เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด - ตอนที่ 239 หว่านชิงหายตัวไป
ตอนนี้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วที่เธอลงจากเครื่องบิน เธอลงจากเครื่องแล้วควรโทรหาเขาเลยทันทีเพื่อรายงานความปลอดภัยสิถึงจะถูกต้อง เกิดอะไรขึ้น?
“เที่ยวบินจากที่นี่ไปเมืองเหยียนลงจอดหรือยัง? ” เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“จอดตรงเวลาแล้ว” เลขาเฉินพูด
เลขาหลินมองหนานกงเฉิน แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “คุณชายเฉิน คุณหนูอีคงไม่ยกเลิกการเดินทางชั่วคราวใช่ไหม? ”
เป็นไปไม่ได้ ถ้าไป๋มู่ชิงยกเลิกเที่ยวบินต้องบอกเขาทันที
ความเกลียดชังของผู่เหลียนเหยานั้นมากมาย ต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ข้างนอกแน่นอน ตอนนี้ไป๋มู่ชิงอยู่ในช่วงอันตราย คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกใช่ไหม……?
เขายิ่งคิดก็ยิ่งกังวล ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว รีบพูดกับเลขาหลินว่า “เธอหาวิธีช่วยฉันตรวจสอบคุณหนูอีว่าอยู่ในเที่ยวบินนั้นหรือเปล่า รีบไปซะ”
“ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เลขาหลินส่งสายตาให้กับเลขาเฉิน ทั้งคู่เดินออกจากห้องทำงานหนานกงเฉินด้วยกัน
หลังจากสองคนออกไปแล้ว หนานกงเฉินก็ไม่มีจิตใจอยากทำงานบริษัท เขาเริ่มโทรหาไป๋มู่ชิงพร้อมกับเดินไปรอบๆ ห้องทำงานอย่างกังวลคิดหาเหตุผล แต่คิดไม่ออกว่าทำไมไป๋มู่ชิงไม่เปิดเครื่อง และไม่ได้ลงมาจากเครื่องบิน
ยี่สิบนาทีต่อมา เลขาหลินปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง พูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “คุณชายเฉิน เมื่อกี้ฉันให้คนไปตรวจสอบมา คุณหนูอีไม่ได้จองเที่ยวบินไปเมืองเหยียน แต่……จองเที่ยวบินไปอังกฤษตอนบ่ายสอง”
“อังกฤษ? ” หนานกงเฉินได้ยินก็ตื่นตระหนก จ้องมองเธอแล้วตะคอกอย่างโกรธๆ “เป็นไปได้ยังไง? สืบให้ฉันอีกรอบสิ!”
เลขาหลินเห็นความโกรธบนใบหน้าเขา ก็หดคอด้วยความกลัว “คุณชายเฉิน ฉันตรวจสอบหลายครั้งแล้วค่ะ มันไม่ผิดพลาด”
ไป๋มู่ชิงไปอังกฤษแล้ว? แต่เธอกลับหลอกเขาว่าไปเมืองเหยียน และหลบเลี่ยงทุกวิถีทางไม่ให้เขาไปส่งที่สนามบิน ทำไม? ทำไมเธอต้องทำแบบนี้?
หนานกงเฉินคิดเรื่องนี้อยู่นานมากก็คิดไม่ออก จนกระทั่งนึกถึงอีกคนหนึ่ง ก็หันกลับมาพูดกับเลขาหลินทันที “เธอไปช่วยตรวจสอบอีกทีว่าหนึ่งในผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกับเธอ มีผู้ชายที่ชื่อว่าเฉียวเฟิงไหม? ”
เลขาหลินยื่นกระดาษ A4 ในมือส่งไปให้แล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน นี่คือรายชื่อผู้โดยสารทั้งหมดในเที่ยวบิน คุณดูสิคะว่ามีเบาะแสอะไรไหม”
หนานกงเฉินรับกระดาษ A4 มา รีบกวาดตามองรายชื่อทั้งหมดในนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเชื่อ ‘เฉียวเฟิง’ สองคำนี้ หัวใจก็บีบรัดทันที
พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันจริงๆ ไปอังกฤษด้วยกัน!
หมายความว่าไงกันแน่? ทำไมทำแบบนี้?
หนานกงเฉินโกรธจนฉีกกระดาษ A4 เป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงถังขยะข้างๆ กัดฟันกรอด
เลขาหลินเห็นท่าทางเขาแบบนี้ ก็ถอยหลังเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณชายเฉิน คุณยังโอเคไหม? ”
หนานกงเฉินหันศีรษะไปแล้วตะคอกใส่เธอ “ออกไป!”
เลขาหลินโดนเขาตะคอกใส่ ก็รีบหันตัวเดินไปที่ประตูทันที
หลังจากหนานกงเฉินเดินรอบห้องทำงานด้วยความโกรธ ก็หันตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน หลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์
เขารู้สึกว่าตัวเองต้องสงบสติอารมณ์จริงๆ คิดถึงปัญหาอย่างใจเย็น
ถ้าไป๋มู่ชิงอยากไปต่างประเทศกับเฉียวเฟิงจริงๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องมาอยู่กับเขาไม่กี่วันนี้หรอกใช่ไหม? นอกจากนี้เขายังมองออกว่าความรู้สึกที่ไป๋มู่ชิงมีให้เขาในช่วงนี้ไม่ได้เสแสร้ง เขารู้สึกได้ว่าเธออยากกลับมาอยู่เคียงข้างเขาอย่างแท้จริง
แต่……ทำไมเป็นแบบนี้? ทำไมเธอต้องหลอกเขา?
เฉียวเฟิงและไป๋มู่ชิงตอนนี้อยู่บนเครื่องด้วยกัน โทรศัพท์โทรไม่ติด เขาลังเลสักพักหนึ่ง ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์เฉียวซือเหิงด้วยความสิ้นหวัง เขาคิดว่าเฉียวซือเหิงต้องรู้แน่ๆ ว่าทำไมพวกเขาสองคนไปต่างประเทศกะทันหัน!
ไม่คิดว่าเฉียวซือเหิงจะรับโทรศัพท์เขาอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดใช้ชีวิตเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างกันมาก่อน พูดขึ้นพร้อมหัวเราะเยาะเย้ย “คุณชายเฉิน ไม่เจอกันนานเลยนะ อยากชวนฉันไปดื่มเหล้าเหรอ? ”
หนานกงเฉินกัดฟัน กลั้นความโกรธไว้แล้วถามขึ้น “ทำไมมู่ชิงกับเฉียวเฟิงไปต่างประเทศกะทันหัน? ”
เฉียวเฟิงไม่รู้ข่าวเรื่องพวกเขาสองคนไปต่างประเทศอย่างเห็นได้ชัด ตกตะลึงอย่างชัดเจนแล้วก็พูดเยาะเย้ยต่อไป “เรื่องนี้นายมาถามฉันทำไม? ไป๋มู่ชิงกลับไปอยู่กับนายแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
“ได้โปรดบอกฉัน!” เสียงหนานกงเฉินเย็นชาขึ้น
“จึ๊ๆ ทั้งๆ ที่ขอร้องฉัน แต่ยังทำท่าทางเหมือนจะกินคน” เฉียวซือเหิงยิ้ม “ด้วยท่าทีของนายฉันไม่บอกนายหรอกว่าทำไม”
“นาย……”
“ฉันทำไม? ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะดูตัวเองให้ดีว่าทำไมสุดท้ายไป๋มู่ชิงถึงเลือกที่จะทิ้งนายแล้วไปต่างประเทศกับเฉียวเฟิง ไม่ใช่มาถามคนอื่นว่าทำไม”
“นายจะพูดไม่พูด? !” ความอดทนของหนานกงเฉินใกล้หมดลง
“ไม่ใช่ฉันไม่พูด แต่ไม่รู้จริงๆ ” เฉียวซือเหิงแสร้งคร่ำครวญ “คุณชายเฉิน ฉันไม่รู้จริงๆ ขอโทษนะ ฉันมีโทรศัพท์เข้ามา……”
วินาทีต่อมา เฉียวซือเหิงก็วางสายไป
หนานกงเฉินโกรธจัดตะโกนฮัลโหลใส่ไมค์ไปสองสามที ในโทรศัพท์กลับมีเสียงตู๊ดๆ วางสายดังขึ้น
เขาโกรธจนแทบทุบโทรศัพท์ทิ้ง แต่สุดท้ายก็อดทนไว้
เฉียวซือเหิงเอาโทรศัพท์ลงมองหน้าจอ เห็นเป็นสายที่โทรมาจากอังกฤษก็กดปุ่มรับสายทันที เสียงโรเซ่ที่อยู่ปลายสายก็ดังขึ้น “คุณชายใหญ่เฉียว หว่านชิงหายตัวไปแล้ว”
เสียงเขาเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเฉียวซือเหิงได้ยินว่าเสียวหว่านชิงหายตัวไปก็ตกตะลึงทันที ถามขึ้นด้วยสัญชาตญาณ “นายว่าไงนะ? หว่านชิงหายตัวไปแล้ว? ”
“ใช่ ผมแจ้งคุณชายรองเฉียวแล้ว เขายังไม่บอกคุณจริงๆ เหรอ? ”
“ยัง” เฉียวซือเหิงขมวดคิ้ว ถามขึ้นอย่างกังวล “ทำไมหว่านชิงหายตัวไป? เฉียวเฟิงจัดบอดี้การ์ดให้เธอแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
“ขอโทษครับ ต้องโทษที่เราดูแลเธอได้ไม่ดี วันนี้ตอนเราไปซื้อของก็หาเธอไม่เจอภายในแป๊บเดียว ผมระดมเพื่อนๆ มาช่วยตามหาแล้ว หวังว่าจะพบเธอให้เร็วที่สุด” โรเซ่พูดขึ้นด้วยใบหน้ารู้สึกผิด
ถึงแม้เขาจะจัดเตรียมคนไปตามหาแล้ว แต่คิ้วเฉียวซือเหิงกลับขมวดลึกขึ้น ครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่งแล้วพูดด้วยใบหน้าเข้มงวด “โรเซ่นายฟังฉันพูดนะ หว่านชิงโตขนาดนี้แล้ว พูดภาษาอังกฤษได้ดี และรู้ว่าเวลาหลงทางต้องตามหาตำรวจ เธอไม่ถึงขนาดหาทางกลับบ้านไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้มันไม่ง่ายแบบนั้น หวังว่านายจะรับมืออย่างระมัดระวังหน่อยนะ อีกอย่าง……..ให้คนจับตาดูโทรศัพท์ในบ้านด้วย”
“ผมรู้แล้ว คุณชายใหญ่เฉียวไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“ฉันจะขึ้นเครื่องให้เร็วที่สุด” เฉียวซือเหิงพูดอีกครั้ง
โรเซ่พูด “คุณชายรองเฉียวกับอีหลินมาถึงแล้วนะครับ”
“ว่าไงนะ? เฉียวเฟิงไปแล้วเหรอ? ขาของเขาไม่สะดวกจะไปทำไม? ”
“เขากังวลมาก กังวลจะแย่แล้ว” โรเซ่เปลี่ยนคำพูด “ไม่งั้นคุณชายใหญ่เฉียวรออีกหน่อยไหมครับ? บางทีอีกสักครู่หว่านชิงจะกลับมา”
เฉียวซือเหิงมือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ไว้ อีกข้างหนึ่งกำลังใช้คอมพิวเตอร์ตรวจสอบเที่ยวบินที่เร็วที่สุด พบว่าเร็วที่สุดคือพรุ่งนี้เช้า ก็พูดอย่างค่อนข้างหมดหนทาง “ฉันจะบินได้ตอนพรุ่งนี้เช้า นายมีข่าวอะไรก็โทรหาฉันนะ”
“โอเคครับ”
“อีกอย่าง รบกวนช่วยฉันดูแลเฉียวเฟิงด้วย”
“OK คุณชายรองเฉียวเป็นเพื่อนสนิทผม” โรเซ่รับปากเต็มที่
—
เมื่อเลขาเหยียนได้รับสายจากหนานกงเฉิน ก็รีบมาทันที
เมื่อเธอเข้ามาก็เห็นหนานกงเฉินนั่งบนพื้นพิงหน้าต่างบานใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกแย่
เลขาเหยียนเดินเข้าไป ย่อตัวตรงหน้าเขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน ฉันกำลังอยากตามหาคุณพอดี อาการป่วยของคุณเมื่อคืนฉันได้ยินเฉียวเฟิงบอกแล้ว มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? คุณได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลไหม……”
หนานกงเฉินหันหน้ามา จ้องมองเธอแล้วถามอย่างไม่คาดคิด “เธอมีความสัมพันธ์กับเฉียวเฟิงจริงๆ เหรอ? ”
“เอ่อ……” เลขาเหยียนพูดไม่ออกสักพักแล้วพูดขึ้น “เมื่อคืนฉันไปเจอเฉียวเฟิงกำลังดื่มเหล้าที่บาร์ ฉันคุยเป็นเพื่อนเขาไม่กี่ประโยค”
“แล้วเขาได้บอกอะไรเธอไหม? ” หนานกงเฉินคว้าข้อมือเธอไว้
เลขาเหยียนตกใจเขา ก้มหน้ามองฝ่ามือใหญ่ที่จับข้อมือเธอไว้แน่น แรงเขาเยอะมาก ทำจนเธอเจ็บ……
เธอเห็นความวิตกกังวลบนใบหน้าหนานกงเฉิน ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมแต่ก็ยังพยักหน้า “บอกค่ะ เขาบอกว่าคุณถูกผู่เหลียนเหยาวางยา มู่ชิงตัดสินใจกลับไปหาคุณแล้ว แล้วก็……”
“เขาพูดว่าไง? เขาบอกว่าเขาจะปล่อยมู่ชิงไปเหรอ? หรือว่าจะสู้กับฉันจนถึงที่สุด? ”
เลขาเหยียนมองเขาอย่างหมดหนทาง เพราะอาการป่วยของเขาเธอจึงนอนไม่หลับเมื่อคืน เขากลับไม่สนใจเลยสักนิด? ในใจเขามีแต่เรื่องไป๋มู่ชิงและเฉียวเฟิงเหรอ?
“เฉียวเฟิงปล่อยแล้ว……”
“แล้วทำไมวันนี้เขาต้องพามู่ชิงไปต่างประเทศด้วย? ”
“คุณว่าไงนะ? ” เลขาเหยียนตกตะลึง “เฉียวเฟิงพาคุณหนูไป๋ไปต่างประเทศเหรอ? ”
เธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เธอเจอเฉียวเฟิงเมื่อคืน แล้วพูดต่อ “”
“เมื่อคืนมู่ชิงก็บอกฉันว่าเธอจะอยู่เคียงข้างฉันตลอดไป” หนานกงเฉินยิ้มอย่างหงุดหงิด “แต่ในขณะที่เธอสัญญากับฉันก็โกหกฉัน โกหกฉันว่าวันนี้เธอจะไปเจอแม่และน้องชายเธอที่เมืองเหยียน ถ้าฉันไม่ได้จัดเตรียมคนไปรับที่สนามบิน จนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเธอไปอังกฤษกับเฉียวเฟิงแล้ว เฮอะ……เธอทำแบบนี้ได้ยังไง? ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้วตอนแรกไม่อยากให้เธอกลับมาหรอก……”
เมื่อเห็นท่าทางเศร้าๆ บนใบหน้าเขา เลขาเหยียนก็พูดปลอบ “คุณชายเฉิน บางทีพวกเขาอาจจะแค่ไปทำธุระที่ต่างประเทศก็ได้นะ ทำเสร็จแล้วก็จะกลับมา? ”
“ถ้าออกไปทำธุระแล้วทำไมเธอไม่ให้ฉันไปเป็นเพื่อนล่ะ? ทำไมต้องโกหกฉันว่าไปเมืองเหยียนด้วย? !” หนานกงเฉินโกรธจนตะคอกออกมา
“คุณชายเฉิน คุณอย่าโกรธ สุขภาพสำคัญ……”
“เจอเรื่องแบบนี้ฉันจะไม่โกรธได้ยังไง? ใครไม่โกรธได้บ้าง? ” หนานกงเฉินคว้ากล่องทิชชูที่อยู่ข้างกายขว้างไปที่ผนังฝั่งตรงข้าม ในขณะเดียวกันก็เตะโต๊ะ “ขี้โกหก! เป็นคนขี้โกหกตลอดไป!”
“คุณชายเฉินคุณอย่าเป็นแบบนี้” เลขาเหยียนตกใจท่าทางสะเทือนใจของเขา รีบห้ามไม่ให้เขาเป็นบ้าต่อ แล้วโน้มน้าวไปด้วย “คุณอย่าเป็นบ้าทุกครั้งที่เจอกับเรื่องคุณหนูไป๋สิคะ ทั้งๆ ที่คุณก็รู้ว่าร่างกายตัวเองไม่เหมาะกับการโกรธ ถ้าโกรธถึงตายจะทำยังไง? ”
หนานกงเฉินยืนขึ้นมาจากพื้นทันที เดิมทีเขาอยากพุ่งไปที่ประตูห้องทำงาน แต่ขณะที่ลุกขึ้นก็เวียนศีรษะฉับพลัน เกือบล้มลงกับพื้น
เขาทำเสียงคร่ำครวญ มือข้างหนึ่งกุมศีรษะตัวเอง มือข้างหนึ่งประคองขอบหน้าต่าง พยายามให้ความรู้สึกเจ็บหายไปเร็วๆ
“คุณชายเฉินคุณยังโอเคไหม? ” เลขาเหยียนรีบประคองแขนเขา เอ่ยอย่างเป็นห่วง “ต้องการให้เรียกคุณหมอมาดูคุณหน่อยไหมคะ หรือให้ฉันพาคุณไปส่งโรงพยาบาล? ”
“ไม่ต้อง……” หนานกงเฉินสะบัดมือเธอออก พูดขึ้น “ฉันฝากไปบอกเฉียวเฟิงหน่อย ให้เขารีบส่งมู่ชิงคืนฉันเร็วๆ จะดีที่สุด ไม่งั้น……ไม่งั้น……” ร่างของเขาสั่น ค่อยๆ ล้มลงกับพื้นทีละนิด
“คุณชายเฉิน คุณเป็นอะไร? ” เลขาเหยียนตกใจมากที่เขาเป็นลมกะทันหัน ร่างหนานกงเฉินหนักเกินไปเธอประคองไม่ขึ้น ล้มลงกับพื้นทันที
ด้วยความร้อนรนใจ เลขาเหยียนตะโกนเสียงดังไปที่นอกประตูสองคำว่า “ช่วยด้วย”
เลขาหลินและเลขาเฉินพวกเธอพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นหนานกงเฉินล้มลงกับพื้นก็ตกใจสะดุ้ง เลขาเหยียนรีบเรียกเพื่อนร่วมงานชายสองสามคนมาแบกหนานกงเฉินไปชั้นล่าง จากนั้นก็ขับรถไปส่งหนานกงเฉินเข้าโรงพยาบาลด้วยตัวเอง
—
หลังจากบินอยู่นานมาก ในที่สุดเที่ยวบินที่เฉียวเฟิงและไป๋มู่ชิงโดยสารมาก็มาถึงสนามบินจุดหมายปลายทาง
ทั้งสองเดินตามกระแสผู้คนไปด้านนอกสนามบิน ไป๋มู่ชิงสังเกตเฉียวเฟิงแล้วถามอย่างเป็นห่วง “อาเฟิง คุณปวดหัวดีขึ้นหรือยัง? ”
เฉียวเฟิงอารมณ์ค่อนข้างหดหู่ตลอดทาง พูดก็น้อย เธอเคยถามว่าเขาอารมณ์ไม่ดีใช่ไหม แต่เขากลับบอกว่าเขาแค่เวียนศีรษะไปหน่อย ไม่ได้เป็นอะไร
ตอนนี้ลงจากเครื่องแล้ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้นเลยสักนิด แต่ถึงขนาดรับสายแล้วสีหน้าดูยิ่งเคร่งเครียดขึ้นมา
“ดีขึ้นเยอะแล้ว” เฉียวเฟิงตอบอย่างสบายๆ ในใจก็กำลังเครียดว่าควรบอกเธออย่างไรว่าเสียวหว่านชิงหายตัวไป เขากังวลว่าไป๋มู่ชิงจะพังทลาย จะสับสนยุ่งเหยิง จึงไม่ได้บอกความจริงนี้กับเธอมาตลอดทาง
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ควักโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋าเตรียมโทรหาหนานกงเฉิน มองดูเวลามันไม่ค่อยเหมาะสมจึงเปลี่ยนเป็นส่งข้อความไปแทน
ข้อความของเธอเพิ่งพิมพ์ไปครึ่งหนึ่ง ข้างหูก็มีเสียงลังเลของเฉียวเฟิงดังขึ้น “มู่ชิง……ฉันอยากบอกเธอหนึ่งเรื่อง”
เขาคิดว่าตัวเองต้องบอกเธอตอนนี้ดีกว่า เดี๋ยวเธอไปถึงบ้านโรเซ่ไม่เจอเสียวหว่านชิงแล้วจะเป็นคลุ้มคลั่งน้อยลง
“เรื่องอะไร? ” ไป๋มู่ชิงพิมพ์ข้อความต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
“เกี่ยวกับหว่านชิง”
“เกิดอะไรขึ้นกับหว่านชิง? ” ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เงยหน้าขึ้นมาจากข้อความในโทรศัพท์ เดินอ้อมไปตรงหน้าเขาแล้วมองสังเกตเขาอย่างประหลาดใจ พบว่าสีหน้าเขายิ่งเคร่งเครียดขึ้นเธอก็ไม่สามารถส่งข้อความต่อไปได้ จ้องมองเขาแล้วถามด้วยเสียงสั่น “หว่านชิงเกิดอะไรขึ้นใช่ไหม? ”
“มู่ชิง เธออย่าเพิ่งตื่นตระหนกนะ……”
“หว่านชิงเป็นอะไรกันแน่? ” ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ ไป๋มู่ชิงยิ่งวิตกมากขึ้น
“สองชั่วโมงก่อนที่เราขึ้นเครื่อง ฉันได้รับสายจากโรเซ่บอกว่า……หว่านชิงหายตัวไปแล้ว”
“หะ–!” ไป๋มู่ชิงกรีดร้อง ตกตะลึงไปเลย
เฉียวเฟิงรู้ว่าเธอต้องมีการตอบสนองแบบนี้แน่ๆ รีบเอ่ยปลอบ “มู่ชิงเธออย่าเพิ่งกังวลจนเกินไปนะ บางทีหว่านชิงแค่เดินหลงทาง กลับมาด้วยตัวเองในภายหลัง”
ไป๋มู่ชิงแค่รู้สึกว่าสมองระเบิด สูญเสียความสามารถในการคิดทั้งหมดในพริบตาเดียว ด้านในมีเสียงเดียวที่พูดซ้ำๆ ว่า: หว่านชิงหายตัวไป หว่านชิงหายตัวไป……
“มู่ชิง เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ” เฉียวเฟิงยื่นมือไปจับฝ่ามือเธอ พูดอย่างเป็นห่วง “ฉันรู้ว่าเธอยอมรับเรื่องใหญ่แบบนี้ยากมาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่ตอนที่จะมาเสียใจ ในเมื่อเรามาถึงแล้ว ก็พยายามมุ่งมั่นหาตัวหว่านชิงกลับมา อย่าทำให้ตัวเองล้มก่อนเด็ดขาดเข้าใจไหม? ”
เมื่อครู่ตอนที่เขาได้ยินข่าวก็ช็อกสุดๆ รีบขึ้นเครื่องบินไปอังกฤษทันที ถึงแม้เขาจะรู้ว่าตัวเองมาก็อาจจะไม่มีประโยชน์ แต่เขาก็มาดีกว่า
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ไป๋มู่ชิงก็ถามเสียงสั่น “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมหว่านชิงหายตัวไป? ถูกคนของผู่เหลียนเหยาจับไปหรือเปล่า? ใช่หรือเปล่า? ” เธอกลับไปจับสองมือเฉียวเฟิงแล้วเขย่ามันอย่างแรง แล้วซักถาม “คุณบอกฉันสิ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ”
“โรเซ่บอกว่าตอนที่พวกเขากำลังเที่ยวอยู่ข้างนอก ก็หาหว่านชิงไม่เจอภายในแป๊บเดียว” เฉียวเฟิงปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “มู่ชิง อย่าทำให้ตัวเองตกใจ ผู่เหลียนเหยาเป็นแบบนี้แล้วน่าจะไม่มีกำลังทำอะไรเสียวหว่านชิงหรอก……”
“ไม่! ต้องเป็นเธอแน่ๆ !” ไป๋มู่ชิงร้อนรนจนน้ำตาไหล “ตอนที่หว่านชิงยังไม่เกิดหล่อนก็เริ่มลงมือกับเธอแล้ว ตอนแรกเพราะรู้ว่าเธอจะจัดการหว่านชิง ฉันเลยตัดสินใจส่งหว่านชิงไปอังกฤษ แต่สุดท้ายเธอก็ยังตามมา ไม่คิดว่าเธอจะตามมาจริงๆ ……”
“อย่ากังวล เรื่องมันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่เธอคิดก็ได้……” คำปลอบเฉียวเฟิงดูไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อย ไป๋มู่ชิงไม่ได้ฟังเข้าไปเลย
“ทำยังไงดี? หนานกงเฉินไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ ถ้าเสียหว่านชิงไปเสียฉันไปก็ไม่มีแรงจูงใจและความกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำยังไงดี……” เธอร้องไห้เสียใจมาก ไม่สนใจสายตารอบข้างเลยสักนิด
“ไม่หรอก ไม่แน่นอน” เฉียวเฟิงยื่นมือกอดเธอเข้าอ้อมแขน ตบบ่าเธอแล้วพูดปลอบประโลม
ไป๋มู่ชิงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ ในอ้อมแขนเขา แต่จู่ๆ ก็ถอยออกมาจากอ้อมแขนเขา จ้องเขาแล้วพูดขึ้น “อาเฟิง คุณกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม? หว่านชิงต้องยังอยู่ในบ้านโรเซ่แน่ๆ คุณอยากเซอร์ไพรส์ฉันใช่ไหม? ”
เฉียวเฟิงมองน้ำตาบนใบหน้าเธอ ได้ยินคำพูดมั่วซั่วของเธอ ไม่รู้จะปลอบเธออย่างไรในชั่วขณะหนึ่ง
“คุณพูดมาสิ คุณพยักหน้าสิ……” ไป๋มู่ชิงดันร่างเธอขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อนึกถึงการเดินทางครั้งนี้เธอมีความสุขมากที่จะได้เจอหว่านชิงเร็วๆ และยังจินตนาการปฏิกิริยาที่เป็นไปได้มากที่สุดของหนานกงเฉินตอนที่พาหว่านชิงกลับไปตรงหน้าหนานกงเฉิน ที่แท้หว่านชิงก็หายตัวไปก่อนที่เธอจะขึ้นเครื่องด้วยซ้ำ
เธอถึงขนาดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้หว่านชิงเป็นอย่างไรแล้ว เจออุบัติเหตุไม่คาดคิดหรือไม่ ถูกคนเลวทำร้ายหรือไม่ ถูกทำให้ตกใจกลัวหรือไม่……
“หว่านชิง……” เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจ แค่หวังว่าหว่านชิงของเธอจะรอดจากภัยพิบัติครั้งนี้ แค่หวังว่าคนน่ารังเกียจพวกนั้นอย่าทำร้ายชีวิตหว่านชิง!
—
เมื่อหนานกงเฉินตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองตื่นในห้องคนไข้ เขามองรอบๆ อย่างเงียบๆ สายตาตกอยู่ที่นาฬิกาบนผนัง
เวลาชี้ไปที่เก้าโมงเช้า ก็หมายความว่าเขาหลับไปนานมาก!
เลขาเหยียนเห็นเขาตื่นขึ้นมา ก็แอบโล่งใจพูดขึ้น “คุณชายเฉิน ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว? ”
หนานกงเฉินเลื่อนสายตาจากนาฬิกามามองเธอ ถามหนึ่งประโยค “ฉันหลับไปนานแค่ไหน? ”
“ตั้งแต่บ่ายเมื่อวานจนถึงตอนนี้ สิบกว่าชั่วโมงแล้วค่ะ” เลขาเหยียนพูด “ฉันก็ไม่กล้าแจ้งคุณผู้หญิงด้วย กลัวว่าจะทำให้ท่านเป็นห่วง”
หนานกงเฉินมองไปรอบๆ อีกครั้ง พูดขึ้น “โทรศัพท์ฉันล่ะ? ”
“คุณชายเฉินอยากโทรหาคุณหนูไป๋เหรอคะ? โทรศัพท์คุณหนูไป๋ไม่มีใครรับสายตลอดเลย แต่ฉันโทรไปหาเฉียวเฟิงแล้ว เขา……” เลขาเหยียนมองแววตาหนานกงเฉินที่เปลี่ยนไปทันที จ้องมองเธอ เธอจึงหยุดแล้วพูดต่อ “เขาบอกว่าคุณหนูไป๋จะกลับมาภายในไม่กี่วัน”
“เขายังพูดอะไรอีกไหม? ”
“ไม่ค่ะ” เลขาเหยียนส่ายหน้า
“คุณชายเฉิน คุณหนูไป๋บอกคุณว่าอีกสามสี่วันจะกลับมา ก็น่าจะกลับมานะคะ บางทีเธออาจจะโกหกคุณด้วยความทุกข์ก็ได้ กังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของคุณ คุณอย่าไปคิดมากขนาดนั้น” เลขาเหยียนพูดปลอบ
หนานกงเฉินส่ายหน้า “ฉันคิดไม่ออกเลยว่าเธอมีปัญหาทุกข์ใจแบบไหน ทำไมต้องโกหกฉัน”
พูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องเธอแล้วพูดขึ้น “เธอช่วยฉันจองตั๋วบินไปอังกฤษวันนี้ได้ไหม”
“คุณชายเฉินคุณบ้าไปแล้ว!”
“ฉันไม่ได้บ้า ฉันอยากไปถามเธอด้วยตัวเองว่าทำไมเธอทำแบบนี้”
“แต่ตอนนี้คุณหมอบอกว่าคุณห้ามออกจากโรงพยาบาล และ……สุขภาพคุณไม่เหมาะกับการเดินทางไกล เที่ยวบินนานขนาดนั้นคุณจะทนได้เหรอ? ถ้าอาการกำเริบบนเครื่องจะทำยังไง? ” เลขาเหยียนพูดอย่างเศร้าใจ “อีกอย่าง คุณกับคุณหนูไป๋ได้เดินมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าแม้แต่ความเชื่อใจขั้นพื้นฐานที่สุดยังไม่มี ถึงขนาดสงสัยและเข้าใจผิดอีกฝ่าย ถ้าอย่างนั้นคุณก็รู้สึกผิดต่อตัวเองและต่อเธอมากเกินไปแล้ว……”
ในที่สุดหนานกงเฉินก็ไม่พูดอะไรอีก เลขาเหยียนพูดอย่างมีเหตุผล เวลานี้แล้วเขายังเข้าใจผิดคำพูดของไป๋มู่ชิงอีกซึ่งนั่นมันไม่ควรเป็น
แต่ ในใจเขาก็รู้สึกไม่สบายใจสุดๆ
จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น “เธอว่าหล่อนรู้ไหมว่าฉันอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็เลยเสียใจ หนีไปกับเฉียวเฟิง? ”
“ไม่ค่ะ คุณควรเชื่อใจเธอ” เลขาเหยียนปลอบต่อ “ถ้าเธอต้องการจะทิ้งคุณ ก็ถือกระเป๋าแล้วหนีไปเลยก็ได้ ไม่ต้องมาปลอบคุณโกหกคุณว่าสามสี่วันจะกลับมาหรอก คุณชายเฉิน คุณอดทนรออีกสองสามวันเถอะ ฉันเชื่อว่าหลังจากคุณหนูไป๋กลับมาจะต้องให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับคุณอย่างแน่นอน”
หนานกงเฉินพยักหน้า สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะไปอังกฤษ
“คุณชายเฉินพักฟื้นอาการป่วยของคุณให้ดี ไม่ดูแลร่างกายให้ดีถึงคุณหนูไป๋กลับมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ”
“ฉันรู้แล้ว” หนานกงเฉินพูด เขาเคยสัญญากับไป๋มู่ชิงว่าจะเชื่อฟังให้ความร่วมมือกับหมอในการรักษาสุขภาพ
หนานกงเฉินเงียบไปสักพัก แล้วพูดกับเธอ “ฉันว่าเธอก็เหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
เลขาเหยียนพยักหน้า “ในเมื่อคุณไม่เป็นอะไรแล้ว ฉันควรกลับไปจริงๆ ฉันจะให้คนนำอาหารเช้ามาให้คุณ อย่าลืมกินเยอะๆ นะคะ”
“ขอบใจ ฉันจะกินเยอะๆ ” หนานกงเฉินตอบอย่างเศร้าๆ
—
อยู่อังกฤษสามวัน ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าทุกวินาทีนั้นทรมาน หว่านชิงไม่มีข่าวคราวสักนิดเลย
เธออยากออกไปตามหาเสียวหว่านชิงทุกวัน แต่เฉียวเฟิงกังวลว่าเธอออกไปคนเดียวมันอันตราย จำเป็นต้องขังเธอไว้ในบ้านโรเซ่
เวลาของการห้ามปรามผ่านไปสามวัน ไป๋มู่ชิงใกล้จะเป็นบ้าแล้ว เธอถึงขนาดจับแขนเฉียวเฟิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “อาเฟิง คุณให้ฉันออกไปได้ไหม? ฉันอยู่ไม่ได้จริงๆ ฉันอยากออกไปตามหาหว่านชิง บางทีหว่านชิงอาจจะอยู่บนถนนหาทางกลับบ้านไม่ได้ก็ได้นะ? ขอร้องคุณปล่อยฉันออกไปหาได้ไหม……? ”
“มู่ชิง” เฉียวเฟิงพูดอย่างหมดหนทาง “ในเมื่อเธอเดาว่าคนของผู่เหลียนเหยาจับตัวหว่านชิงไป งั้นก็ต้องเดาได้สิว่าผู่เหลียนเหยาอยากพบเธอ ถ้าเธอถูกพวกมันจับตัวไปอีกจะทำยังไง? ทุกคนจะตามหาเธอหรือว่าตามหาหว่านชิงก่อน? ”
“แต่……ไม่มีข่าวคราวของหว่านชิงมาตั้งนานแล้ว ฉันเป็นห่วงอ่ะ ฉันอยู่บ้านไม่ได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงพูดครวญคราง
ตำรวจไม่พบเบาะแสของหว่านชิง เป็นไปได้ว่าคนเลวที่ลักพาตัวหว่านชิงไปก็ไม่ได้โทรมาเพื่อขอเงิน สถานการณ์แบบนี้เธอไม่อยากคิดอะไรเพ้อก็ไม่ได้หรอก
ไม่ใช่การลักพาตัวธรรมดาเพื่อขู่กรรโชก เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่านอกจากผู่เหลียนเหยาแล้วยังมีใครจะลงมือกับเสียวหว่านชิงอีก
“คุณคิดว่าคนของผู่เหลียนเหยาจะลงมือกับหว่านชิงไหม? ไม่งั้นทำไมหาหว่านชิงไม่เจออยู่ตลอดเลยล่ะ……? ”
“ไม่หรอก” เฉียวเฟิงกอดเธอแล้วพูดปลอบ “นี่อังกฤษนะ คดีฆาตกรรมไม่ได้มากเท่าในประเทศ พวกมันต้องไม่กล้าทำแบบนี้หรอก……”
“ไม่……” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า “ผู่เหลียนเหยาชั่วร้ายขนาดนั้น เธอจะต้องโหดร้ายกับเสียวหว่านชิงแน่ๆ ฉันเป็นห่วงมาก……”
“ฉันรู้ ฉันก็เป็นห่วงเหมือนกัน” เฉียวเฟิงตบบ่าเธอแล้วเอ่ยปลอบ “อย่าร้องไห้เลยนะ”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า แต่จะไม่กังวลได้อย่างไร?
เฉียวเฟิงพูดอีก “พี่ฉันกับโรเซ่มีเพื่อนที่นี่เยอะมาก ต้องช่วยตำรวจพยายามตามหาหว่านชิงให้เร็วที่สุดแน่นอน อย่างแน่นอน……”
เขาพูดข้างหูไป๋มู่ชิง คำพูดนี้เหมือนกำลังปลอบเธอ แต่ก็เหมือนกำลังปลอบตัวเองด้วย
จริงๆ ในใจเขาก็รู้ดี จนถึงตอนนี้ไม่มีวี่แววเลยสักนิด มันจะง่ายแบบนั้นได้ที่ไหนกัน!
—
เพื่อร่วมมือกับแพทย์ ช่วงนี้หนานกงเฉินอยู่โรงพยาบาลเพื่อพักฟื้น แม้แต่การทำงานก็ดำเนินการในโรงพยาบาล
วันนี้เป็นวันที่สี่ที่ไป๋มู่ชิงจากไป และเป็นวันที่เธอรับปากกว่าจะกลับมา แต่ไป๋มู่ชิงยังคงไม่แจ้งข่าวใดๆ ให้เขาเลยสักนิด ถึงขนาดไม่โทรกลับมาหาเขาด้วยซ้ำ
หลังจากเลขาหลินถือข้อมูลออกไปจากห้องคนไข้ หนานกงเฉินก็ลุกขึ้นเตรียมออกไป แต่เมื่อเดินก้าวออกมาจากคนไข้ก็พบคุณผู้หญิงที่มาเยี่ยมเขาพอดี
คุณผู้หญิงเหลือบมองเขาแล้วถามขึ้น “หลานจะไปไหน? ”
“คุณย่า ผมอยากออกจากโรงพยาบาล”
“ไม่ได้ หมอบอกว่าหลานออกไม่ได้” คุณผู้หญิงเอื้อมมือไปหยุดเขากลับไป แล้วพูดขึ้น “หลานลืมแล้วเหรอว่าคุณหมอพูดว่ายังไง? หลานต้องอยู่ที่นี่ตลอด”
“คุณย่า ผมมีเรื่องด่วนต้องทำ”
“เรื่องด่วนอะไรก็ให้เลขาหลินไปทำสิ หลานไม่รู้เหรอว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหน? เมื่อคืนอยู่ในสายตาคุณหมอก็ยังป่วยหลานยังจะกล้าไปไหนตามอำเภอใจอีกเหรอ? ” คุณผู้หญิงกวาดตามองข้อมูลบนโต๊ะ “แล้วงานก็อย่าไปทำ รักษาสุขภาพสำคัญที่สุด”
ไม่ทำงานเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้อยู่ในช่วงวิกฤต
แต่หนานกงเฉินก็ไม่โต้แย้งคุณผู้หญิงเรื่องนี้ และกลับไปนอนดีๆ บนเตียงคนไข้
กว่าจะรอให้คุณผู้หญิงออกไป เขารีบใช้โทรศัพท์จองตั๋วเครื่องบินไปอังกฤษออนไลน์ จากนั้นก็เปลี่ยนชุดของโรงพยาบาลแล้วเดินไปที่ประตูห้องคนไข้
เนื่องจากเขาป่วยเมื่อคืน ความแข็งแรงของร่างกายเขายังไม่ฟื้นตัวดี แม้แต่การเดินก็ยังไม่มั่นคงเหมือนตอนปกติ
นางพยาบาลที่กำลังเดินมาเห็นเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าจะไป ก็รีบเรียกเขา “คุณชายเฉิน คุณห้ามไปนะคะ เดี๋ยวคุณต้องฉีดยา”
หนานกงเฉินส่ายหน้าพูดขึ้น “วันนี้ไม่ฉีดแล้ว ค่อยฉีดวันอื่น”
“ไม่ได้ค่ะ ร่างกายคุณยังอ่อนแอมาก คุณหมอจางบอกว่าต้องฉีดยา……”
“คุณคิดว่าฉันอ่อนแอเหรอ? ” หนานกงเฉินจ้องมองเธออย่างไม่พอใจ “ออกไปซะ”
“คุณชายเฉิน……” นางพยาบาลยังอยากพูดอะไรอีก แต่หนานกงเฉินกลับอ้อมตัวเธอเดินไปยังลิฟต์โดยตรง
หนานกงเฉินเพิ่งเข้าลิฟต์ เลขาเหยียนก็ก้าวออกมาจากลิฟต์อีกตัว เห็นคุณหมอจางและนางพยาบาลวิ่งออกมาจากห้องทำงานมาแต่ไกล
คุณหมอจางคือคุณหมอที่รับผิดชอบดูแลหนานกงเฉิน เลขาเหยียนเข้าไปทักทายแล้วถามอย่างประหลาดใจ “คุณหมอจาง เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”
“เลขาเหยียนอ่า เมื่อคืนคุณชายเฉินป่วย อีกหนึ่งชั่วโมงต้องฉีดยา แต่เขาโวยวายอยากออกจากโรงพยาบาล รบกวนคุณช่วยโน้มน้าวเขากลับมาหน่อยได้ไหม ฝากด้วยนะครับ”
เห็นคุณหมอจางพูดอย่างร้อนใจมาก เลขาเหยียนก็พยักหน้าทันที “โอเคค่ะ ฉันจะไปโน้มน้าวเขา จริงสิ เขาไปนานหรือยัง? ไปไหนแล้ว? ”
“ไม่รู้ค่ะ เขารีบออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรทั้งนั้น” นางพยาบาลคนนั้นเมื่อครู่นี้พูดขึ้น
เลขาเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันตัวเดินไปที่ประตูลิฟต์
เธอลงข้างล่างพร้อมโทรเบอร์หนานกงเฉิน แต่โทรศัพท์ไม่มีคนรับสายอยู่ตลอดเวลา
หนานกงเฉินถึงจะอยากออกจากโรงพยาบาลแต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับสายเธอนะ หรือว่า……
ในใจเธอมีลางสังหรณ์ไม่ดี ตอนบ่ายมีเที่ยวบินไปอังกฤษ และอีกแค่สองชั่วโมง เขาคงไม่คิดจะไปอังกฤษหรอกใช่ไหม?
คิดถึงตรงนี้ เลขาเหยียนก็เร่งฝีเท้าไปที่ลานจอดรถ ขับรถไปทิศทางสนามบิน