เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 178 วิชาร่างก้าวทานตะวัน
บทที่ 178 วิชาร่างก้าวทานตะวัน
เมื่อเห็นมี่เหลียนอิ๋นโมโหแทนตัวเอง ซูอัน ก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา “ผู้อาวุโสโปรดระงับ อารมณ์เถอะ ทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงหลุมพรางที่ภรรยาของข้าใช้เพื่อล่อให้ หยวนเหวินตง ติดกับเท่านั้น ไม่ว่ายังไงข้าก็ประลองเป็นคนสุดท้ายอยู่แล้ว มันมีโอกาสสูงมากที่ข้าไม่จำเป็นต้องขึ้นไปต่อสู้”
มี่เหลียนอิ๋นส่ายหน้า “คราวนี้มันแตกต่างออกไป รอบนี้ตระกูลหยวนเตรียมการมาพร้อมเป็นอย่างมาก มันมีความเป็นไปได้สูงที่เจ้าจะต้องต่อสู้เช่นกัน เอาเป็นว่าข้าจะให้วิชาตัวเบาแก่เจ้าเพื่อที่อย่างน้อยเจ้าจะได้สามารถป้องกันตัวเองได้บนเวทีประลอง”
ซูอัน ผงะไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะร้องออกมาในทันใด “ผู้อาวุโส ท่านช่างเมตตาข้าเหลือเกิน”
มี่เหลียนอิ๋น ยิ้มและตอบกลับ “ข้าไม่มีอะไรมากที่ข้าหวังในชีวิตนี้ ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะสามารถเติมเต็มความผิดพลาดในอดีตของข้า ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าสูญเสียแขนหรือขาได้”
เจ้าต้องล้อเล่นแน่ ๆ มันไม่ง่ายเลยที่ข้าจะหาคนที่เหมาะสมเหมือนเจ้าได้ ดังนั้นข้าจะปล่อยให้ไอ้หนูหยวนเหวินตงนั่นทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนตัวเจ้าได้ยังไง!
ซูอัน ที่ไม่รู้ว่า มี่เหลียนอิ๋น มีความคิดชั่วร้ายอยู่ในใจ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจ กับความเมตตาของอีกฝ่าย มีเพียงไม่กี่คนที่ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีตั้งแต่เขามายังโลกนี้ และมี่เหลียนอิ๋นก็เป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
มี่เหลียนอิ๋นกระแอมและพูดว่า “เอาเป็นว่าเพื่อความปลอดภัยของเจ้าข้าจะสอนวิชาตัวเบาดี ๆ ให้เจ้าก็แล้วกัน วิชาตัวเบาที่ข้าจะสอนมีชื่อว่า ‘วิชาร่างก้าวทานตะวัน’ มันไม่ต้องการพลังชี่ มากนักในการใช้งาน แต่อำนาจของมันนั้นนับได้ว่ายอดเยี่ยม สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์สักหน่อย ฝึกราวครึ่งปีก็คงสำเร็จไปถึงขั้นต้น แต่น่าเสียดายที่เรามีเวลาไม่มากขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม 2 วันมันก็น่าจะเพียงพอสำหรับฝึกเอาไว้ซึ่งมันน่าจะพอที่จะรับมือกับ หยวนเหวินตง ได้อย่างไม่ยากเย็น”
ซูอัน รู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ผู้อาวุโส ทำไมวิชานี้มันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่? พวกวิชาระดับสูงทั้งหลายมันควรจะใช้พลังชี่จำนวนมหาศาลในการใช้งานไม่ใช่หรือ?”
มี่เหลียนอิ๋นหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าไม่ต้องกังวลข้าไม่ได้พูดล้อเล่น สาเหตุที่วิชาตัวเบานี้ใช้พลังชี่แค่เล็กน้อย มันเป็นเพราะมันถูกสร้างมาเพื่อคนบางจำพวกเท่านั้น ซึ่งสำหรับเจ้ามันไม่มีปัญหาเลย…”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ มี่เหลียนอิ๋น ก็เหลือบมองที่เป้าของ ซูอัน และเอ่ยขึ้นต่อ “คนส่วนใหญ่ไม่มีทางฝึกได้แต่เจ้าสามารถฝึกได้!”
ซูอัน กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง นี่มันหมายความว่ายังไง?
มี่เหลียนอิ๋น กระแอมเบา ๆ และเปลี่ยนประเด็น “เอาล่ะตอนนี้เจ้าทำสมาธิให้ดี ข้าจะบอกเคล็ดวิชาให้เจ้ารู้เดี๋ยวนี้ วิชาร่างก้าวทานตะวัน, ขั้นแรก…”
ประมาณสองชั่วโมงต่อมา ซูอัน เริ่มเคลื่อนตัวจากซ้ายไปขวาครั้งแล้วครั้งเล่า ปล่อยให้ มี่เหลียนอิ๋น มองเขาด้วยสายตาสับสนจนอดไม่ได้ที่จะร้องถามขึ้น “นี่เจ้ารู้จัก วิชาร่างก้าวทานตะวัน มาก่อนหรือไง?”
ซูอัน ส่ายหัวและตอบกลับอย่างไร้เดียงสา “ไม่แน่นอนข้าไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อน ด้วยซ้ำ”
“ถ้างั้นเจ้าบรรลุมันอย่างรวดเร็วแบบนี้ได้ยังไง? เจ้ารู้ตัวรึเปล่าว่าตอนนี้เจ้าสำเร็จขั้นต้นของวิชาไปเรียบร้อยแล้ว!” มี่เหลียนอิ๋นอุทาน
“เอ๊? นี่ข้าเก่งขนาดนั้นเลยหรือ” ซูอัน ถามกลับด้วยสีหน้าเขินอาย มี่เหลียนอิ๋น ไม่สนใจคำพูดไร้สาระของ ซูอัน ไอ้คนที่มีแต่คนดูถูกหาว่าเป็นขยะประจำเมืองมันจะมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะถึงระดับนี้ได้ยังไง? มันเป็นไปไม่ได้จริงไหม?
เขาคิดได้เพียงคำอธิบายเดียวในท้ายที่สุด “ช่างเถอะ ๆ บางทีร่างกายของเจ้ามันอาจเหมาะกับวิชาตัวเบานี้เหนือกว่าทุก ๆ คนที่เขาเคยรู้จักก็ได้ดังนั้นเจ้าก็เลยสำเร็จวิชาได้เร็วเหนือกว่าทุกคน ที่ข้าเคยเห็นมา เอาเป็นว่ามันถือเป็นเรื่องดี ด้วยวิชาตัวเบานี้ที่เจ้าสำเร็จขั้นต้นมันเพียงพอแน่นอนสำหรับเอาชีวิตรอดจาก หยวนเหวินตง แต่ว่าเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดีห้ามบอกใครเกี่ยวกับวิชาตัวเบานี้เด็ดขาด โดยเฉพาะชื่อของมันไม่งั้นมันจะเป็นการดึงภัยร้ายมาสู่ตัวของเจ้าในทันที!”
ซูอัน พยักหน้าตอบอย่างเร่งรีบ “ได้ ๆ ข้าเข้าใจแล้วผู้อาวุโส”
ดูเหมือนว่า มี่เหลียนอิ๋น จะพยายามซ่อนตัวสินะ? ไม่งั้นเขาคงไม่มาเป็นคนสวนอยู่ในตระกูลฉู่หลายปีแบบนี้จริงไหม?
เมื่อได้ยิน ซูอัน ตกปากรับคำเป็นอย่างดี มี่เหลียนอิ๋น จึงเดินออกไป
ซูอัน ยังคงฝึกฝนวิชาร่างก้าวทานตะวัน ต่อไป แต่ในไม่ช้าความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเขา ทักษะการเคลื่อนไหวนี้คาดเดาไม่ได้และรวดเร็วจนเหนือล้ำสุดขีดหากใช้เพื่อป้องกันและหลบหลีกเพียงอย่างเดียวมันคงจะน่าเสียดายมาก ๆ แต่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าเอามันมาใช้เพื่อโจมตีศัตรู?
ซูอัน คิดไปถึง 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างความเสียหายสูงสุดให้กับ ฝ่ายตรงข้ามด้วยความเร็วอย่างฉับพลันในโจมตีแบบประชิดตัว ถึงแม้ว่ามันจะมีช่องว่างมากมาย ในสายตาของมือกระบี่ระดับสูง แต่ถ้าผู้ใช้สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วพอ ช่องว่างเหล่านั้นก็จะถูกลบหายไปในทันที
แค่คิดแค่นี้ก็ทำให้ ซูอัน รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาดังนั้นเขาจึงเริ่มฝึกเอา ’13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน’ และ ‘วิชาร่างก้าวทานตะวัน’ มาผสมรวมกัน ก่อนหน้านี้ 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ดูค่อนข้างซ้ำซากจำเจและตรงไปตรงมา แต่เมื่อรวมเข้ากับ วิชาร่างก้าวทานตะวัน แล้วแสงแวววาวจากคมกระบี่ก็เริ่มปรากฏขึ้นไปทั่วหน้าเรือนของเขาสวนด้วยวิถีที่คาดเดาไม่ได้ ถ้ามีใครเดินเข้าไปในสวนตอนนี้ พวกเขาจะเห็นเพียงเงาของคมกระบี่ตวัดไปมารอบ ๆ ซึ่งพวกเขาจะต้องกลัวจนขนหัวลุกแน่นอน
ทันใดนั้น ซูอัน สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา เขารีบหยุดกระบี่ของเขา ซึ่งหลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ ทหารยามสองคนก็รีบวิ่งเข้ามาถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “นายน้อย ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ทหารยามเหล่านี้คือคนที่ ฉู่จงเทียน มอบหมายหน้าที่ให้มาปกป้อง ซูอัน หลังจากเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารเมื่อไม่นานมานี้
“ข้าสบายดี ข้าแค่กำลังฝึกเพลงกระบี่ของข้าอยู่” ซูอัน เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา ในขณะที่เขายิ้มให้กับเหล่าทหารยาม
“อ…อ้อ ถ้างั้นพวกเราไม่รบกวนท่านแล้ว”
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ทหารยามก็รีบถอยกลับออกไป
“ร่างกายของนายน้อยของเราช่างอ่อนแอจริง ๆ แค่ฝึกกระบี่พื้นฐานเขาก็เหงื่ออกจนท่วม ตัวแล้ว”
“แต่ว่าเมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงฟันกระบี่ชัดเจนมาก ๆ ราวกับยอดฝีมือกำลังร่ายรำกระบี่ มันไม่ใช่นายน้อยหรือไงที่เป็นคนทำ? หรือว่าข้าหูแว่วไปเอง?”
“โธ่ เจ้าคงจะเครียดเกินไปช่วงนี้ เจ้าคิดว่ามันเป็นไปได้หรือไงที่นายน้อยของเราจะเป็นยอดมือกระบี่?”
“ข้าก็ว่างั้น”
…
ใบหน้าของ ซูอัน มืดลงเมื่อได้ยินเสียงกระซิบกันเองของพวกทหารยาม ดูเหมือนว่าเขาจำเป็นต้องสร้างชื่อเสียงของเขาจริงๆ
ในตอนแรกเขายังคงกังวลเกี่ยวกับ งานประลองระหว่างตระกูล แต่ตอนนี้เขามั่นใจมากขึ้นเนื่องจากการผสมรวมกันระหว่าง วิชาร่างก้าวทานตะวัน และ 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน มันส่งผลให้เพลงกระบี่ที่เขาคิดค้นขึ้นทรงพลังเป็นอย่างมากและมันชวนให้เขานึกถึง เพลงกระบี่ปราบมาร จากนวนิยายกระบี่เย้ยยุทธจักรที่ ลิ้มเพ้งจือ เป็นคนใช้มันช่วงท้ายของเรื่อง
แต่ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นแข็งค้าง เพราะเขาเพิ่งคิดได้ว่าตอนนี้เขาฝึกวิชา ที่มีชื่อ ‘ดอกทานตะวัน’ อยู่ในชื่อของวิชาด้วย และ มี่เหลียนอิ๋น ก็เพิ่งพูดเอาไว้ว่าทักษะนี้ไม่ใช่ทุกคนจะเรียนรู้ได้พร้อมกับมองมาที่เป้ากางเกงของเขา…
หรือว่า!
บัดซบเอ๊ย! นี่มันเหมือนกับคัมภีร์ทานตะวันในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรอีกเหมือนกันไม่ใช่ หรือไง!?
**คัมภีร์ทานตะวัน คือหนึ่งในสุดยอดวิชาตลอดกาลในนิยายกระบี่เย้ยยุทธจักรซึ่งในนิยายกล่าวเอาไว้ว่ามันถูกคิดค้นขึ้นโดยขันทีเฒ่าลึกลับผู้หนึ่ง ผู้ที่จะฝึกสุดยอดเคล็ดวิชานี้ได้จะต้องเป็นผู้ชายที่มีสภาพเป็นขันทีเท่านั้นและเมื่อยิ่งฝึกไปความคิดอ่านรวมไปถึงกิริยาท่าทางของผู้ฝึกก็จะเริ่มเบี่ยงเบนเป็นสาวประเภทสองไปเรื่อย ๆ แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีข้อเสียต่อความเป็นชายอย่างยิ่งยวด ตงฟางปุ๊ป้าย ก็ยังยินดีที่จะฝึกมันเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งเหนือกว่าชาวยุทธทั้งใต้หล้า…**
**เพลงกระบี่ปราบมาร คือเพลงกระบี่ที่มีรากเหง้ามาจาก คัมภีร์ทานตะวันฉบับไม่สมบูรณ์อีกทีดังนั้นผู้ที่จะฝึกมันให้สำเร็จได้ก็ต้องละทิ้งความเป็นชายเหมือนกัน….**
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ ซูอัน ก็รีบโยนกระบี่ในมือออกไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
นี่ข้าควรจะฝึกต่อไปอีกดีไหมเนี่ย!ชายหนุ่ม อดคิดไม่ได้ว่าโลกนี้กำลังรังแกเขา ตอนแรกก็ผนึก ‘ซูอัน ตัวน้อย’ ตอนนี้ยังมี ไอ้เรื่องคัมภีร์ทานตะวันและเพลงกระบี่ปราบมารมาอีก!
ด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่ ซูอัน กระทืบเท้ากลับเข้าไปในเรือนของเขาและเข้านอนทันที เขาหมด อารมณ์ที่จะฝึกต่อทันที!
…
ในขณะเดียวกัน มีอีกคนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีเช่นกัน ที่สาขาใหญ่ของสำนักดอกบ๊วย จอกสุรากระเบื้องราคาแพงถูกเขวี้ยงลงพื้น แตกออกเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วน
เหมยเชาฟง ตอนนี้กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น เปลือกตากระตุกด้วยความหดหู่สุดขีด นั่นจอกสุราอันโปรดที่สุดของเขา! เขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้มา และเขาก็ชอบมันมากจนเก็บเอาไว้ข้างกายเขาเสมอ ถ้าใครแตะถ้วยน้ำชานี้ เขาจะลากคนคนนั้นไปหั่นเป็นชิ้น ๆ ทันที อย่างไรก็ตาม กับคนที่เพิ่งเขวี้ยงมันจนแตกเป็นชิ้น ๆ เป็นคนที่เขาไม่กล้าโกรธเลย เขาทำได้เพียง สั่นสะท้านด้วยความเสียดายอยู่ที่พื้น
มีอีกคนคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ เขาเช่นกัน หญิงสาวสวมชุดคลุมสีเขียว และผมของนางถูกมัดเป็นหางม้าอย่างงดงาม นางไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เสวี่ยเอ๋อร์