เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 2022 เปลี่ยนข้าเป็นปีศาจเถอะ
ตอนที่ 2,022 เปลี่ยนข้าเป็นปีศาจเถอะ
หลินเป่ยเฉินรีบรวบรวมความคิดทันที
ส่วนผู้ที่ปลอมตัวเป็นเขานั้น หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าต้องเป็นอวี้เหวินซิวเซียนอย่างแน่นอน
เพราะคนผู้นั้นสามารถปลอมแปลงได้เพียงแต่ชื่อ ไม่สามารถปลอมแปลงหน้าตาได้
แม้ว่าเส้นผมและดวงตาของอวี้เหวินซิวเซียนจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม แต่เมื่อฟังจากคำบอกเล่าของฮันปู้ฟู่ หลินเป่ยเฉินก็ยังนึกภาพออกว่าต้องเป็นอวี้เหวินซิวเซียนอย่างแน่นอน
และนั่นนำมาสู่คำถามสำคัญ
ปีศาจสาวที่เดินออกมาจากประตูเชื่อมแดนปีศาจผู้นั้นเป็นใคร?
หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองทราบคำตอบดี
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง!
คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้นางจะเล่นใหญ่โตถึงเพียงนี้
อีกทั้งตัวนางเองก็แข็งแกร่งเสียจนน่ากลัว
หลินเป่ยเฉินทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน แล้วส่งข้อความเสียงตอบกลับศิษย์พี่ฮันไปว่า “ข้าขอใช้เวลาคิดทบทวนดูสักหน่อย… ศิษย์พี่ไปจัดการเรื่องราวของท่านให้เรียบร้อยก่อนเถอะขอรับ”
เมื่อกดส่งข้อความเสียงให้แก่ฮันปู้ฟู่เสร็จเรียบร้อย แอปวีแชตก็ส่งสัญญาณแจ้งเตือนว่ามีสายเรียกเข้าเข้ามาพอดี
ผู้ที่โทรมาหาเขาก็คือเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
ให้ตายเถอะ
ถึงขนาดโทรมาหาก่อนเลยหรือนี่?
หลินเป่ยเฉินกดรับสายโดยไม่ลังเล
“เจ้าคงรู้เรื่องแล้วสินะ”
น้ำเสียงของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงบอกชัดถึงความเคร่งเครียดไม่น้อย
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงหัวเราะตอบกลับไป “นึกแล้วเชียวว่าท่านเองก็มีพลังแข็งแกร่งไม่น้อยเหมือนกัน”
ความเงียบงันปกคลุมลงมา ก่อนที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะกล่าวอีกครั้งว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น… ข้าอยากจะบอกเจ้าว่าข้านี่แหละคือผู้เปิดประตูเชื่อมแดนปีศาจเอง”
“อ้อ เปิดก็เปิดไปเถอะ
หลินเป่ยเฉินตอบเหมือนไม่สนใจสักเท่าไหร่ “ท่านคงไม่ได้คิดจะปิดเร็ว ๆ นี้หรอกกระมัง?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เจ้าเด็กคนนี้คงสมองเลอะเลือนจริง ๆ ด้วย
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นผู้ใด? ข้าเป็นผู้นำของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ตัวข้าเป็นปีศาจ ที่ข้าเปิดประตูเชื่อมแดนก็เพื่อจะทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าว
หลินเป่ยเฉินเงียบอยู่นานทีเดียว
หลังจากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านยังจำคืนที่เราร่ำสุรากันริมหน้าผาได้หรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถอนหายใจเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไป “ข้าเคยบอกกับท่าน ไม่ว่าท่านทำสิ่งใด ไม่ว่าท่านอยากจะแก้แค้นผู้ใด ข้าจะคอยช่วยเหลือท่านเอง… ท่านคิดว่าข้าพูดเล่นหรือ?”
“แต่เจ้าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมีน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นอย่างชัดเจน
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“ใช่ ข้าเป็นมนุษย์ แต่ท่านมีวิชามนตราที่เปลี่ยนทุกคนให้เป็นปีศาจได้ไม่ใช่หรือ? ท่านก็เปลี่ยนข้าเป็นปีศาจไปเลยสิ”
เขาแกล้งหยอกเย้า
“เพราะอะไร?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถาม
หลินเป่ยเฉินชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ท่านยังจะต้องถามอีกหรือ? ก็เพราะว่าข้าอยากจะเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดไงล่ะ ได้ข่าวว่าผู้ที่เปลี่ยนเป็นปีศาจมักจะมีความแข็งแกร่งขึ้นเสมอ ทำไม? หรือว่าท่านไม่อยากให้ข้าแข็งแกร่งขึ้น?”
“พูดจาเหลวไหล บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ขัดขวางข้า?”
“มันก็มีหลายเหตุผลอยู่นะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นอีกครั้ง “อย่างเช่น ข้าหลงใหลในความงามของท่าน ตัวข้านั้นเป็นคนเสเพลอยู่แล้ว ย่อมลุ่มหลงท่านเป็นธรรมดา มิหนำซ้ำ สมองของข้ายังมีปัญหา… ข้าจึงอยากจะเอาใจท่านไงล่ะ ข้ายังจำได้ดีถึงครั้งแรกที่เราวิดีโอคอลหากันอยู่เลย ให้ตายเถอะ ภาพนั้นช่าง…”
“หุบปากเดี๋ยวนี้”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผู้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์มือถือสะดุ้งเฮือก ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาว่า “สรุปว่าเห็นจริง ๆ ด้วยสินะ…”
“ท่านพูดว่าอะไรนะ?”
หลินเป่ยเฉินได้ยินไม่ชัดเจน
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไม่เชื่อเหตุผลของเจ้าเท่านั้น”
“อ้อ งั้นก็ไม่เป็นไร ถือว่าข้ามีเหตุผลของข้าก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไป “เหตุผลที่ข้าไม่ขัดขวางท่านก็คือ… เอ่อ ขอเวลาให้ข้าคิดหน่อยได้หรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถึงกับหัวเราะออกมาแล้ว “ช่างเถอะ เจ้าทำให้ข้าโกรธเจ้าไม่ลงจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “นับตั้งแต่ที่ข้าทะลุมิติ… เอ๊ย นับตั้งแต่ที่ข้าเกิดมามีผู้คนคอยช่วยเหลือข้าอยู่เสมอ พวกเขาทำดีกับข้า แต่พวกเขาติดอยู่ในแผ่นดินตงเต้า ที่นั่นคือดินแดนที่ข้าอยากจะปกป้องเอาไว้”
“ต่อมาข้าได้มาอยู่ในเส้นทางดาราจักร ข้าได้รู้จักกับอาณาจักรหลิวเยวียน ผู้คนที่นั่นก็เมตตาข้าไม่ใช่น้อย ข้าก็อยากจะปกป้องพวกเขาเช่นกัน แต่บัดนี้ข้ายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะปกป้องผู้ใดได้ และมีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถปกป้องพวกเขาได้สำเร็จ…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่ได้ตอบรับคำใด
หลินเป่ยเฉินจึงกล่าวต่อไป “ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของผู้ที่เคยทำดีต่อตนเอง แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้านั้น ข้าก็อยากจะปกป้องพวกเขาเช่นกัน แต่หากการทำเช่นนั้นจะทำให้ข้าต้องผิดใจกับท่าน... ข้าก็จะไม่มีวันทำเด็ดขาด”
“แม้ว่าข้าจะเป็นโรคสมองเสื่อม แต่ข้าก็ยังจำได้ดีว่าท่านคอยช่วยเหลือข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือข้าในดินแดนทวยเทพ และพวกเราก็ยังเคยดื่มสุราใต้แสงจันทร์… พวกเราผ่านอะไรกันมาตั้งเยอะถึงเพียงนี้ ท่านไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนข้าเป็นปีศาจบ้างหรือ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังคงไม่ตอบรับคำใด
นางได้ยินแต่เสียงถอนหายใจหนักหน่วงจากปลายสาย
“ในชีวิตนี้ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงในชนิดที่สามารถหลอมละลายหัวใจสตรีทุกคนได้ “ข้าเพียงหวังที่จะได้รักคนที่ข้ารักและคนที่รักข้าก็เท่านั้นเอง”
“เข้าใจแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวออกมาช้า ๆ
นางถอนหายใจอีกเล็กน้อย
หากว่า…
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรู้สึกลำบากใจเหลือเกิน หากบุรุษที่กำลังคุยโทรศัพท์กับนางอยู่นี้จะอยู่ในภาวะหลับใหลตลอดไปเช่นนี้ หากเขาจะไม่ฟื้นความทรงจำกลับคืนมา นั่นก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย
“แต่หากข้าทำผิดพลาดเล่า?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดขึ้นอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินตอบรับโดยไม่ลังเลว่า “ไม่ว่าท่านจะทำผิดพลาดหรือไม่ ข้าก็ยินดีที่จะช่วยเหลือท่านเสมอ”
“ปากหวาน”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงแค่นหัวเราะประชดประชัน
ในหัวใจรู้สึกอบอุ่นไม่น้อย
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ฟื้นความทรงจำกลับคืนมา แต่สำหรับนาง เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อนางได้พลังของตนเองกลับคืน หัวใจก็เรียกร้องให้ล้างแค้นเรื่องราวในอดีตอยู่ตลอดเวลา
แต่เมื่อได้คุยกับหลินเป่ยเฉิน ความรู้สึกทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เขาไม่ได้เปลี่ยนไป
แต่เป็นหัวใจของนางเองต่างหากที่เปลี่ยนแปลง
“ร้องเพลงหน่อยสิ”
นางพูด
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
“ก่อนหน้านี้ เจ้าชอบร้องเพลงให้สตรีฟังไม่ใช่หรือ? ร้องให้ข้าฟังอีกสักคนจะเป็นไร เอาเพลง ‘เสียงหัวเราะในฝุ่นสีแดง’ เหมือนที่เจ้าเคยร้องก็ได้…” เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงว่า
“เฮ้อ ข้าเคยร้องเพลงให้ผู้อื่นฟังตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
นิสัยคนเสเพลของหลินเป่ยเฉินกลับคืนมาอีกครั้ง เขารีบปฏิเสธและอธิบายว่า “บรรดาผู้ที่ข้าร้องเพลงให้ฟังนั้นต่างก็เป็นเพียงน้องสาวที่แสนดีทั้งสิ้น”
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็กล่าวอีกครั้งว่า “แต่เพลงเสียงหัวเราะในฝุ่นสีแดงมันตกยุคไปแล้ว ข้าจะร้องเพลงใหม่ให้ท่านก็แล้วกัน”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกมาตลอดว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมีสภาพจิตใจไม่ปกติ
จะให้เขาร้องเพลงในเวลานี้เนี่ยนะ?
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มาจ่อปากและเริ่มต้นร้องเพลง “อดีตอันไร้เดียงสา โหยหาความรักที่สุขสม เหตุไฉนโลกนี้จึงมืดมน ชีวิตคนต้องพบกับความเปลี่ยนแปลง หัวใจสองดวงที่ไกลห่าง จะมีวันได้กลับมาพบเจออีกหรือไม่ ได้แต่ถามตนเองอยู่ร่ำไป ไม่มีใครคอยช่วยซับน้ำตา…”
ท่วงทำนองที่เรียบง่าย ถ้อยคำที่แสนไพเราะ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรับฟังด้วยความตกตะลึง
นางได้ยินเสียงร้องเพลงของเขาและเสียงหัวใจของตนเอง