่านแม่ยาย ท่านรู้บ้างหรือเปล่าว่ามีอะไรเกิดขึ้นในตระกูลฉู่บ้าง! ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลักกับกิ่งสายรองและกิ่งสายที่สามนั้นถึงแม้ว่าจะไม่แย่นัก แต่สายรองและสายที่สามกลับแนบแน่นจนเป็นพวกเดียวกันไปแล้ว!
“พี่อวี้เฉิง!” เมื่อเห็นว่าฉู่อวี้เฉิงสนับสนุนเขา หวางหยวนหลงก็เกือบจะน้ำตาไหล
ฉู่อวี้เฉิงไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบ ชายผมแดงกลอกตาทันทีและพูดว่า “ไอ้หมูตอนนี่มาจากไหน? ถ้ายังไม่อยากถูกเชือด ก็อย่ามายุ่งเรื่องของเรา!”
ฉู่อวี้เฉิงหายใจไม่ออก ปกติแล้วเขาค่อนข้างภูมิใจกับขนาดตัวของเขา และคิดเอาเองว่าความบวมพองด้วยไขมันของร่างกายมีความหมายเท่ากับความหนาแน่นด้วยกล้ามเนื้อ
ชายผู้นี้กล้าเรียกเขาว่าหมูตอนต่อหน้าเขา ฉะนั้นแล้วฉู่อวี้เฉิงคนนี้จะปล่อยให้เรื่องจบไปได้ยังไง?
“ข้าจะฆ่าเจ้าและฉีกเนื้อเจ้าเป็นชิ้น ๆ!” ฉู่อวี้เฉิงคำรามด้วยความโกรธพร้อมกับพุ่งเข้าไปซัดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของชายผมแดง
ลูกน้องของชายผมแดงรีบวิ่งมาปกป้องลูกพี่ของตัวเองทันที และในขณะเดียวกัน ฝูงชนก็ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ซูอันรีบไปที่ด้านข้างของฉู่ฮงไฉ “เจ้าจะไม่ช่วยเขาเหรอ?” เขาถามอย่างร้อนรน
“ไม่จำเป็น” ฉู่ฮงไฉกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและมั่นใจ กระบี่ของเขายังคงอยู่ดีในมือของชายหนุ่ม
ในช่วงเวลาที่พวกเขาแลกเปลี่ยนถ้อยคำเหล่านี้ ฉู่อวี้เฉิงได้พุ่งเข้าไปเหมือนหมูป่ากระแทกคู่ต่อสู้ของเขากระเด็นกระดอนไปทุกที่
“น่าสนใจเหมือนกันนะเนี่ย” ชายผมแดงทำเสียงประหลาดใจ
ชายผมแดงลุกขึ้นโดยไม่คาดคิด และเตะส่งเก้าอี้ที่เขาเพิ่งนั่งพุ่งไปขัดขาของฉู่อวี้เฉิงที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้อีกฝ่ายที่กำลังได้เปรียบสะดุดล้มลง
ชายผมแดงหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “มีพลังมากจะมีประโยชน์อะไร ถ้าไม่รู้วิธีใช้มัน? หมูอ้วนย่อมเป็นหมูอ้วนเสมอ”
ดวงตาของฉู่อวี้เฉิงแดงก่ำราวกับเลือด เขาคำรามอย่างโกรธจัด ในขณะที่พุ่งเข้าหาชายผมแดงที่ดูถูกเขาอีกรอบ
คราวนี้ชายผมแดงไม่ยอมอยู่เป็นเป้านิ่ง เขาพลิกโต๊ะให้ล้มไปอีกด้านแล้วกระโดดไปข้างหน้า จากนั้นเขวี้ยงฝักดาบในมืออีกข้างหนึ่งพุ่งเข้าหาใบหน้าของฉู่อวี้เฉิง
“ระวัง!” ฉู่ฮงไฉไม่อาจอยู่นิ่งได้อีกต่อไป จากการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เขาสามารถบอกได้ว่าระดับการบ่มเพาะของบุคคลนี้สูงกว่าทั้งเขาและฉู่อวี้เฉิงมาก พี่อวี้เฉิงกำลังจะมีปัญหา!
เขารีบชักกระบี่ออกมาแล้วกระโดดเข้าไปขวาง และแทงกระบี่ไปที่ชายผมแดง
ซูอันที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางการทะเลาะวิวาท รู้สึกขัดแย้งเล็กน้อย นี่ข้าควรช่วยพวกเขาไหม?
ฉินหว่านหรูดูเหมือนจะระแวงตระกูลสายรองและสายที่สามอยู่แล้ว นางอาจจะอยากกำจัดคนพวกนี้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เจอหน้ากันวันนี้ทั้งสองคนนี้คอยดูแลข้าอย่างกระตือรือร้น ถ้าไม่ช่วยพวกเขาก็คงจะไม่ใช่ข้าแล้ว!